การนอนในวัยต่างๆ
ปัจจัยที่สำคัญอันหนึ่งของการนอนในคนเรา คือ ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ ยกตัวอย่างเข่น แฝดแท้ หรือ แฝดเหมือน (identical twins) จะมีลักษณะหรือรูปแบบของการนอนที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันมากกว่าในแฝดเทียม หรือ แฝดต่าง (nonidentical twins) หรือในเครือญาติ
ความแตกต่างของรูปแบบการนอนและการตื่น ดูเหมือนจะเป็นสมบัติติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด มีการจัดแบ่งลักษณะอย่างไม่เป็นทางการ เช่น พวกที่เป็นนกฮูก (night owls) หรือคนที่ชอบนอนดึก และพวกที่เป็นนกกระจาบ (larks) หรือคนที่ชอบตื่นเช้า นอกจากนี้ก็ยังมีการแยกประเภทคนและการนอนตามคุณภาพของการนอน คือ พวกที่นอนหลับลึก (deep sleepers) และพวกที่นอนหลับตื้น (light sleepers) หรือแบ่งตามชั่วโมงของการนนอน คือ พวกที่นอนสั้น คือ น้อยกว่า 6 ชั่วโมง (short sleeperes) และ พวกที่นอนยาว คือมากากว่า 8 ชั่วโมง (long sleepers)
นอกจากปัจจัยทางกรรมพันธุ์แล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่มีผลต่อการนอนของเรา ปัจจัยของอายุก็นับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอันหนึ่ง เนื่องจากอายุมีผลต่อจำนวนชั่วโมงการนอนในแต่ละคืน
ในเด็กแรกเกิด จะมีการนอนหลับแบบหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งวัน นับเป็นชั่วโมงโดยประมาณ 18 ชั่วโมง โดยที่ครึ่งหนึ่งของกานนอนจะเป็นการนอนแบบที่มีการกรอกของลูกตาแบบเร็ว หรือที่เรียกว่า REM sleep (rapid eyes movement sleep) นอกจากนี้วงจรของการนอน (sleep cycle) 1 รอบ โดยนับจากการนอนที่ไม่มีการกรอกลูกตาแบบเร็ว (non-REM sleep) ไปยัง REM sleep จะสั้น คือน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงโดยประมาณ พออายุประมาณ 4 สัปดาห์ การนอนหลับแบบหลับๆ ตื่นๆ จะลดลง คือมีการนอนในแต่ละครั้งนานขึ้น ประมาณ 6 เดือน จะมีการนอนในช่วง non-REM sleep มากขึ้น เริ่มมีพฤติกรรมการนอนที่มีรูปแบบมากขึ้น คือนอนได้ยาวนานขึ้นในตอนกลางคืน และมีการนอนช่วงสั้นๆ ในเวลากลางวัน ช่วงเช้าและช่วงบ่าย (napping)
พอโตขึ้นอีกหน่อย ในวัยก่อนเข้าโรงเรียน ช่วงเวลาของการนอนตอนกลางวันจะสั้นลง สั้นลงเรื่อยๆ ในช่วงอายุประมาณ 6 ขวบ เด็กส่วนใหญ่จะตื่นตลอดวัน และนอนประมาณ 10 ชั่วโมง ในตอนกลางคืน
ระหว่างอายุ 7 ขวบ ถึง วัยเริ่มหนุ่มสาว (puberty) การสร้างสารเมลาโทนิน (melatonin, สารสื่อประสาทที่มีความสำคัญต่อขบวนการนอนหลับ) จะมีการหลั่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับอายุช่วงอื่น ทำให้การนอนของเด็กในวัยนี้เป็นการนอนที่ลึก (deep sleep) และมีคุณภาพ (restorative sleep) ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างการและสมอง จะเห็นได้ว่าเด็กในวัยนี้มีความสดชื่น แจ่มใส ไม่มีอาการง่วงหวาวหาวนอนในเวลากลางวัน ดังนั้น ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ ถ้าลูกหรือญาติของท่านซึ่งอยู่ในวัยนี้มีอาการง่วงหวาวหาวนอนในเวลากลางวัน ควรหาสาเหตุของการเกิด หรือพาไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆ
วัยรุ่น (adolescence) เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสมองมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับวัยอื่นๆ ยกเว้นวัยแรกเกิด จริงๆ แล้ว คนในวัยนี้ต้องการการนอนมากกว่าเด็กๆ หรือวัยเริ่มหนุ่มสาว (puberty) ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงแล้วพบว่า คนส่วนใหญ่ในวัยนี้นอนน้อยกว่าความต้องการจริง ประมาณ 1 ชั่วโมง และเป็นความเข้าใจที่ผิดๆ ที่พบเจออยู่เสมอว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะคิดว่ากิจกรรมต่างๆ ที่มีมากมายของลูกๆ ที่อยู่ในวัยนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกๆ ของตนเหนื่อยล้า มีอาการขี้เซา ปลุกให้ตื่นยากและท่าทางงงงวยไม่สดชื่นหลังตื่นนอน แต่แท้ที่จริงแล้วอาการต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นจากการที่นอนไม่พอนั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากความผิดปกติของจังหวะวงจรชีวิต (circadian rhythm) ยกตัวอย่างเช่น delayed sleep phase syndrome (DSPS) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในวัยรุ่น ประมาณร้อยละ 5 10 เป็นความผิดปกติของการนอนที่เกิดจากการมี circadian rhythm ยาวกว่าปกติ ทำให้ไม่รู้สึกง่วงนอนและนอนไม่หลับเมื่อถึงเวลาที่เคยนอน แม้ว่าจะต้องการนอนก็ตาม ทำให้ไม่เข้านอนในเวลานอนปกติของคนทั่วไปในวัยเดียวกัน (ช่วงเวลาประมาณ 3-5 ทุ่ม) แต่จะเริ่มรู้สึกง่วงและสามารถนอนหลับได้ไม่ยากในเวลาที่ช้ากว่าเดิมประมาณ 60 90 นาที ซึ่งเป็นในเวลาที่ดึกกว่าปกติของคนทั่วไปในวัยเดียวกัน (เที่ยงคืน หรืออาจจะดึกกว่านั้นคือ ตี 2 ตี 3 ตี 4...) และไม่สามารถตื่นได้ในเวลาที่ควรตื่นเพื่อไปโรงเรียน (ช่วงเวลาประมาณ 6-7 โมงเช้า) หรือตื่นยาก และมักตื่นสายกว่าเวลาที่ควรจะตื่น หากปลุกให้ตื่นตามเวลาก็จะทำให้มีอาการง่วงนอนมากในตอนกลางวัน ทำให้รบกวนต่อกิจวัตรประจำวันอย่างมากโดยเฉพาะด้านการเรียนและสังคม อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นระหว่างพ่อแม่และลูกๆ ในหลายครอบครัว นอกจากนี้แล้ว ยังอาจมีผลต่อเนื่องไปยังโรงเรียนของเด็กได้ ในกรณีที่โรงเรียนมีความเข้มงวดเรื่องกฎระเบียบของการมาโรงเรียนให้ตรงเวลา
ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (young adulthood) รูปแบบของการนอน ถ้าดูแบบผิวเผิ่นจะค่อนข้างคงที่ แต่จริงๆ แล้ว มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ในช่วงอายุระหว่าง 20 ถึง 30 ปี ช่วงเวลาของการนอนลึก (deep sleep) จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง และจำนวนครั้งของการตื่นระหว่างกลางคืนจะเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่ออายุย่างเข้า 40 ปี โดยทั่วไปจะพบว่าไม่มีการนอนลึกหรือการนอนในช่วง stage 4 แล้ว แต่อาจจะพบการนอนลึกในช่วง stage 3 อยู่บ้าง
สำหรับผู้หญิงในวัยนี้ที่มีการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายมีผลต่อการนอน คือในระหว่างตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสแรก หญิงมีครรภ์บางคนจะมีอาการง่วงอยู่ตลอดเวลา และถ้าโอกาสเอื้ออำนวย อาจจะนอนได้ยาวขึ้น 1-2 ชั่วโมงต่อคืน แต่เมื่อเข้าไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและระดับฮอร์โมนมากขึ้น ทำให้การนอนมีคุณภาพ (sleep efficiency) ลดลง ส่งผลให้มีอาการอ่อนเพลีย ซึ่งอาการอ่อนเพลียและง่วงนอนจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลังคลอด เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับบุตร ทำให้หลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน และยังรวมถึงการให้นมบุตรในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งในปัจจุบันนี้นักวิจัยกำลังให้ความสนใจเกี่ยวกับกรณีการนอนของหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีคุณภาพ อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังตั้งครรภ์ (post-partum depression)
สำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ก็อาจจะมีประสปการณ์ของการนอนที่เปลี่ยนแปลงในรอบเดือนได้ ซึ่งก็เป็นเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายในรอบเดือน กล่าวคือ ในระหว่างไข่ตก (ovulation) และการมีประจำเดือน (menses) รอบถัดไป ผู้หญิงบางคนจะง่วงหลับได้เร็วขึ้นและมีการนอนในช่วง REM ได้เร็วกว่าปกติ
เมื่อเข้าวัยกลางคน (middle age) การนอนลึกในช่วง stage 3 เริ่มที่จะลดลง การตื่นกลางดึกอาจเกิดได้บ่อยครั้งขึ้นและการตื่นมีเวลานานขึ้น พบได้บ่อยครั้งที่มักจะตื่นหลังจากนอนได้ 3-4 ชั่วโมง ในผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน (menopause) อาการร้อนวูบวาบ (Hot flashes) เป็นต้นเหตุสำคัญของการตื่นขึ้นมากลางดึก และอาจนำไปสู่โรคนอนไม่หลับ (insomnia) ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ดร.ปุณฑริกา สุวรรณประเทศ ภาควิชาสรีรวิทยา ศูนย์นิทรรักษ์ศิริราช Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Create Date : 20 พฤศจิกายน 2553 |
|
17 comments |
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2553 7:18:16 น. |
Counter : 5936 Pageviews. |
|
|
|
มีความสุข สนุกสนานครับ