สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของชายและหญิง





โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เริ่มจะพบมากขึ้นในวัยรุ่นซึ่งจะมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน โดยที่ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การป้องกันตัวเองทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อ การที่เรามีความรู้เกี่ยวกับการติดต่อ อาการของโรค การรักษา จะเป็นขั้นแรกของการป้องกันโรค ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ควรทราบ





โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย ทุกชนชั้น แต่พบมากในหมู่วัยรุ่น

อัตราการติดเชื้อของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พบมากขึ้นเนื่องจากวัยรุ่นมีค่านิยมที่จะอยู่ก่อนแต่งงาน หรือนิยมมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังไม่มาก และที่สำคัญมีการหย่าล้างสูงทำให้คนมีสามีหรือภรรยาหลายคน ทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยมากมักจะไม่เกิดอาการ ดังนั้นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อโดยที่ไม่รู้ตัว แพทย์บางประเทศจึงแนะนำให้มีการตรวจค้นหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับคนที่สำส่อน

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขอย่างมาก

โรคอาจจะลุกลามไปยังมดลูกหรือท่อรังไข่ทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง Pelvic inflammatory disease ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการเป็นหมัน หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง เช่นการติดเชื้อ human papillomavirus infection (HPV) ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์


กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดโรค

การมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือหญิงบริการใน 3 เดือนที่ผ่านมา

การมีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา

การมีเพศสัมพันธ์กับคู่คนใหม่ใน 3 เดือนที่ผ่านมา

การที่มีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน 1 ปีที่ผ่านมา

การที่สามีหรือภรรยามีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา

การที่คู่ครองอยู่กันคนละที่

อาการของผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ปัสสาวะขัด

มีผื่น แผลหรือตุ่มน้ำที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก

มีหนองหรือน้ำหลั่งจากช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะ

มีอาการคันหรือปวดบริเวณทวาร

มีอาการแดงและปวดบริเวณอวัยวะเพศ

ปวดท้องหรือปวดช่องเชิงกราน

ปวดเวลามีเพศสัมพันธ์

ตกขาวบ่อย





การรักษาตั้งแต่เริ่มต้นจะทำให้รักษาหายขาด การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะทำให้ติดโรคเดอส์ง่ายขึ้น

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

>>>>>>โรคเอดส์<<<<<<<<

เป็นโรคที่เริ่มมีรายงานเมื่อปี 1981 เกิดจากเชื้อ human immunodeficiency virus (HIV), ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อพวกฉวยโอกาสและมะเร็ง

>>>>>การติดเชื้อ clamydia<<<<<<

เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุด ทำให้เกิดอาการมีหนองไหลและมีอาการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ สำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้รักษาอาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องเชิงกรานเป็นหมัน หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก

>>>>>เริมที่อวัยวะเพศ<<<<<

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดเชื้อไวรัส herpes simplex virus ทำให้เกิดอาการปวดแสบบริเวณขา ก้นหรืออวัยวะเพศ และตามด้วยผื่นเป็นตุ่มน้ำใส แผลหายได้เองใน 2-3 สัปดาห์แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อก็จะกลับเป็นใหม่

>>>>>หนองในแท้ <<<<<

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ทำให้เกิดอาการระคายเคืองในท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะ มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง หรือเป็นหมันหากไม่ได้รับการรักษา

>>>>> หูด<<<<<

เกิดจากเชื้อไวรัส human papillomavirus ทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศลักษณะเป็นผื่นนูน ไม่เจ็บ ผื่นจะมีขนาดใหญ่ขึ้น หากไม่รักษาผื่นจะโตเป็นลักษณะหงอนไก่ Molluscum

>>>>>ซิฟิลิส <<<<<

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ไม่บ่อย การติดเชื้อเริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็งไม่เจ็บที่อวัยวะเพศ ไม่ไม่รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่าเข้าข้อหรือออกดอก หากทิ้งไว้นานจะติดเชื้อที่ระบบประสาท และหัวใจ

>>>>>แผลริมอ่อน <<<<<<

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อ Haemophilus Ducreyi ลักษณะของโรคจะมีแผลที่อวัยวะเพศ บวมและเจ็บ บางคนมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจากต่อมน้ำเหลือง

>>>>>ตัวโลน <<<<<

เกิดจากแมลงตัวเล็กที่เรียกว่า pediculosis pubis อาศัยอยู่ที่ขนหัวเหน่า ดูดเลือดคนเราเป็นอาหาร ผู้ที่เป็นโรคจะมีอาการคันเป็นหลัก เมื่อเกาจะทำให้เจ้าตัวเชื้อแพร่ไปยังบริเวณอื่น การวินิจฉัยสามารถทำได้ด้วยตาเปล่า จะพบไข่สีขาวเกาะตรงโคนขน ไข่จะมีลักษณะวงรี ส่วนตัวแมลงเมื่อกินเลือดเต็มที่จะออกสีน้ำตาล

หิด ตับอักเสบ หนองในเทียม อุ้งเชิงกรานอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ ติดเชื้อtrichomonase ฝีมะม่วง การติดเชื้อราในช่องคลอด

การรักษาตัวโลนสามารถซื้อยาทาได้ตามร้านขายยา แต่คนท้องหรือเด็กควรจะปรึกษาแพทย์

การป้องกัน สมาชิกในครอบครัว เพื่อนสนิท คู่นอนควรจะได้รับการดูแลพร้อมกันเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ เสื้อผ้าหรือผ้าปูที่นอนควนจะนำไปต้มหรือซักแห้ง แล้วรีดด้วยเตารีด ตัวแมลงอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมงเมื่อไม่ได้อยู่กับคน ส่วนไข่อยู่ได้นานถึง 6 วัน

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือการไม่มีเพศสัมพันธ์ หากยังมีเพศสัมพันธ์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

ไม่เปลี่ยนคู่นอน ให้มีสามีหรือภรรยาคนเดียว

ใส่ถุงยางให้ถูกต้องหากจะมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่

อย่ามีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยเพราะจากสถิติหากมีเพศสัมพันธ์อายุน้อยจะมีโอกาสติดโรคสูง

ให้ตรวจประจำปีเพื่อหาเชื้อโรคแม้ว่าจะไม่มีอาการ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการแต่งงานใหม่





เรียนรู้อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

อย่าร่วมเพศขณะมีประจำเดือน เพราะจะทำให้เกิดโรคติดต่อได้ง่าย

อย่ามีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หากจำเป็นให้สวมถุงยางอนามัย

อย่าสวนล้างช่องคลอดเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

สำหรับผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต้องปฏิบัติตัวอย่าง

ให้รักษาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

แจ้งให้คู่นอนทราบว่าคุณเป็นโรคเพื่อที่จะป้องกันโรคมิให้แพร่สู่คนอื่น และให้ได้รับการรักษา

รักษาตามแพทย์สั่ง

งดร่วมเพศ

อาการของโรคและเชื้อที่เป็นสาเหตุ

ตกขาวมากผิดปกติ clamydia herpes gonorrhea PID trichomonase yeast infection Bacterial vaginosis
หนองไหลจากอวัยวะเพศ clamydia gonorrhea trichomonase หนองในเทียม
เลือดออกช่องคลอดผิดปกติ clamydia gonorrhea PID
เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ clamydia herpes gonorrhea PID
ปัสสาวะขัด clamydia herpes gonorrhea trichomonase
ปวดท้องน้อย clamydia gonorrhea PID
ปวด บวมอัณฑะ clamydia gonorrhea
คันบริเวณอวัยวะเพศ trichomonase yeast infection Bacterial vaginosis herpes
แผลบริเวณอวัยวะเพศ herpes chancroid syphilis
ก้อนเนื้อบริเวณอวัยวะเพศ warts
ตัวเหลืองตาเหลือง heapatitis B heapatitis C




เริม Herpes simplex

การติดเชื้อ herpes simplex

เชื้อ herpes virus [HSV]เป็นสาเหตุที่สำคับของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปากและอวัยวะเพศและอาจจะติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกายและอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบสีแดง

เชื้อ herpes มีสองชนิดคือ

Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไปเกิดที่ปากเรียก Herpes labialis โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์

Herpes simplex virus 2 (HSV-2) เชื้อมักเกิดบริเวณอวัยวะเพศและติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalis

เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในชั้นของผิวหนังเชื้อจะแบ่งตัวทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ปมประสาท ganglia เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการแบ่งตัวถ้าหากปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมเชื้อก็เกิดการแบ่งตัวทำให้เกิดอาการเป็นซ้ำผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปากจะมีอัตราการเกิดซ้ำประมาณร้อยละ 20-40 สำหรับเริมที่อวัยวะเพศจะมีอัตราการเกิดเป็นซ้ำประมาณร้อยละ 80 ปัจจัยที่กระตุ้นไม่แน่นชัดเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแสงแดด ไข้ การมีประจำเดือน ความเครียด การเกิดเป็นซ้ำจะมีอาการน้อยกว่าและหายเร็วกว่าการเกิดเป็นครั้งแรก

อาการของการติดเชื้อ herpes simplex

อาการเริ่มต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตำแหน่งที่ได้รับเชื้ออาการของการติดเชื้อที่ปากและที่อวัยวะเพศจะเหมือนๆกันเพียงแต่ขึ้นกันคนละที่อาการจะแบ่งเป็น การเป็นครั้งแรก Primary Infection ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding และอาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections

การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อนต่อมาจะมีอาการบวมและอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดงตุ่มน้ำแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ด ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆอาจจะโตและอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัว

ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding ช่วงนี้เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร เชื้ออาจจะแบ่งตัวและสามารถติดต่อได้โดยเฉพาะเชื้อที่อวัยวะเพศแม้ว่าจะไม่มีผื่น

อาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections มีอาการน้อยกว่า และเป็นพื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ และมักเป็นบริเวณใกล้กับที่เดิมโดยเฉพาะที่อวัยวะเพศอาจจะกลับเป็นซ้ำได้ 5 ครั้งต่อปี





ปัจจัยกระตุ้นในการกลับเป็นซ้ำ

สิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นได้แก่ การถูไถ การสัมผัสลม แสง ความเย็น เสื้อผ้าคับๆ เหงื่อ
ความเครียด
อาหารได้แก่ ถั่ว กาแฟ แอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต
การมีประจำเดือน
การนอนหลับ ความเครียด ไข้
ใครมีปัจจัยเสี่ยงในการได้รับเชื้อ herpes simplex

ทุกๆคนจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ herpes simplex โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานะไม่ดี โดยเชื้อ (HSV-1) จะติดต่อทางสารหลั่งในปาก ส่วน (HSV-2) จะติดต่อทางอวัยวะเพศ ทวารหนัก เมื่อเชื้อเข้าทางผิวหนังเชื้อจะไปตามเส้นประสาททำให้เชื้อลามเป็นบริเวณกว้างและอาจจะเกิดผื่นที่บริเวณใหม่

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่ปากคือวัยเด็กอายุ 4-5 ปีมักติดต่อทางการสัมผัสเช่นการใช้ของร่วมกัน การจูบ ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เชื้อนี้สามารถติดต่อจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยเฉพาะที่ตาโดยการสัมผัสด้วยมือดังนั้นต้องล้างมือให้สะอาด

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่อวัยวะเพศมักเกิดในผู้ที่มีคู่ขาหลายคน การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก oral sex ซึ่งเชื้อที่เป็นสาเหตุมักจะเป็น type 1 การป้องกันการติดเชื้อควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางคุมกำเนิดขณะมีอาการติดเชื้อ

การเป็นเริมในทารกมักจะติดเชื้อในแม่ที่ติดเชื้อ HSV-2 และมีการคลอดก่อนกำเนิดหรือต้องใช้เครื่องมือในการคลอด

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นเช่น นักมวยปล้ำ นักรักบี้ นักมวย ผู้ป่วยโรคเอดส์
มีการศึกษาว่าแม้จะไม่มีผื่นหรืออาการเชื้อก็สามารถแพร่ออกมาได้ ดังนั้นไม่มีหลักประกันว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่มีอาการจะปลอดภัยจากโรคเริม


โรคแทรกซ้อนของการติดเชื้อ herpes simplex

การตั้งครรภ์และการติดเชื้อ herpes simplex พบว่าคนท้องที่ติดเชื้อประมาณร้อยละ 0.01.0.04 อาจจะเกิดการแท้ง คลอดก่อนกำหนด เด็กเจริญเติบโตช้าโดยเฉพาะการติดเชื้อใกล้คลอดดังนั้นแนะนำว่าควรจะรักษาหากเกิดการติดเชื้อเมื่อใกล้คลอด การติดเชื้อครั้งแรกจะเกิดโรคแทรกซ้อนได้บ่อยกว่าการติดเชื้อที่กลับเป็นซ้ำ

Herpes Encephalitis เกิดจากเชื้อที่อยู่ในระยะ Latency และเกิดการแบ่งตัวผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตหากไม่ได้รักษาแต่โชคดีที่พบน้อย

Herpes Meningitis พบได้ร้อยละ 4-8 ในคนที่เป็น primary genital HSV-2พบมากในผู้หญิงแต่ไม่ต้องตกใจเนื่องจากหายเองใน 2-7วันผู้ป่วยจะปวดศีรษะ อาเจียน และมีไข้

ผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจากยา เช่น steroid มะเร็ง ยารักษามะเร็งหากผู้ป่วยกลุ่มนี้ติดเชื้อ herpes simplex จะเป็นรุนแรงมีโรคแทรกซ้อนปอดบวม ตับอักเสบ สมองอักเสบ

การติดเชื้อที่ตา อาจจะทำให้ตาพร่ามัว ในรายที่เป็นรุนแรงอาจจะทำให้
ตาบอด





การวินิจฉัย

สามารถทำได้โดยการซักประวัติและการตรวจร่างกายพบผื่นดังกล่าว
ข้างต้น การเพาะเชื้อไวรัสโดยการนำน้ำใต้ตุ่มใสไปเพาะเชื้อโดยเฉพาะควรจะนำหลังจากเกิดผื่นแล้วไม่เกิน 3 วันการตรวจนี้ไม่ได้ผลในรายที่ผื่นตกสะเก็ด หรือผื่นของการกลับเป็นซ้ำ การตรวจโดยกล้องจุลทัศน์โดยการนำเนื้อเยื่อไปส่องกล้องพบเซลล์ตัวโต


การรักษา

มียารับประทานให้เลือก 3 ตัวให้เลือกในการรักษา ยาทั้ง 3 ตัวมิไดให้หายขาดเพียงแต่ลดความรุนแรง ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็น ยาทั้ง 3 ได้แก่ Acyclovir,Valacyclovir,Famciclovir การให้ยามีได้ 2 ลักษณะคือ

Acute therapy หมายถึงการเริ่มให้ยาตั้งแต่เริ่มมีอาการคือปวดแสบปวดร้อนโดยที่ยังไม่มีผื่นขึ้น ถ้ามีผื่นขึ้นจะไม่ได้ผล ให้ยาครบ 5 วัน

Suppress therapy คือการให้ยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำจะเลือกให้ในรายที่เกิดกรกลับเป็นซ้ำบ่อย หรือมีโรคประจำตัว

สำหรับยาทายังไม่มียาทาที่ได้ผลดี ยาทาอาจจะได้ผลในแง่ลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็วยาที่นิยมใช้คือ acyclovir ครีมซึ่งได้ผลเฉพาะ primary lesion ยาทาไม่ช่วยลดจำนวนเชื้อหรือลดระยะเวลาที่เป็นโรค สำหรับยาอื่นต้องเลือกให้ดีเพราอาจจะมีแอลกอฮอล์ หรือสารที่ระคายอย่างอื่นซึ่งทำให้แผลหายช้ายาซึ่งมีส่วนผสมของ steroidก็ไม่ควรใช้เพราะแผลจะหายช้า





ซิฟิลิส Syphilis

เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema pallidum เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่มีแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้ากระแสเลือดและไปจับตามอวัยวะต่างๆทำให้เกิดโรคตามอวัยวะ โรคนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่

primary
secondary
latent
tertiary (or late)


คนเราติดเชื้อโรคนี้ได้อย่างไร

ทางเพศสัมพันธ์

เชื้อโรคสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ
เชื้อโรคจะติดต่อได้บ่อยในระยะ primary เนื่องจากระยะนี้จะไม่มีอาการ
ในระยะ secondary จะมีหูดระยะนี้จะมีเชื้อโรคปริมาณมากหากสัมผัสอาจจะทำให้เกิดการติดต่อ
การติดต่อทางอื่น

เชื้อจะอ่อนแอตายง่ายดังนั้นการสัมผัสมือหรือการนั่งโถส้วมจะไม่ติดต่อ
หากผิวหนังที่มีแผลสัมผัสกับแผลที่มีเชื้อก็ทำให้เกิดการติดเชื้อ
จากแม่ไปลูก

เชื้อสามารถติดจากแม่ไปลูกขณะตั้งครรภ์และขณะคลอด





อาการของโรค

Primary Syphilis

ในระยะ primary รอยโรคจะปรากฏเป็นแผลริมแข็ง Chancre ซึ่งจะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้

หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วันจะมีตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศตรงบริเวณที่เชื้อเข้า แผลมักจะเป็นแผลเดียว ไม่เจ็บ ขอบนูน ต่อมน้ำเหลืองจะโตกดไม่เจ็บ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย อัณฑะ ทวารหนัก ช่องคลอด ริมฝีปาก แผลจะอยู่ 1-5สัปดาห์แผลจะหายไปเอง
แม้ว่าแผลจะหายไปแต่ยังคงมีเชื้ออยู่ในกระแสเลือด
สำหรับผู้ที่เป็นโรคเอดส์ และมีขนาดใหญ่และมีอาการเจ็บมาก
การตรวจเลือกในช่วงนี้อาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ30

Secondary Syphilis

ระยะนี้จะเกิดหลังได้รับเชื้อ 17วัน- 6 เดือน ผู้ป่วยจะมีอาการอยู่ประมาณ 2-6 สัปดาห์แล้วจะหายไปแม้ว่าจะไม่ได้รับการรักษา ต่อมน้ำเหลืองโต
ปวดตามข้อเนื่องจากข้ออักเสบ


อาการที่สำคัญมีดังนี้

มีผื่นสีแดงน้ำตาลที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ไม่คัน
ผื่นนี้สามารถพบได้ทั่วตัว
จะพบหูด Condylomata lata บริเวณที่อับชื้น เช่นรักแร้ ทวารหนัก ขาหนีบ
จะพบผื่นสีเทาในปาก คอ และปากมดลูก
ผมร่วงเป็นหย่อมๆ
ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย
อาการเหล่านี้จะอยู่ได้ 1-3 เดือนหายไปได้เอง และอาจจะกลับเป็นซ้ำ
การตรวจเลือดในช่วงนี้จะให้ผลบวก
Latent Stage ระยะแฝง

ช่วงนี้ผู้ป่วยไม่มีอาการของโรค ช่วงนี้กินเวลา 2-30 ปีหลังจากได้รับเชื้อ
ในช่วงนี้จะทราบได้โดยการเจาะเลือดตรวจ
ในระยะนี้อาจจะเกิดผื่นเหมือนในระยะ Secondary Syphilis
ในระยะนี้หากตั้งครรภ์ เชื้อสามารถติดไปยังลูกได้

Late Stage (Tertiary)

ระยะนี้จะกินเวลา 2-30 ปีหลังได้รับเชื้อ
ระยะนี้เชื้อโรคจะทำลายอวัยวะต่างๆเช่น หัวใจและหลอดเลือด สมองทำให้อ่อนแรงหรืออาจจะตาบอด กระดูกหักง่าย
หากไม่รักษาให้ทัน อวัยวะต่างๆจะถูกทำลายโดยที่ไม่สามารถกลับเป็นปกติ
การตรวจเลือดอาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ30

Congenital Syphilis

หมายถึงทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เด็กจะมีอาการดังนี้

เด็กจะมีอาการหลังคลอด 3-8 สัปดาห์
อาการอาจจะมีเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกตเห็น ทำให้ไม่ได้รับการรักษา
เด็กโตขึ้นจะกลายเป็นระยะ Late Stage (Tertiary)
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นซิฟิลิส





การตรวจวินิจฉัยโรคนี้สามารถทำได้โดยการนำหนองจากแผล หรือเลือดไปตรวจหาตัวเชื้อ การตรวจเชื้อทำได้โดย

>>>>Darkfield Exam<<<<

การตรวจทำไดโดยการน้ำเหลืองจากแผลหรือผื่นที่สงสัยไปตรวจ
นำน้ำเหลืองนั้นไปส่องกล้องเพื่อหาตัวเชื้อ
การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยได้ทั้งระยะ Primary Syphilis และ Secondary Syphilis

>>>>การตรวจเลือด<<<<

การเจาะเลือดตรวจหาภูมิต่อเชื้อซิฟิลิสทำได้ 2วิธีคือ

การเจาะเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันซึ่งไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส ได้แก่การเจาะ VDRL (Venereal Disease Research Laboratory) หรือ RPR (Rapid Plasma Reagent) หากให้ผลบวกต้องเจาะเลือดอีกเพื่อยืนยันการวินิจฉัย

การเจาะเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโดยการเจาะ FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption Test) หรือ MHA-TP (Microhemagglutination-Treponema Pallidum)
ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เคยเป็นซิฟิลิสมาก่อนอาจจะให้ผลบวกหลอกโดยที่ไม่เป็นโรค

Cerebrospinal Fluid Test การตรวจน้ำไขสันหลังจะทำในรายสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อในระบบประสาท


การรักษาโรคนี้ต้องทำอย่างไร

ยาที่ใช้รักษาคือ Penicillin
การรักษาต้องรักษาทั้งคู่
หลังจากรักษา 6 เดือนต้องตรวจซ้ำหลังจากนั้นตรวจทุกปี





โรคหนองในแท้ Gonorrhea

เป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoea เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก mucous membrance เช่น

เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก และเยื่อบุมดลูก
ท่อรังไข่
ทวารหนัก
เยื่อบุตา
คอ


โรคนี้ติดต่ออย่างไร

โรคนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอดหรือทางทวาร
การร่วมเพศทางปากจะทำให้เชื้อสามารถติดต่อจากปากไปอวัยวะเพศ หรือจากอวัยวะเพศไปยังปาก
หากช่องคลอดหรืออวัยวะดังกล่าวปนเปื้อนหนองที่มีเชื้อก็สามารถติดเชื้อนี้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการร่วมเพศ
หากคุณมีคู่ขามากเท่าใดคุณก็จะมีโอกาสติดเชื้อนี้เพิ่มขึ้น
การจับมือหรือการนั่งฝาโถส้วมไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ


อาการของโรคนี้เป็นอย่างไร

ผู้ชายมักจะเกิดอาการหลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-5 วันอาการเริ่มจะมีอาการระคายเคืองท่อปัสสาวะ หลังจากนั้นจะมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ แล้วจึงตามด้วยอาการมีหนองสีเหลืองไหลออกจากท่อปัสสาวะ
ส่วนผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ หากจะมีอาการมักจะเกิดใน 10 วัน
อาการของโรคจะเหมือนกับการติดเชื้อ chlamydia
การติดเชื้อที่คออาจจะไม่มีอาการ หรืออาจจะมีอาการเจ็บคอ ไข้
หากติดเชื้อทีตาจะมีหนองไหลและเคืองตา conjunctivitis





>>>>>>ผู้ชาย<<<<<

อาจจะไม่มีอาการ
มีหนองสีเหลืองไหลออกจากอวัยวะเพศ
ปัสสาวะขัด
อัณฑะบวม หรือมีการอักเสบ

>>>>>>ผู้หญิง<<<<<

ผู้หญิงที่ได้รับเชื้อนี้จะมีอาการช้ากว่าผู้ชายโดยเฉลี่ยจะเกิดอาการหลังได้รับเชื้อแล้ว 1-3 สัปดาห์ อาการที่พบไม่มากจนกระทั่งผู้ป่วยไม่ให้ความสนใจ
จะสงสัยว่าเป็นโรคนี้เมื่อคนที่ร่วมเพศด้วยป่วยเป็นโรคนี้
ตกขาว หรือเลือดผิดปกติ
ปัสสาวะขัด


การวินิจฉัยเราสามารถรู้ว่าเป็นโรคหนองในแท้หรือไม่โดยการตรวจ

นำหนองหรือปัสสาวะมาตรวจ PCR
นำหนองมาย้อมหาเชื้อ
นำหนองไปเพาะเชื้อ
ข้อสำคัญคือท่านอาจจะต้องตรวจหาโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นร่วมด้วย





การรักษา

เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคหนองในแท้มักจะมีหนองในเทียมร่วมด้วยเสมอดังนั้นจึงต้องรักษาพร้อมกันทั้งสองโรค

ยาในกลุ่ม Cephalosporin ได้แก่ Cefixime 400 มิลิกรัมรับประทานครั้งเดียว หรือ Ceftriaxone 250 มิลิกรัมฉีดครั้งเดียว
ยาในกลุ่ม Quinolone ได้แก่ยา Ciprofloxacin 500 mg รับประทานครั้งเดียว หรือ Ofloxacin 400 mg รับประทานครั้งเดียว หรือ Levofloxacin รับประทานครั้งเดียว
หากแพ้ยาดังกล่าวอาจจะให้ spectinomycin
การรักษาหนองในแท้มักจะรักษาหนองในเทียมร่วมด้วยโดยการให้ doxycycline 1 เม็ดเช้าเย็นเป็นเวลา 7 วัน
คนท้องต้องปรึกษาแพทย์
เนื่องจากเชื้อมีการดื้อยามากขึ้นท่านต้องรับประทานยาให้ครบ และตรวจซ้ำตามที่แพทย์แนะนำและต้องพาคู่ของท่านไปตรวจรักษาด้วย

การป้องกันติดโรคนี้

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการงดมีเพศสัมพันธ์
มีสามีหรือภรรยาคนเดียว
สวมถุงยางอนามัยหากมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่แน่ใจว่าจะมีโรคติดต่อหรือไม่





โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ

>>>>>>ผู้ชาย<<<<<

ต่อมลูกหมากอักเสบ
อัณฑะอักเสบ
ท่อปัสสาวะตีบ ทำให้ปัสสาวะไม่ออก
เป็นหมัน

>>>>>>ผู้หญิง<<<<<

อุ้งเชิงกรานอักเสบ
ปวดประจำเดือน
แท้ง
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ปากมดลูกอักเสบ
เด็กที่เกิดในขณะที่แม่เป็นโรคนี้อาจจะมีการอักเสบของตา ข้ออักเสบ เชื้อเข้ากระแสโลหิต





ฝีมะม่วง LYMPHOGRANULOMA VENEREUM (LGV)

ก่อนที่จะมีการระบาดของโรคเอดส์ แพทย์ที่รักษาผู้ป่วยมักจะพบผู้ป่วยที่มาด้วยก้อนที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวมซึ่งพบได้บ่อยโรคนี้เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis ผู้ป่วยอาจจะไม่ทันสังเกตเห็นแผลที่อวัยวะเพศ

การวินิจฉัย

ผู้ป่วยที่มีการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต กเจ็บและตรวจไม่พบหลักฐานว่าเป็นโรค เริม ซิฟิลิส หรืแผลริมอ่อน ให้สงสัยว่าเป็นโรคนี้ ยืนยันการวินิจฉัยโดยการเจาะเลือดตรวจหาภูมิ

การรักษา

ยาที่ใช้รักษาได้แก่ Doxycyclin 100mg เช้า-เย็นเป็นเวลา 21 วัน หรือ erythromycin 500 mg วันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 21 วัน





ช่องคลอดอักเสบ

การติดเชื้อ Trichomonase

เชื้อ Trichomanase เป็น Protozoa เซลล์เดียวชื่อว่า Trichomanas vaginalis จากชื่อก็ทราบว่ามักจะติดเชื้อบริเวณช่องคลอด ส่วนผู้ชายก็สามารถติดเชื้อที่ท่อปัสสาวะได้เหมือนกันเป็นการติดเชื้อปรสิตเซลล์เดียว เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่อย่างไรก็ตามเชื้อสามารถอยู่ได้ 24 ชั่วโมงในสภาพที่ชื้น ดังนั้นอาจจะติดจากผ้าเช็ดตัว


การติดต่อ

ติดทางทางเพศสัมพันธ์จากชาย-หญิงหรือหญิง-หญิง


อาการของผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้เป็นอย่างไร

สำหรับผู้ชายอาจจะไม่มีอาการ หรืออาจจะมีอาการระคายเคืองหลังปัสสาวะหรือมีหนองไหลเล็กน้อย สำหรับผู้หญิงจะมีอาการตกขาวสีเหลืองกลิ่นเหม็น ปวดหลังปัสสาวะหรือปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ คันบริเวณอวัยวะเพศ แต่บางคนก็มีอาการเพียงเล็กน้อย


ผู้ชายและผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ อาการที่สำคัญคือ

ตกขาวสีเหลืองเขียว

ตกขาวมีกลิ่น

ตกขาวมีปริมาณมากขึ้น

ปัสสาวะบ่อย

คันช่องคลอด

ระฟักตัวกี่วัน

หลังจากรับเชื้อ 5-28 วันจึงจะเกิดอาการของโรค


ท่านจะทราบอย่างไรว่าติดเชื้อนี้

หากท่านมีอาการดังกล่าวแพทย์จะนำหนอง หรือสารคัดหลั่งจากการตรวจภายในไปส่องกล้องก็จะพบตัวเชื้อโรคซึ่งมีความไวในการตรวจ 60-70%

การนำตกขาวไปเพาะเชื้อจะให้การวินิจฉัยที่แม่นยำ





การรักษา

โรคนี้รักษาหายขาดโดยการให้ยา metronidazole 2 กรัมรับประทานครั้งเดียว หรือให้ metronidazole 500 มิลิกรัม วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน

การรักษาต้องรักษาทั้งคู่แม้ว่าจะไม่มีอาการ

ในช่วงการรักษาควรจะงดการมีเพศสัมพันธ์จนไม่มีอาการ

ไม่แนะนำยาสอดช่องคลอดเพราะให้ผลการรักษาไม่ดี

สำหรับรายที่ดื้อต่อยาหรือกลับเป็นซ้ำควรจะให้ metronidazole 2 กรัมรับประทานครั้งเดียวเป็นเวลา 3-5 วัน

การรักษาในคนท้อง หากไม่มีอาการไม่ต้องรักษา แต่มีอาการให้ metronidazole 2 กรัมรับประทานครั้งเดียว


การป้องกัน

สวมถุงยางอนามัยหากจะมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ทราบว่าติดเชื้อหรือไม่

อย่ามีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น

ช่วงที่ติดเชื้อควรจะงดการมีเพศสัมพันธ์





การติดเชื้อราในช่องคลอด Vulvovaginal Candidiasis (VVC)

เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ C. albicans แต่ก็อาจจะเกิดจากเชื้ออื่นก็ได้เกิดจากการที่เชื้อราในช่องคลอดเจริญมากเนื่องจากความเป็นกรดเสียไป โรคนี้ไม่ติต่อทางเพศสัมพันธ์


ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อรา

ความเครียด

เบาหวาน

การตั้งครรภ์

การใช้ยาคุมกำเนิด

การใช้ยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะยาในกลุ่ม tetracyclin

อาการและอาการแสดง

ตกขาวมากขึ้น

ตกขาวเป็นเมือกขาว

คันและแสบบริเวณช่องคลอด

เจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์





การแบ่งชนิดของโรคเชื้อราในช่องคลอด

จะแบ่งการติดเชื้อออกเป็นการติดเชื้อที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน Uncomplicated VVC และการติดเชื้อที่มีโรคแทรกซ้อน Complicated VVC โดยมีเกณฑ์ดังต่อไปนี้

ไม่มีโรคแทรกซ้อน Uncomplicated VVC
เป็นเชื้อราที่ช่องคลอดนานๆครั้ง
มีการอักเสบไม่มาก
เกิดเชื้อ C.albican
ผู้ป่วยไม่มีโรคประจำตัว


โรคแทรกซ้อน Complicated VVC
เป็นเชื้อราในช่องคลอดบ่อย
มีการอักเสบมาก
เกิดจากเชื้ออื่น
ผู้ป่วยมีโรค เบาหวาน มะเร็ง ตั้งครรภ์ เอดส์


การวินิจฉัย

จากประวัติที่มีตกขาวสีขาวและคันอวัยวะเพศ

นำตกขาวมาละลายด้วยน้ำยา KOH จะพบใยเชื้อรา

การเพาะเชื้อขึ้นเชื้อรา

pH<4.5







ขอขอบคุณข้อมูลจาก //www.siamhealth.net








Create Date : 03 เมษายน 2552
Last Update : 3 เมษายน 2552 15:57:53 น. 1 comments
Counter : 16374 Pageviews.

 
ผมเคยเป็นหูดหงอนไก่และเคยป้ายยายุบไปก็ขึ้นอีกไปจี้ที่โรงพยาบาลครั้งละ1250บาท3สัปดาก็ขึ้นอีกไปจี้ทั้งหมด5ครั้ง มาเจอสมุนไพรตัวหนึ่งตอนนี้หายขาดมาเกือบ2ปีแล้ว สนใจข้อมูลถามได้0910272191 line yizshok


โดย: โยกุชชี่ (สมาชิกหมายเลข 2088536 ) วันที่: 20 มิถุนายน 2558 เวลา:9:44:39 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
3 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.