กระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพอง โรคร้ายที่รักษาได้
ภัยเงียบที่กว่าจะรู้ตัวก็เกือบสายเสียแล้ว เชื่อว่าเกือบทุกคนต้องเคยได้ยินว่าคนรู้จักหรือคนใกล้ตัวโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เจ็บป่วยกะทันหันจากโรคเลือดออกในสมองบ้าง เส้นเลือดฝอยในสมองแตกบ้าง หรือกระเปาะเลือดโป่งพองในสมองแตกบ้าง และส่วนใหญ่ของผู้ป่วยเหล่านี้ มักจะลงเอยด้วยสภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอยู่พอควร โดยเฉพาะในปัจจุบันที่วิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก มีภาวะหรือโรคเลือดออกในสมองหลายชนิด ที่การรักษาได้ผลดีมาก โดยเฉพาะโรคเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมอง อะแร็คนอยด์ ซึ่งเกิดจากการแตกของกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพอง เป็นต้น
ภาพที่ 1 แสดงการรักษากระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองโดยวิธีผ่าตัดหนีบที่ส่วนคอของกระเปาะ
ภาพที่ 2 แสดงการรักษากระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองโดยวิธีผ่าตัดหนีบที่ส่วนคอของกระเปาะ ภาพที่ 3 แสดงกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองชนิดต่างๆ
กระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองเป็นพยาธิสภาพที่เกิดจากการโป่งออกของหลอดเลือดสมองเฉพาะจุด มีผลทำให้ผนังหลอดเลือดสมองบริเวณดังกล่าวบางลงและแตกออกง่ายก่อให้เกิดเลือดออกในชั้นใต้เยื่อหุ้มสมอง อะแร็คนอยด์ ซึ่งเป็นภาวะที่มีอันตรายสูง หากไม่ได้รักษา หรือรักษาไม่ทันเวลา จะมีอัตราเสียชีวิตสูงมาก ในผู้ป่วยบางรายกระเปาะหลอดเลือดโป่งพองไม่ได้แตกออก แต่ขยายขนาดขึ้นก่อให้เกิดการกดทับ เส้นประสาทสมองหรือเนื้อเยื่อสมองก่อให้เกิดอาการทางสมองได้ หรือผู้ป่วยอาจมีอาการทางสมองที่เกิดจากการที่ลิ่มเลือดซึ่งเกิดจากเลือดที่ไหลวนอยู่ในกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองขนาดใหญ่นั้น หลุดออกไปอุดตันหลอดเลือดสมองส่วนปลาย
สาเหตุของการเกิดกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองมีมากมาย แต่ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ของโรคนี้ ซึ่งจะพบกระเปาะหลอดเลือดโป่งพองที่บริเวณหลอดเลือดใหญ่ที่ฐานสมอง และมีลักษณะกลม สาเหตุเชื่อว่าเกิดจากความเสื่อมของผนังหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการที่มีกระแสเลือดไหลมากระทบตลอดเวลา ร่วมกับอายุที่มากขึ้น และปัจจัยที่เร่งกระบวนการเสื่อมของหลอดเลือดสมอง ที่พบบ่อยได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ เป็นเวลานาน จะเห็นได้ว่ามีภาวะหรือปัจจัยหลายชนิดร่วมกัน สร้างความเสื่อมให้แก่หลอดเลือดสมอง จนเกิดพยาธิสภาพเป็นกระเปาะโป่งพองขึ้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 50-60 ปี และมักจะมีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองดังที่กล่าวแล้ว ยังมีสาเหตุอีกมากที่ก่อให้เกิดโรคกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองได้ อาทิ เช่น อุบัติทางสมองที่มีการบาดเจ็บของหลอดเลือดสมอง, การติดเชื้อในกระแสเลือด ที่มีผลทำให้เชื้อฝังตัวที่ผนังหลอดเลือดสมอง, โรคที่เป็นโดยกำเนิดของชนิดที่มีผลทำให้หลอดเลือดสมองไม่แข็งแรง, โรคหลอดเลือดสมองชนิดอื่นที่มีผลทำให้มีการไหลเวียนของเลือดมากกว่าปกติมาก และทำให้หลอดเลือดสมองต้องรับกระแสเลือดมากกว่าปกตินานๆ หรือการใช้ยาเสพติดบางชนิดที่มีผลทำให้หลอดเลือดสมองเสื่อมเร็ว เป็นต้น อย่างไรก็ตามสาเหตุต่างๆ กลุ่มนี้พบได้เป็นสัดส่วนน้อย เมื่อเทียบกับกลุ่มที่เกิดจากความเสื่อมของหลอดเลือด
อุบัติการณ์ของโรคกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองในประเทศไทย ยังไม่มีการศึกษาในภาพรวมทั้งประเทศ หากใช้การอ้างอิงจากการศึกษาของต่างประเทศที่มีลักษณะของชาติพันธุ์ใกล้เคียงกับคนไทย คาดว่าจะมีความชุกของโรคนี้ประมาณ 0.5 ถึง 2% ในประชากรรวมทุกกลุ่มอายุ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากกว่าที่ประมาณการในอดีต โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าทางการตรวจหาโดยวิธีต่างๆ มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่ามีเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่มีกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพอง ที่จะเกิดการแตกขึ้น
อาการและอาการแสดงของผู้ป่วยแบ่งออกได้เป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ คือ
1.กลุ่มที่ตรวจพบกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองโดยบังเอิญ เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการแสดงที่สัมพันธ์กับพยาธิสภาพนี้ แต่ได้พบพยาธิสภาพจากการสืบค้นพิเศษขณะตรวจรักษาโรคหรือภาวะอื่น อาทิ เช่น ได้ตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมองจากอุบัติเหตุทางสมอง และพบพยาธิสภาพนี้โดยบังเอิญ เป็นต้น
2.กลุ่มที่มีการแตกออกของกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพอง ทำให้เกิดภาวะเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมอง อะแร็คนอยด์ ซึ่งเป็นชั้นที่หลอดเลือดอยู่นั่นเอง ผู้ป่วยจะมีอาการ ปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน โดยเฉพาะบริเวณต้นคอส่วนใหญ่จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ผู้ป่วยบางรายจะหมดสติหลังจากปวดศีรษะ และฟื้นขึ้นมาโดยยังคงมีอาการ ปวดศีรษะ และต้นคออย่างรุนแรงอยู่ มีผู้ป่วยบางส่วนจะหมดสติและอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว จนถึงเสียชีวิตก็มี ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพบได้มากที่สุด และต้องการการรักษารีบด่วน ซึ่งจะได้ผลการรักษาที่ดี
3. กลุ่มที่มีกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองขนาดใหญ่ และกดทับเนื้อเยื่อสมองหรือเส้นประสาทสมอง จะมีอาการหรืออาการแสดงขึ้นกับบริเวณที่ถูกกดทับ อาทิ เช่น หากกดทับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 จะมีอาการปวดร้าวบริเวณใบหน้า หากกดทับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 จะทำให้หนังตาตก และตาเหล่ออกด้านนอก เป็นต้น
4. กลุ่มที่กระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพอง มีขนาดใหญ่ ทำให้เลือดไหลวนอยู่ภายใน ก่อให้เกิดลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันหลอดเลือดสมองส่วนปลาย อาการและอาการแสดงจะเป็นไปตามบริเวณของสมอง
ที่ขาดเลือด เช่น ถ้าอุดตันหลอดเลือดที่เลี้ยงสมองซีกซ้าย อาจทำให้อ่อนแรงซีกขวาและพูดไม่ชัด เป็นต้น
การตรวจรักษา ขึ้นอยู่กับกลุ่มอาการที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ ได้แก่
1.กลุ่มผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการและอาการแสดง ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมาพบประสาทศัลยแพทย์ หลังจากได้รับการตรวจพิเศษ เช่น การทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT Scan) หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI) หรือการตรวจหลอดเลือดสมองโดยการฉีดสารทึบรังสี (Cerebral Angiography) แล้วพบพยาธิสภาพโดยบังเอิญ การตัดสินใจรักษาขึ้นอยู่กับขนาดของกระเปาะหลอดเลือดที่โป่งพอง เป็นสำคัญ ถ้าขนาดใหญ่ประสาทศัลยแพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเพื่อหนีบกระเปาะหลอดเลือดโป่งพองนั้น (Clipping) หรือปรึกษารังสีแพทย์เพื่อใส่ขดลวดสปริง (Coiling) ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับความเหมาะสมของผู้ป่วย แต่ละราย จุดประสงค์ของการรักษาก็เพื่อให้กระเปาะหลอดเลือดโป่งพองนั้นอุดตันไป,ไม่แตกอีก โดยที่เลือดยังคงไหลไปตามหลอดเลือดที่ปกติได้ ผลการรักษาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้ผลดีมาก มีผลแทรกซ้อน และอัตราเสียชีวิตต่ำมากๆ
2.กลุ่มที่มีการแตกของกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพอง และมีเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมอง
อะแร็คนอยด์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดศีรษะและต้นคออย่างมาก บางรายอาจมีระดับความรู้สึกตัวที่ลดลง ซึมหลับ แพทย์จะส่งตรวจ เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ของสมองเพื่อยืนยันภาวะเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมองอะแร็คนอยด์ เมื่อพบแล้ว แพทย์จะส่งตรวจเพื่อหาความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง โดยใช้การฉีดสารทึบรังสี หรืออาจใช้เทคนิคการตรวจหลอดเลือดสมองโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRA) หรือใช้เทคนิคการตรวจหลอดเลือดสมองโดยใช้เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CTA) ก็ได้ เมื่อพบความผิดปกติแล้ว ประสาทศัลยแพทย์ จะให้การรักษาโดยรีบด่วน เพื่อป้องกันการแตกช้ำของกระเปาะหลอดเลือดนั้น ซึ่งโอกาสแตกช้ำในช่วงระยะแรกที่ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลนี้สูงมาก และโอกาสเสียชีวิตจากาการแตกช้ำสูงถึง 60-90% การรักษาที่เป็นมาตรฐาน ได้แก่ การผ่าตัดเพื่อหนีบกระเปาะหลอดเลือดสมองที่โป่งพอง ในปัจจุบันให้ผลการรักษาที่ดีมาก ผู้ป่วยมีโอกาสสูงที่จะหายขาดและใช้ชีวิตได้ตามปกติ มีเพียงน้อยรายที่จะมีภาวะทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะขึ้นอยู่กับภาวะความเสียหายของสมองและระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วยก่อนทำการผ่าตัดรักษา จากการศึกษาผลการรักษาผู้ป่วยของโรงพยาบาลศิริราช พบว่าการผ่าตัดรักษาโดยรีบด่วนให้ผลการรักษาดีและดีมาก รวมกันประมาณ 90% ของผู้ป่วย
แสดงการรักษากระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองโดยวิธีใส่ขดลวดสปริง เพื่ออุดตัน
ในปัจจุบันการรักษาผู้ป่วยกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองที่แตก โดยใช้วิธีใส่ขดลวดสปริงเพื่อทำให้กระเปาะหลอดเลือดนั้นตีบตัน เป็นวิธีที่เริ่มใช้กันมากขึ้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วย ลักษณะทางกายภาพของกระเปาะหลอดเลือดสมองที่โป่งพองนั้น และการตัดสินใจของทีมแพทย์ผู้ร่วมทำการรักษา ผลการรักษาดีขึ้นตามลำดับ
3. กลุ่มที่มีอาการจากการกดทับสมองหรือเส้นประสาทสมองหรือ จากการที่เกิดลิ่มเลือดอุดตัน จากกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองขนาดใหญ่
ประสาทศัลยแพทย์จะทำการส่งตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง และตรวจหลอดเลือดสมองโดยใช้สารทึบรังสีเพื่อประเมินลักษณะทางกายภาพของกระเปาะหลอดเลือดนั้น และยังต้องประเมินระดับความเพียงพอของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองบริเวณที่เกี่ยวข้องกรณีที่ต้องทำการผ่าตัดตัดต่อหลอดเลือดสมอง หรือหนีบหลอดเลือดสมองถาวร
การรักษาพยาธิสภาพขนาดใหญ่นี้มีหลายวิธี เช่น การหนีบกระเปาะหลอดเลือดสมองที่โป่งพองนั้นโดยตรง, การตัดต่อหลอดเลือดสมองกรณีที่ต้องหนีบหลอดเลือดเดิมทิ้ง เป็นต้น ผลการผ่าตัดรักษาของผู้ป่วยกลุ่มนี้ในโรงพยาบาลศิริราช ได้ผลดีมาก อัตราเสียชีวิตต่ำ และมีอาการแทรกซ้อนน้อย
ในผู้ป่วยบางรายทีมแพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาโดยการใส่ขดลวดสปริง (Coiling) เข้าไปภายในกระเปาะหลอดเลือดนั้น เพื่อทำให้เกิดการตีบตันขึ้น โดยการพิจารณาวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทีมแพทย์หลายสาขาวิชาร่วมกัน
จากข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอ จะพบว่าผลการรักษาผู้ป่วยโรคกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพองนั้นดีขึ้นมากในปัจจุบันแม้ในรายที่มีอาการรุนแรงจากการแตกของกระเปาะหลอดเลือด ผู้ป่วยก็สามารถหายกลับบ้านได้ และใช้ชีวิตได้ตามปกติเป็นส่วนใหญ่ และโดยเฉพาะผู้ป่วยที่พบพยาธิสภาพในขณะที่ยังไม่เกิดการแตกของกระเปาะหลอดเลือดสมองโป่งพอง จะมีผลการรักษาที่ดีมากเกือบทั้งหมดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการตรวจรักษาอย่างทันท่วงทีด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ความเข้าใจในภาวะเหล่านี้ของผู้ป่วย และญาติ ซึ่งจะทำให้ภาวะหรือโรคที่เคยเป็นโรคอันตรายร้ายแรง หมดหวังในอดีต กลายเป็นโรคที่รักษาได้ และได้ผลดี
ขอบคุณข้อมูลจาก //www.si.mahidol.ac.th
Create Date : 16 พฤศจิกายน 2552 |
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2552 9:07:24 น. |
|
12 comments
|
Counter : 7811 Pageviews. |
|
|
|
ไม่ค่อยได้เล่นเนตบ่อยเหมือนเคยเพราะ
กำลังเร่งตอนจบของนิยายเรื่องล่าสุด
อยู่ค่ะ คิดถึงคุณกบนะคะ และดีใจเสมอ
ที่คุณกบแวะไปทักทายที่บล็อคของนุช
ค่ะ ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกันนะคะ