สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ
คุณมีสุขภาพดีแค่ไหนและเราควรไปพบแพทย์เมื่อใด







คุณมีสุขภาพดีแค่ไหน


ความหมายของการมีสุขภาพดีไม่ได้อยู่ที่การปลอดจากโรคภัย
ไข้เจ็บเท่านั้น แต่รวมถึงการมีชีวิตที่ปกติสุขทั้งร่างกายและจิตใจ
ด้วย สุขภาพที่ดีย่อมเกิดจากร่างกายที่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และจิตใจที่พร้อมเผชิญความไม่แน่นอนแห่งชีวิต
ด้วยการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความรัก การแบ่งปัน การ
รู้จักแบ่งเวลาให้เหมาะสม และมองโลกในแง่ดี


สุขภาพของแต่ละคนนั้นถูกกำหนดด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย ทั้ง
จากลักษณะทางพันธุกรรมและปัจจัยภายนอกอีกหลายประการ
ดังนั้นแม้ว่าจะเกิดมาพร้อมร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่หาก
ปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติตัวตามหนทางสู่การมีสุขภาพที่ดี หรือ
ใช้ชีวิตอย่างตรากตรำจนเกินไป สุขภาพก็จะทรุดโทรมลงอย่าง
รวดเร็ว มีรายงานถึงปัจจัยบางอย่างที่เป็นตัวเร่งการเสื่อมสภาพ
ของอวัยวะภายในร่างกาย ได้แก่ การดื่มเหล้าและการสูบบุหรี่
จัดเกินไป แต่ก็พบด้วยว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ช่วยชะลอ
ความแก่ได้เช่นกัน เช่น การออกกำลังกายและการควบคุม
น้ำหนักตัวให้เหมาะสมอยู่เสมอ


แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้สุขภาพของเราดีแค่ไหน ที่จริงแล้ว
มีวิธีทดสอบหลายอย่างที่จะบอกได้ว่าขณะนี้ร่างกายของเรา
ทำงานเป็นปกติดีหรือไม่ เช่น การวัดความดันโลหิตหรือตรวจ
ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดโดยสถานพยาบาลที่ไว้ใจได้
การวัดชีพจร หรือการคำนวณค่าดัชนีมวลร่างกาย ที่ทดสอบ
ได้ด้วยตนเองที่บ้าน นอกจากนี้ ผู้ให้บริการบำบัดเสริมบาง
แบบก็อาจช่วยตรวจหาความผิดปกติของร่างกายได้จากการ
ตรวจม่านตา หรือตรวจลิ้นอีกด้วย


สุขภาพ


การที่ร่างกายของเราทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้น ย่อม
แสดงให้เห็นถึงการมีสุขภาพกายที่ดี ซึ่งหมายถึงการที่ปอด
หัวใจและอวัยวะภายในต่างๆ ทำงานได้ดี ระบบภูมิคุ้มกันเข้มแข็ง
ตลอดจนการมีกล้ามเนื้อและกระดูกที่แข็งแรง วิธีหนึ่งที่จะช่วย
ให้สุขภาพกายแข็งแรงก็คือ การออกกำลังกาย เราสามารถ
เลือกวิธีออกกำลังกายที่ทำแล้วมีความสุข และไม่ทำให้ตนเอง
บาดเจ็บได้มากมายหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเล่นฟุตบอลกับลูก ๆ
ล้างจาน วิ่งขึ้นรถเมล์ หรือเต้นรำกับคนรัก


ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการออกกำลังกายมีผลการวิจัยใน
ประเทศอังกฤษรายงานว่า ผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 75-93 ปี ซึ่ง
ออกกำลังกายเบา ๆ ติดต่อกัน 12 สัปดาห์ จะมีกล้ามเนื้อตะโพก
แข็งแรงขึ้นราวร้อยละ 25 ซึ่งเท่ากับคุณตาคุณยายเหล่านี้กลับมี
กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งเหมือนเป็นหนุ่มสาวขึ้นอีก 16-20 ปีทีเดียว


เราสามารถดูแลสุขภาพให้ดีตลอดไปได้ด้วยตนเอง และสามารถ
ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติตัวตามแนว
ทางสู่การมีสุขภาพที่ดี รวมทั้งไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คร่างกาย
อย่างสม่ำเสมอ เช่น ตรวจคอมดลูก วัดความดันโลหิต หรือตรวจ
สายตาและสุขภาพฟันตามเวลาที่กำหนด ทาครีมกันแดดเมื่อต้อง
ตากแดดจัด ๆ ไปจนถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย นอก
จากนี้การใส่ใจกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันก็สำคัญเช่นกัน เช่น
การทำงานอย่างถูกสุขลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยท่านั่งที่ถูกต้อง การใช้เครื่องไม้เครื่องมือในการ
ทำงานด้วยความปลอดภัย รวมไปถึงการคาดเข็มขัดนิรภัยขณะ
โดยสารรถยนต์ด้วย


เมื่อถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ต้องใส่ใสดูแลตัวเองให้ดีเช่นเดิม
การเอาใจใส่ตัวเองเมื่อเป็นโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างโรคหวัด จะ
ช่วยให้หายป่วยเร็วขึ้น ส่วนผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน
หรือโรคหัวใจ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
เพื่อบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ ตลอดจนลดอาการหรือโรคแทรกซ้อน
ที่อาจเกิดขึ้นตามมา


สุขภาพจิต


เรามักเชื่อกันว่าผู้ที่มีสุขภาพจิตดีหมายถึงคนที่มีความสุขและมอง
โลกในแง่ดี มีรายงานการวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า การมีสุขภาพ
จิตที่ดีนั้นสัมพันธ์กับการมีสุขภาพกายที่ดีอย่างชัดเจนอีกทั้งยังมี
รายงานจำนวนมากกว่าวด้วยว่า ผู้ที่กล่อมเกลาจิตใจของตนให้
มองโลกในแง่ดีขึ้นได้ จะสามารถบำบัดและเยียวยาอาการ
เจ็บป่วยที่เป็นอยู่อย่างได้ผล


สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเป็นตัวกำหนดภาวะของสุขภาพจิตก็คือ
ความเครียด ซึ่งหมายถึงแรงกดดันต่าง ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทั้ง
จากภายในและภายนอกร่างกาย แต่ตัวความเครียดเองนั้น
กลับไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่ากับวิธีการที่แต่ละคนใช้รับมือกับ
ความเครียด เนื่องจากความเครียดบางรูปแบบที่เกิดขึ้นอย่าง
สร้างสรรค์ในระดับพอประมาณ จะช่วยกระตุ้น รวมทั้งเพิ่ม
พลังและชีวิตชีวาให้เราได้ แต่ถ้าเครียดมากเกินไป จน
กลายเป็นความโกรธและวิตกกังวล ก็จะส่งผลให้ร่างกาย
ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บได้น้อยลง


ข้อปฏิบัติเพื่อการมีสุขภาพที่ดี


ถ้าใครรู้ตัวว่ากำลังใช้ชีวิตไปในทางที่ทำลายสุขภาพละก็
ควรพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ โดยเริ่มจากการตั้ง
เป้าหมายที่เป็นไปได้ แก้จุดอ่อนทีละจุด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ที่ไม่ดีไปทีละข้อจนเข้าสู่วิถีแห่งการมีสุขภาพดีในที่สุด โดย


- กินอาหารให้ได้สมดุลทางโภชนาการ โดยยึดหลักการกิน
ให้หลากหลายชนิดมากที่สุด และพยายามควบคุมน้ำหลักตัว
ให้เหมาะสม

- ดื่มสุราในปริมาณพอเหมาะพอดี โดยเน้นที่การดื่มอย่างปลอดภัย
และไม่ทำลายสุขภาพ

- หากสูบบุหรี่อยู่ก็ควรเลิกเสีย

- ออกกำลังกายให้มากขึ้น เพราะยิ่งออกกำลังกายมากเท่าไร
ร่างกายก็จะยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น

- หากมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพควรปรึกษาแพทย์

- จัดการกับความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม


ตรวจสอบการใช้ชีวิตของตนเอง


เมื่ออ่านคำถามต่อไปนี้แล้ว ถ้าตอบ “ใช่” มากเท่าใด ก็แสดงว่า
คุณมีสุขภาพดีมากเท่านั้น แต่หากตอบ “ไม่ใช่” ในข้อใด ก็ควร
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ให้ถูกต้อง

- คุณกินอาหารสด ๆ ที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ เป็นประจำ ไม่ชอบกิน
อาหารแปรรูปใช่ไหม
- น้ำหนักตัวของคุณเหมาะสมกับส่วนสูงใช่ไหม
- คุณไม่สูบบุหรี่หรือเลิกสูบแล้วใช่ไหม
- คุณดื่มเหล้าในปริมาณที่เหมาะสมใช่ไหม
- คุณสามารถหยุดความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น และทำให้ตนเอง
ผ่อนคลายได้ใช่ไหม
- คุณมีเวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องบ้างใช่ไหม
- คุณเดินขึ้นบันไดสามขั้นได้โดยไม่มีอาการหอบหรือหายใจ
ไม่ออกใช่ไหม
- คุณได้เดินเล่น เล่นกับลูก ๆ ทำสวน เต้นรำ ล้างจาน หรือทำ
กิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องออกแรงอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง สัปดาห์
ละ 5 วัน ใช่ไหม
- คุณหลับง่ายและหลับสนิทตลอดคืนใช่ไหม
- ส่วนใหญ่คุณตื่นนอนตอนเช้าอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวาใช่ไหม


เราควรไปพบแพทย์เมื่อใด


เมื่อก่อนนี้เรามักไปพบแพทย์เฉพาะยามป่วยไข้ แต่ในปัจจุบัน
แพทย์สามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวของสุขภาพได้
ร้อยแปด นับตั้งแต่วิธีดูแลตนเองให้มีสุขภาพดี ไปจนถึงการ
รักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เราอาจต้องไปพบ
แพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำ เช่น ตรวจมดลูก หรือ
ไม่ก็ไปเพื่อปรึกษาเรื่องการลดน้ำหนัก ขอคำแนะนำเกี่ยวกับ
การเลิกบุหรี่ หารือเกี่ยวกับการวางแผนครองครัว หรือไปฉีด
วัคซีนให้ลูก ๆ ตามกำหนดเวลา และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ
การไปพบแพทย์ เมื่อเกิดความเจ็บป่วย บางครั้งก็เป็นเรื่อง
ยากที่จะรู้ว่าควรไปพบแพทย์เมื่อใด เช่น ทุก ๆ ฤดูหนาว
ตามคลินิกและโรงพยาบาลต่าง ๆ จะคับคั่วไปด้วยคนเป็นหวัด
ทั้ง ๆ ที่หวัดก็ไม่ใช่โรคที่แพทย์จะรักษาให้หายได้ เพียงแต่
ช่วยบำบัดไปตามอาการเท่านั้น การรักษาที่ดีที่สุดคือ การ
นอนพักและดื่มน้ำหรือของของเหลวอย่างอื่นมาก ๆ และ
เมื่อร่างกาย แข็งแรงแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันก็จะจัดการกับ
เชื้อโรคเหล่านั้นได้เอง แต่ก็มีความผิดปกติหลายอย่างที่
เมื่อเป็นแล้วควรไปพบแพทย์ทันที และควรไปพบซ้ำอีก หาก
อาการทรุดลงหรือเป็นอยู่หลายวันไม่หาย


หากเป็นไปได้ก็ควรไปพบแพทย์ในเวลาทำการ ไม่ควรไปปลุก
แพทย์กลางดึก ยกเว้นกรณีที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น อย่าลืมว่า
อาการของโรคต่าง ๆ มักทรุดลงในตอนกลางคืน ทำให้ผู้ป่วย
มักนึกไปว่าตนเองเป็นโรคร้ายแรงกว่าที่เป็นอยู่จริง ซึ่งอาจเป็น
เพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น แต่หากไม่แน่ใจกับอาการที่เกิดขึ้น
จริง ๆ ก็ควรปรึกษาแพทย์ทันที โดยควรเตรียมเบอร์โทรศัพท์
สำหรับติดต่อในกรณีฉุกเฉินไว้ให้พร้อม


เมื่อไปพบแพทย์


เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ควรจดรายละเอียดของอาการเจ็บป่วย
ที่เกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า รวมทั้งปัญหาหรือข้อสงสัยต่าง ๆ ที่อยาก
ถามแพทย์ด้วย และสิ่งที่ควรบอกกับแพทย์คือ เราเริ่มสังเกต
เห็นความผิดปกติของร่างกาย หรือรู้สึกว่าตนเองเริ่มป่วยตั้งแต่
เมื่อไหร่ และเคยมีอาการเช่นนี้มาก่อนหรือไม่ โดยพยายาม
เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ละเอียดที่สุด


โดยปกติแล้วแพทย์มักวินิจฉัยโรคได้จากการตรวจดูอาการของ
คนไข้ รวมทั้งดูจากสัญญาณเตือนต่าง ๆ ของโรคร้ายแรง แพทย์
จะใช้วิธีซักอาการประกอบกับการดูเวชประวัติ และลงมือรักษา
ได้ทันทีโดยอาจไม่ต้องตรวจร่างกายเพิ่มเติมเลย แต่หากจำเป็น
แพทย์ก็อาจส่งคนไข้ไปปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางด้านอื่น เพื่อ
การรักษาขั้นต่อไป


หากรู้สึกว่ายังไม่เข้าใจสิ่งใดก็ให้ซักถามแพทย์ทันที เช่น โรค
ที่เป็นนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร โดยปกติแล้วโรคนี้รักษากันอย่างไร
เราจะช่วยอะไรได้บ้างไหม และจะมีผลต่อร่างกายในระยะยาว
หรือไม่ นอกจากนี้ยังควรถามถึงวิธีปฏิบัติตัวที่จะช่วยให้โรคหาย
เร็วขึ้น รวมทั้งวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคซ้ำอีกด้วย


อาการเตือนว่าอาจเจ็บป่วยร้ายแรง ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมี
อาการต่อไปนี้

- น้ำหนักลดลง 3 กิโลกรัมหรือมากกว่านั้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตามกับเต้านม เช่น ผิวสัมผัส รูปร่าง
ขนาดมีก้อนขึ้นในเต้านม มีเลือดหรือหนองไหลออกจากหัวนม
- เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตามกับอัณฑะ เช่น บวม เป็นก้อน
หรือความผิดปกติอื่นที่เป็นอยู่นานไม่หาย รวมทั้งการที่อวัยวะเพศ
ไม่แข็งตัว
- รู้สึกกระหายน้ำโดยไม่มีเหตุชัดเจน
- รู้สึกเวียนศีรษะโดยไม่มีเหตุผล
- เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตามกับไฝหรือหูดที่ผิวหนัง เช่น
เปลี่ยนสี ขนาด โตหรือหนาขึ้น คัน มีเลือดออก
- ไอเป็นเลือด ปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด มีเลือดออกจาก
ช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกมากในช่วงมีประจำเดือน
หรือมีเลือดออกหลังหมดระดูแล้ว
- อุจจาระเป็นสีดำ หรือกิจวัตรในการขับถ่ายเปลี่ยนไปติดต่อ
กันนาน ๆ
- มีอาการอาหารไม่ย่อยบ่อย ๆ หรือมีอาการเรอเปรี้ยว
- กลืนอาหารยาก และเสียงแหบแห้งติดต่อกันนานเกิน 3 สัปดาห์
- ปวดศีรษะรุนแรงหรือปวดมากจนผิดปกติเป็นครั้งแรก
- ปวดขาโดยไม่รู้สาเหตุหรือปวดบ่อย ๆ และปวดหลังไม่หาย
- เป็นแผลไม่หาย หรือเกิดการบวมโดยไม่รู้สาเหตุ


คำเตือน

ห้ามให้ยาแอสไพรินกับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เพราะอาจทำให้เกิด
โรคร้ายแรงบางอย่างที่เรียกว่ากลุ่มอาการรัย หากต้องการลดไข้
ให้ใช้ยาพาราเซตามอลแทน







Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2552 10:27:04 น. 0 comments
Counter : 1333 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
2 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.