สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ

ความรู้เรื่องโรคไต





โรคไต หมายถึง โรคอะไรก็ได้ที่มีความผิดปกติหรือที่เรียกว่า พยาธิสภาพ เกิดที่บริเวณไต ที่พบมาก ได้แก่

• โรคไตวายฉับพลันจากเหตุต่างๆ
• โรคไตวายเรื้อรังเกิดตามหลังโรคเบาหวาน โรคไตอักเสบ หรือโรคความดันโลหิตสูง
• โรคไตอักเสบเนโฟรติก
• โรคไตอักเสบจากภาวะภูมิคุ้มกันสับสน (โรค เอส.แอล.อี.)
• โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
• โรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic Kidney Disease)


อาการ

• ปัสสาวะเป็นเลือด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรคไต แต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ โดยจะปัสสาวะเป็นเลือด อาจเป็นเลือดสดๆ เลือดเป็นลิ่มๆ
• ปัสสาวะเป็นสีแดง สีน้ำล้างเนื้อ สีชาแก่ๆ หรือปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม ก็ได้
• ปัสสาวะเป็นฟองมาก เพราะมี albumin หรือโปรตีนออกมามาก จะทำให้ปัสสาวะมีฟองขาวๆ เหมือนฟองสบู่
• การมีปัสสาวะเป็นเลือด พร้อมกับมีไข่ขาว-โปรตีนออกมาในปัสสาวะพร้อมๆ กัน เป็นข้อสันนิฐาน ที่มีน้ำหนักมากว่าจะเป็นโรคไต
• ปัสสาวะขุ่น อาจเกิดจากมี เม็ดเลือดแดง (ปัสสาวะเป็นเลือด) เม็ดเลือดขาว (มีการอักเสบ) มีเชื้อแบคทีเรีย (แสดงว่ามีการติดเชื้อ) หรืออาจเกิดจากสิ่งที่ร่างกายขับออกจากไต แต่ละลายได้ไม่ดี เช่น พวกผลึกคริสตัลต่างๆ เป็นต้น
• การผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ เช่นการถ่ายปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบ ปัสสาวะราด เบ่งปัสสาวะ อาการเหล่านี้ ล้วนเป็นอาการผิดปกติ ของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่นกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก และท่อทางเดินปัสสาวะ
• การปวดท้องอย่างรุนแรง (colicky pain) ร่วมกับการมีปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่น หรือมีกรวดทราย แสดงว่าเป็นนิ่วในไต และทางเดินปัสสาวะ
• การมีก้อนบริเวณไต หรือบริเวณบั้นเอวทั้ง 2 ข้าง อาจเป็นโรคไต เป็นถุงน้ำการอุดตันของไต หรือเนื้องอกของไต
• การปวดหลัง ในกรณีที่เป็นกรวยไตอักเสบ จะมีอาการไข้หนาวสั่น และปวดหลังบริเวณไต คือ บริเวณสันหลังใต้ซี่โครงซีกสุดท้าย
• อาการบวม โดยเฉพาะการบวมที่บริเวณ หนังตาในตอนเช้า หรือหน้าบวม ซึ่งถ้าเป็นมาก จะมีอาการบวมทั่วตัว อาจเกิดได้ในโรคไตหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อย โรคไตอักเสบชนิดเนฟโฟรติค ซินโดรม (Nephrotic Syndrome)
• ความดันโลหิตสูง เนื่องจากไตสร้างสารควบคุมความดันโลหิต ประกอบกับไต มีหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำ และเกลือแร่ในร่างกาย เพราะฉะนั้นความดันโลหิต สูงอาจเป็นจากโรคไตโดยตรง หรือในระยะไตวายมากๆ ความดันโลหิตก็จะสูง ได้
• ซีดหรือโลหิตจาง เช่นเดียวกับความดันโลหิตสูง สาเหตุของโลหิตจางมีได้ หลายชนิด แต่สาเหตุที่เกี่ยวกับโรคไตก็คือ โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic renal failure) เนื่องจากปกติ ไตจะสร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) เพื่อไปกระตุ้นให้ไขกระดูก สร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อเกิดไตวายเรื้อรัง ไตจะไม่สามารถสร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) ไปกระตุ้นไขกระดูก ทำให้ซีด หรือโลหิตจาง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามืด เป็นลมบ่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ควรต้องไปพบแพทย์ ทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ จึงจะพอบอกได้แน่นอนขึ้น ว่าเป็นโรคไตหรือไม่


สาเหตุ

• เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital) เช่นมีไตข้างเดียว หรือไตมีขนาดไม่เท่ากัน โรคไตเป็นถุงน้ำ (Polycystic kidney disease) ซึ่งเป็น กรรมพันธุ์ด้วย เป็นต้น
• เกิดจากการอักเสบ (Inflammation) เช่นโรคของกลุ่มเลือดฝอยของไตอักเสบ (glomerulonephritis)
• เกิดจากการติดเชื้อ (Infection) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่ เช่นกรวยไตอักเสบ ไตเป็นหนอง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (จากเชื้อ โรค) เป็นต้น
• เกิดจากการอุดตัน (Obstruction) เช่นจากนิ่ว ต่อมลูกหมากโต มะเร็งมดลูกไปกดท่อไต เป็นต้น
• เนื้องอกของไต ซึ่งมีได้หลายชนิด


คำแนะนำ

1. กินอาหารโปรตีนต่ำ หรืออาหารโปรตีนต่ำมาก ร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็น
โดยกินอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งหมายถึงโปรตีน ที่ได้จากเนื้อสัตว์ทุกชนิด จำนวน 0.6 กรัม ของโปรตีน / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน โดยไม่ต้องให้กรดอะมิโนจำเป็น หรือกรดคีโต (Keto Acid) เสริม เพราะอาหารโปรตีนในขนาดดังกล่าวข้างต้น ให้กรดอะมิโนจำเป็นในปริมาณที่พอเพียง กับความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว

ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยซึ่งมีน้ำหนักตัวเฉลี่ย ประมาณ 50-60 กิโลกรัม ควรกินอาหาร ที่มีปริมาณโปรตีนสูงประมาณ 30-60 กรัม / วัน อาจจำกัดอาหารโปรตีน เพื่อชะลอการเสื่อมหน้าที่ ของไตได้อีกวิธีหนึ่ง โดยให้ผู้ป่วยกินอาหารโปรตีนต่ำมาก (0.4 กรัม / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน) ร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็น หรืออนุพันธ์คีโต (Keto Analog) ของกรดอะมิโนจำเป็น ในกรณีผู้ป่วยมีน้ำหนักเฉลี่ย 50-60 กิโลกรัม ควรกินโปรตีนประมาณ 20-25 กรัม / วัน เสริมด้วยกรดอะมิโนจำเป็น หรืออนุพันธ์ครีโตของกรดอะมิโนจำเป็น 10-12 กรัม / วัน

2. กินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำ โดยผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง ควรควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอล ในอาหารแต่ละวันไม่ให้เกิน 300 มิลลิกรัม / วัน ด้วยการจำกัดอาหาร ที่มีโคเลสเตอรอลมาก เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ทุกชนิด และนม เป็นต้น

3. งดกินอาหารที่มีฟอสเฟตสูง ฟอสเฟตมักพบในอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม และเมล็ดพืชต่างๆ เช่น ถั่วลิสง เม็ดทานตะวัน เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดอัลมอนด์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว พบว่าอาหารที่มีฟอสเฟตสูง จะเร่งการเสื่อมของโรคไตวายเรื้อรัง ให้รุนแรงมากขึ้น และมีความรุนแรงของ การมีโปรตีนรั่วทางปัสสาวะมากขึ้น นอกเหนือจากผลเสีย ต่อระบบกระดูกดังกล่าว

4. ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ไม่มีอาการบวม การกินเกลือในปริมาณไม่มากนัก โดยไม่ต้องถึงกับงดเกลือโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ควรกินเกลือเพื่อการปรุงรสเพิ่ม ผู้ป่วยที่มีอาการบวมร่วมด้วย ควรจำกัดปริมาณเกลือที่กินต่อวันให้น้อยกว่า 3 กรัมของน้ำหนักเกลือแกง (เกลือโซเดียมคลอไรด์) ต่อวัน ซึ่งทำได้โดยกินอาหารที่มีรสชาติจืด งดอาหารที่มีปริมาณเกลือมาก ได้แก่ เนื้อสัตว์ทำเค็ม หรือหวานเค็ม เช่น เนื้อเค็ม ปลาแห้ง กุ้งแห้ง รวมถึงหมูแฮม หมูเบคอน ไส้กรอก ปลาริวกิว หมูสวรรค์ หมูหยอง หมูแผ่น ปลาส้ม ปลาเจ่า เต้าเจี้ยว งดอาหารบรรจุกระป๋อง เช่น ปลากระป๋อง เนื้อกระป๋องข้างต้น

5. ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่มีน้ำหนักเกิน น้ำหนักจริงที่ควรเป็น (Ideal Weight for Height) ในคนปกติ ควรจำกัดปริมาณแคลอรี ให้พอเพียงในแต่ละวันเท่านั้น คือ ประมาณ 30-35 กิโลแคลอรี / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน


ภาวะไตวายคือ ภาวะที่มีการสูญเสียการทำงานของไต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

1. ไตวายเฉียบพลัน โดยช่วงเวลาที่เกิดขึ้นจะเป็นชั่วโมง หรือ เป็นวันทำให้เกิดการคั่งของ ของเสียทำให้เกลือแร่ กรด ด่าง และ การควบคุม ปริมาณน้ำในร่างกายผิดปกติ ถ้าไม่ได้รับการรัดษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่ จะมีปริมาณปัสสาวะต่อวันน้อยกว่า 400 ซีซี สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน มีหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติ ของการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่ช๊อกจากการติดเชื้อ, เสียเลือดจำนวนมาก หรือขาดน้ำอย่างรุนแรงจากท้องเสีย การใช้คำว่า "เฉียบพลัน" นอกจากบ่งถึง ช่วงเวลาระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ยังบ่งถึงความเป็นไปได้ ที่ไตจะกลับสู่ภาวะปกติได้
2. ไตวายเรื้อรัง คือการสูญเสียการทำงานของไต ที่เป็นไปอย่างช้าๆ และถาวร ช่วงเวลาอาจตั้งแต่ 1-2 ปี จนถึง 10 ปีขึ้นไป จนในที่สุดเข้าสู่ภาวะสุดท้ายของไตวาย (END STAGE OF RENAL FAILURE) ซึ่งหมายถึง ภาวะที่ต้องการการรักษา แบบทดแทน (เช่น ฟอกเลือด, เปลี่ยนไต) เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้


อาการและสัญญาณบอกเหตุ ของผู้ป่วยโรคไต

1. ปัสสาวะเป็นเลือด ซึ่งอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรืออาจมีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ
2. มีโปรตีนหรือไขขาวรั่วออกมาในปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้ปัสสาวะที่ออกมามีฟองมาก และฟองไม่สลายตัวไปง่ายๆ (การมีฟองในปัสสาวะเล็กน้อยถือเป็นเรื่องปกติ)
3. อาการบวมรอบๆ ตาและข้อเท้า
4. อาการปวดหลัง จะปวดบริเวณบั้นเอว บางครั้งก็ร้าวที่ขาหนีบ และลูกอัณฑะ หากความเจ็บปวดเกิดขึ้น เหนือกระดูกหัวเหน่า แสดงว่า มีการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ และถ้าความเจ็บปวดเกิดขึ้น พร้อมกับอาการไข้และหนาวสั่น แสดงว่ามีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนบน คืแท่อไตและกรวยไต สิ่งที่ต้องคำนึงไว้ คือ อาการปวดหลัง ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับไตเสมอไป เนื่องจจากส่วนหลังของร่างกาย ยังมีกระดูกกล้ามเนื้อ และเส้นประสาท ความเป็นจริงที่พบคือ โรคไตส่วนใหญ่ที่พบ ก็ไม่ได้มีอาการปวดหลัง
5. ปัสสาวะลำบาก สาเตุจากนิ่ว หรือต่อมลูกหมากโต
6. อาการของไตวาย ผู้ป่วยที่ไตวายไม่มากนักจะไม่ปรากฎอาการให้เห็น แต่จะทราบโดยการเจาะเลือด ตรวจดูการทำงานของไต ที่สำคัญ คือ ระดับยูเรียไนโตรเจน (BLOOD UREA NITROGEN - BUN) และระดับเครียตินิน (SERUM CREATININE) เมื่อไตวายเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยมีอาการที่เราเรียกว่า "กลุ่มอาการยูรีเมีย" ซึ่งเกิดจากการที่มีของเสียสะสมในร่างกาย ทำให้เกิดความผิดปกติ ของการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวซีด เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อ่อนเพลีย คันไปทั้งตัว บวมที่ส่วนหน้าและส่วนขา ปัสสาวะบ่อยครั้งในเวลากลางคืน และเกิดหัวใจล้มเหลว


การล้างไต

ที่ใช้อยู่มี 2 วิธี คือ การล้างไตทางหน้าท้อง และการฟอกเลือดโดยใช้เครื่องไตเทียม เนื่องจากการล้างไต เป็นการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก เพราะฉะนั้น กรณีผู้ป่วยยังไม่มีอาการทางยูรีเมีย เช่น ยังรู้สึกสบายดี ไม่เพลีย ไม่คลื่นไส้ สมรรถภาพหัวใจ ยังอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ และไม่มี ภาวะทุโภชนาการ แพทย์จึงดูแลแบบประคับประคองไปก่อน บางครั้งแพทย์ที่ดูแลจะใช้ผลเลือด เป็นเกณฑ์ในการแนะนำ ให้ผู้ป่วยเข้าโปรแกรมล้างไต คือ ค่าซีรัม BUN ควรจะเกิน 100 mg/d หรือค่าซีรัมเครียตินิน ควรเกิน 9 mg/d ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรมีกาอารยูรีเมียร่วมด้วย


ข้อบ่งชี้ที่แน่นอนและชัดเจนของผู้ป่วยที่ควรเริ่มทำการล้างไต

1. ผู้ป่วยที่มีการทำงานของสมองผิดปกติ ซึมลง ไม่ค่อยรู้สึกตัว
2. มีการอักเสบของเยื้อหุ้มปอด และเยื้อหุ้มหัวใจจากยูรีเมีย
3. มีความผิดปกติของเส้นประสาทส่วนปลาย เ่นมีอาการชาตามปลายมือ ปลายเท้า แขนขาอ่อนแรง
4. มีภาวะน้ำเกินหรือหัวใจล้มเหลวบ่อยๆ
5. มีโพแทสเซียมในเลือดสูงบ่อย ๆ และไมาสามารถควบคุมได้ โดยการใช้ยา
6. มีภาวะเป็นกรดในเลือด และไม่สามารถควบคุมโดยการให้ยารักษา


อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ที่ทำการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

หากไตมีความบกพร่องในหน้าที่ 3 ประการที่กล่าวมา การขจัดของเสียจำพวกโปรตีน น้ำ และเกลือแร่จะขาดความสมดุล ซึ่งในผู้ป่วยบางรายก็จะมีอาการบ่งชี้ แต่บางรายก็ไม่แสดงอาการ ด้วยเหตุนี้การตรวจเลือด และปัสสาวะจึงมีความสำคัญมาก

อาหารโปรตีนต่ำ 40 กรัมโปรตีนต่อวัน ร่วมกับเสริมกรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด หรืออาหารโปรตีนสูง 60-75 กรัมโปรตีนต่อวัน
พยายามใช้ไข่ขาว และปลาเป็นแหล่งอาหารโปรตีน
หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์
หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์ และกะทิ
งดอาหารเค็ม จำกัดน้ำ
งดผลไม้ ยกเว้นเช้าวันฟอกเลือด
งดอาหารที่มีฟอสเฟตสูง เช่น เมล็ดพืช นมสด เนย ไข่แดง
รับประทานวิตามินบีรวม , ซี และกรดโฟลิก รับประทาน
อาหารวิตามินดีชนิด 1-alpha hydrocylated form ตามแพทย์สั่ง หลีก
เลี่ยงวิตามินเอ


อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง

โรคไตวายเรื้อรังมีหลายระยะ ระยะเริ่มแรกอาการจะน้อยมาก แต่เมื่อเป็นจนถึงระยะปานกลาง และระยะรุนแรง อาการจะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการจะเพิ่มพูนจนไปถึงไตวายระยะสุดท้ายอย่างรวดเร็ว ซึ่งการรักษาโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายนั้น นอกจากผู้ป่วยจะได้รับความทุกข์ทรมานแล้ว ยังเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก ดังนั้นจึงควรชะลอการดำเนินของโรคไตวายเรื้อรังด้วยการควบคุมอาหาร


อาหารจำกัดโซเดียม

ใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการบวม ถ่ายปัสสาวะน้อย หัวใจวาย น้ำท่วมปอด หรือมีความดันโลหิตสูง เมื่อสั่งให้ "กินอาหารจำกัดโซเดียม" หมายความว่าจะต้องงดอาหารที่มีโซเดียมมาก

อาหารที่มีโซเดียมมาก ได้แก่ อาหารที่มีรสเค็ม เพราะมีโซเดียมคลอไรด์ ( เกลือ) มาก เช่น

• เกลือป่น เกลือเม็ด
• น้ำปลา น้ำบูดู ซอสหอย ซอสเนื้อ ซอสถั่ว ซีอิ๊ว
• ซอสที่มีรสอื่นนำ มีรสเค็มแผง เช่น ซอสพริก (มีรสเปรี้ยว และเผ็ดนำ ความจริงมีรสเค็มด้วย) ซอสมะเขือเทศ ซอสรสเปรี้ยว ๆ เป็นต้น
• อาหารดองเค็ม เช่น เนื้อเค็ม กุ้งแห้ง กะปิ ผักดองเค็ม ผลไม้ดองเค็ม
• อาหารดองเปรี้ยว เช่น หลาเจ่า แหนม ไส้กรอกอีสาน หัวหอมดอง หน่อไม้ดอง ผัดกาดเขียวดองเปรียว ผักดองสามรส กระเทียมดองสามรส เป็นต้น
• อาหารที่มีรสหวาน และเค็มจัด เช่น ปลาหวาน กุ้งหวาน หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง ผลไม้แช่อิ่ม เป็นต้น


อาหารจำกัดโปแตสเซียม

การจัดอาหารให้มีโปแตสเซียมน้อย กระทำได้ยากกว่าการจัดให้มีโซเดียมน้อย เพราะธาติโปแตสเซียมมีในอาหารทั่วไปทั้งสัตว์ และพืชต่างจากโซเดียม ซึ่งมีมากแต่ในสัตว์ (เช่น เนื้อ นม ไข่) อาหารที่มีโปแตสเซียมมาก คือ

พวกเนื้อสัตว์ ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เครื่องในสัตว์ ไข่ และนม
พวกผัก ได้แก่ หัวผักกาดสีแสด ผักชี ผักที่มีใบสีเขียวเข้ม ถั่วดำ และถั่วปากอ้า มีมากเป็นพิเศษ
พวกผลไม้ ได้แก่ กล้วย ส้ม และน้ำส้มคั้น แตงโม แตงหอม มะละกอ ลูกท้อ
ผลไม้แห้งทุกชนิด เช่น ลูกเกด ลูกพรุน
เบ็ดเตล็ด กากน้ำตาล ช็อกโกแล็ต มะพร้าวขูด
ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยต้องกินอาหารจำกัดโปแตสเซียม จึงต้องจำกัดอาหารทั้งพวกเนื้อสัตว์ พวกผัก และผลไม้ประเภทที่มีโปแตสเซียมสูงๆ


อาหารจำกัดโปรตีน มีประโยชน์อย่างไร

อาหารจำกัดโปรตีนจะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของไต และช่วยลดระดับของเสียที่คั่งอยู่ในร่างกายผู้ป่วย ทำให้อาการบางอย่างของโรคไตวายลดลง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มีแผลในปาก เป็นต้น

อาหารที่มีโปรตีนสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ (ทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อปลา) เครื่องในสัตว์ ไข่ นม และถั่ว

คำว่า "จำกัด" ในที่นี้หมายถึง ให้รับประทานแต่น้อย แต่ไม่ได้ห้ามรับประทานโดยเด็ดขาด คือให้รับประทานได้วันละ 20-25 กรัม นั่นคือ เนื้อสัตว์ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ หรือหมูย่างประมาณ 4 ไม้

การจำกัดโปรตีนไม่ให้เกิน 20-25 กรัมต่อวัน ต้องใช้ควบคู่กับการรับประทาน คู่เหมือนของกรดอะมิโนจำเป็น (KETOANALOGUE OF ESSENTIAL AMINO ACID, KA) หรือกรดอะมิโนจำเป็น (ESSENTIAL AMINO ACID) เสริมในปริมาณที่แพทย์แนะนำ ห้ามผู้ป่วยนำไปใช้เองโดยไม่มีการรับประทาน EAA หรือ KA เสริม


เงื่อนไขในการจำกัดอาหารโปรตีน

ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังในระยะเริ่มแรก ถึงระยะรุนแรง ( คือผู้ป่วยที่มีค่าความเข้มข้นของครีเอตินีนในเซรุ่มประมาณ 2-8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) เท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไตวาย (HEMODIALYSIS) หรือวิธีล้างไตทางช่องท้อง (PERITONEAL DIALYSIS)


การจำกัดปริมาณน้ำ

หากผู้ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังขั้นรุนแรง จะต้องจำกัดปริมาณน้ำดื่มในแต่ละวันให้เหมาะสม ตามวิธีการคำนวณง่าย ๆ คือ

ปริมาณน้ำดื่มแต่ละวัน = ปริมาณปัสสาวะของเมื่อวาน + 500 มิลลิลิตร

อาการเริ่มแรกที่บ่งชี้ว่าอาจเป็นโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ อาการบวมที่หน้าหรือเท้า ปัสสาวะเป็นสีคล้ำ สีน้ำล้างเนื้อ หรือเป็นเลือด ปัสสาวะแสบ ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืนถ่ายปัสสาวะมากกว่า 3 ครั้ง ปวดบริเวณหลัง ชายโครง ปวดหรือเวียนศีรษะ เมื่อมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์

การรักษาโรคไตนั้นนอกจากจะรักษาด้วยยาแล้ว การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย และเรื่องอาหารเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากโรคไตส่วนใหญ่ใช้เวลารักษานาน ผู้ป่วยจึงไม่ควรเพิ่ม ลด หยุดยา หรือไปซื้อยารับประทานเอง เพราะอาจเป็นอันตรายได้

โรคไตเป็นสาเหตุความเจ็บป่วย และสาเหตุการตายที่สำคัญ ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบาหวานชนิดพึ่งอินสุลิน โดย 30-35 % ของผู้ป่วย จะเกิดภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งต้องทำการรักษาต่อด้วยวิธีไตเทียมหรือด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่เรียกเป็นทางการว่าการปลูกถ่ายไต

ผู้ป่วยเบาหวานที่มีความผิดปกติของไตในระยะแรกๆ จะไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่จะตรวจพบโปรตีนไข่ขาวในปัสสาวะ เมื่อมีการเสื่อมของไตมากขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 4-7 ปี จะมีการเปลี่ยนแปลงจนไตเสียหน้าที่ มีการสะสมการคั่งของของเสียภายในร่างกาย ผู้ป่วยอาจมีอาการบวมร่วมด้วย หลังจากระยะนี้อีกประมาณ 1-2 ปี จะเกิดภาวะไตวายเรื้อรังขึ้น


สำหรับหลักทั่วไปในการดูแลผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต หรือไม่ให้ไตเสื่อมเร็วเกินไป สรุปได้ดังนี้

1. เมื่อทราบว่าเป็นเบาหวาน ต้องพยายามรักษาระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติ หรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด เพื่อทำให้ไตยังทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเดิม
2. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
3. ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ , เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารโปรตีนสูง
5. ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
6. เมื่อจำเป็นต้องใช้ยา ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีผลทำให้ไตเสื่อม


เด็กเป็นไตวายได้ด้วยหรือ

สาเหตุ ของภาวะไตวายเรื้อรัง หรือไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในเด็ก มีความแตกต่างจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กเล็ก มักเกิดจากความผิดปกติ ทางโครงสร้างของไต และระบบทางเดินปัสสาวะ ตั้งแต่กำเนิด เช่นภาวะไตเล็ก และเนื้อไตผิดปกติ ภาวะอุดกั้นในทางเดินปัสสาวะ และโรคทางพันธุกรรม ขณะที่ในเด็กโต มักเกิดจากโรคไตอักเสบเรื้อรัง กลุ่มอาการเนโฟรติก และโรคเอสแอลอี

อาการ ที่บ่งบอกว่าเป็นโรคไตวาย เช่น ปัสสาวะน้อย หรือไม่มีปัสสาวะ ปัสสาวะมาก ปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน สิ่งเหล่านี้ เกิดจากความผิดปกติของหลอดไต ในการดูดกลับสารน้ำและเกลือแร่ ปัสสาวะสีน้ำล้างเนื้อ มีอาการหน้าและหนังตาบวม หรือเท้าบวมทั้งสองข้าง ซึ่งสังเกตได้ง่าย เวลาตื่นนอนตอนเช้า และการกดบุ๋มที่หน้าแข้งทั้งสองข้าง ความดันโลหิตสูง

อาการที่บ่งบอกว่า เป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย คือ ตัวซีด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เป็นตะคริว ผิวหนังแห้ง คันตามตัว ตามัว บวม เหนื่อยหอบ ถ้าเป็นมากขึ้นจะซึมลง ชัก หมดสติ และเสียชีวิตได้ในที่สุด โดยผู้ป่วยเด็กมีอาการอื่นๆ ได้อีก เช่น การเจริญเติบโตช้า จากการขาดสารอาหาร และความผิดปกติของฮอร์โมน ช่วยการเจริญเติบโต หรือติดเชื้อบ่อยๆ รวมทั้ง การเจริญเติบโตของกระดูกที่ผิดปกติ

การสืบค้นที่จำเป็น และสามารถบอกได้ว่า มีภาวะไตวายหรือไม่ คือ การตรวจปัสสาวะและเลือด เพื่อประเมินการทำงานของไต


การปลูกถ่ายไตมี 2 ประเภท ดังนี้

1. จากผู้บริจาคที่เสียชีวิต

2. จากผู้บริจาคที่มีชีวิต โดยต้องมีหมู่เลือดที่เข้ากันได้ และเนื้อเยื่อเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกัน เพื่อให้ผลการปลูกถ่ายไตออกมาดี การปลูกถ่ายไตในเด็ก มักได้จากผู้บริจาคที่มีชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบิดา หรือมารดา จากข้อกำหนดว่า การปลูกถ่ายไต จากผู้บริจาคที่มีชีวิต ต้องมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด ได้แก่
• บิดาหรือมารดา บุตรหรือธิดา พี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน ที่สามารถพิสูจน์ได้ โดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือทางกฎหมาย
• ลุง ป้า น้า อา หลาน ลูกพี่ลูกน้องในลำดับแรก หรือญาติที่มีความสัมพันธ์ ทางสายเลือดครึ่งหนึ่ง เช่น พี่น้องต่างบิดาหรือมารดา
• สามี ภรรยา ต้องมีหลักฐานการจดทะเบียนสมรส จนถึงวันผ่าตัดปลูกถ่ายไต ไม่น้อยกว่า 3 ปี ยกเว้น กรณีที่มีบุตรหรือธิดาด้วยกัน ซึ่งสามารถตรวจพิสูจน์ได้


ทั้งนี้ ผู้บริจาค ต้องไม่ถูกบังคับ หรือได้รับการจ้างวาน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใดๆ ทั้งทางตรง และทางอ้อมทั้งสิ้น

ส่วนค่าใช้จ่าย ในการผ่าตัดปลูกถ่ายไตของ รพ.ศิริราช หากผู้ป่วยไม่มีโรคแทรกซ้อนหลังผ่าตัด จะอยู่ราว 150,000 - 300,000 บาท หากมีโรคแทรกซ้อน ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับโรค และชนิดของยาที่ใช้ในการรักษา นอกจากนี้ หลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไตแล้ว ผู้ป่วยยังต้องรับประทานยากดภูมิต้านทาน เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายปฏิเสธไต ที่ได้รับใหม่ไปตลอดชีวิต สำหรับค่ายาในระยะแรกหลังผ่าตัด จะประมาณเดือนละ 10,000 - 30,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความจำเป็น ในการใช้ยา และจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ

แม้วันนี้ บัตรประกันสุขภาพถ้วน (30 บาท) จะยังไม่ครอบคลุมการรักษา แต่ทางหน่วยไตเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ดำเนินการปลูกถ่ายไต ครั้งแรกไปเมื่อ 10 ปีก่อน (พ.ค. 2539) จนถึงปัจจุบัน ยังมีผู้ป่วยอีกหลายราย ที่รอการปลูกถ่ายไต ซึ่งท่านสามารถเป็น 1 ในหลายล้านคน ที่ช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ ให้ได้รับการรักษา อย่างเท่าเทียมกับผู้อื่นในสังคม ด้วยการบริจาคเข้า กองทุน‘ปลูกถ่ายไตเด็ก” รหัส D 002714 ในศิริราชมูลนิธิ ที่ ตึกมหิดลบำเพ็ญ ชั้น 1 หรือ 0- 2419-7658 - 60

ท้ายนี้ มีวิธีง่ายๆ ในการดูแลสุขภาพไตมาฝาก เริ่มด้วย

1. หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด และภาวะเครียด
2. ดื่มน้ำสะอาดวันละ 1.5 - 2 ลิตรในผู้ใหญ่ และลดลงตามส่วนสำหรับเด็ก
3. พักผ่อนให้เพียงพอ
4. ไม่ใช้ยาใดประจำ โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร














 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2552
9 comments
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2552 7:41:08 น.
Counter : 6982 Pageviews.

 

น่ากลัวจัง!!! ต้องระวังเรื่องอาหารมากๆเลย..
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆค่ะ

 

โดย: ข้าวกับดิน 6 กุมภาพันธ์ 2552 14:48:10 น.  

 







สวัสดีวันศุกร์ค่ะ เอารูปสวยๆ จากที่บ้านมาฝากค่ะ have a nice day ค่ะ

 

โดย: นู๋หญิงจ๋า 6 กุมภาพันธ์ 2552 15:59:43 น.  

 

กุ๊กไก่ชอบทาเค็มอยู่ด้วยสง
สัยต้องลดเค็มลงแล้วละค่ะ

 

โดย: ยายกุ๊กไ่ก่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 19:02:13 น.  

 

เป็นคนหนึ่งที่ชอบทานเค็มเหมือนกันค่ะ กลัวเหมือนกันนะเนี้ย

 

โดย: zaa_sugus 6 กุมภาพันธ์ 2552 21:10:22 น.  

 

สวัสดีค่ะ คุณกบ
สบายดีหรือเปล่าค่ะ ไปอบรมมาหลายวัน
เหนื่อยไหมเอ่ย

วันนี้เข้าบล็อกคุณกบมา ลืมตาไม่ขึ้นเลยค่ะ สีสดมากๆ
สุขสันต์วันหยุดค่ะ


 

โดย: pk12th 8 กุมภาพันธ์ 2552 0:25:28 น.  

 

กินเค็มมากๆไม่ดีค่ะ โดยเฉพาะคนเป็นโรคความดันแล้วก็ไตอะ

 

โดย: เตย (taey14 ) 9 กุมภาพันธ์ 2552 0:40:14 น.  

 

ฝันดีค่ะคุณกบ
................


หลับฝันดีมีแต่สุข
ชื่นสนุกคลุกเคล้ารื่น
ตลอดกาลทุกวันคืน
นั่งนอนยืนบนกองทอง..เทอญ

........ญามี่///...


 

โดย: ญามี่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 2:26:45 น.  

 

หวัดดีค่าคุณกบ กุ้งเอาของมาฝากค่ะ แทนความคิดถึงนะคะ





แต่น แตน แต๊นนนนนน









New year Tag.....

 

โดย: KungGuenter 9 กุมภาพันธ์ 2552 6:30:55 น.  

 

 

โดย: น้องเมย์น่ารัก 5 ตุลาคม 2557 0:35:08 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
6 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.