Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
30 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

เฟดลดดอกเบี้ย 0.5%-- หุ้นขึ้นพ้น 400 --เว้นเกณฑ์ silent period--กองทุนยางพารา

. . .

เฟดประกาศลดดอกเบี้ยระยะสั้นต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี และมีโอกาสจะปรับลดลงอีกภายในปีนี้

ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed funds rate) 0.50 % จาก 1.5% เหลือ 1.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2547 และปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) ลง 0.50% จาก 1.75 % เหลือ 1.25 %

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้วิกฤติสินเชื่อลุกลามออกไปจนทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐตกอยู่ในภาวะถดถอยที่รุนแรงและยาวนาน พร้อมกับเปิดโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อไป หากมีความจำเป็น

อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed funds rate) เคยอยู่สูงสุดที่ระดับ 5.25 % เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ทะยอยประกาศลดดอกเบี้ยรวม 9 ครั้ง เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เริ่มต้นจากการล่มสลายของตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐ และได้ลุกลามออกไปทั่วโลก

เฟด ระบุว่าความเสี่ยงในช่วงขาลง ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงอีก ขณะที่สัญญาล่วงหน้าบ่งชี้ว่ามีโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25 % ภายในสิ้นปีนี้

เฟดคาดว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงในไตรมาสต่อๆไป ขณะที่ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆได้ปรับตัวลง รวมถึงแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าถึงแม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ระยะ 1 วัน ไว้ที่ร้อยละ 3.75 ในประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ถ้อยแถลงของกนง.หลังการประชุมรอบนั้นได้ระบุอย่างชัดเจนว่า นโยบายการเงินในช่วงหลังจากนี้จะให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นต่อความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเมื่อประกอบกับแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องนั้น การดำเนินนโยบายการเงินของไทยก็อาจมีทิศทางที่ผ่อนคลายมากขึ้นเช่นเดียวกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก

. . .


ตลาดหุ้นขานรับข่าวเฟดลดดอกเบี้ย ปิดพุ่งกว่า 6% แต่แนวโน้มยังน่าเป็นห่วง จากปัจจัยการเมืองกดดัน

ดัชนีหุ้นไทยปิดบวก 6.29% เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับขึ้นกว่า 6-12% โดยยังมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานและแบงก์ หนุนดัชนีปิดเหนือ 400 จุดเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์
ตลาดหุ้นได้รับปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และธนาคารกลางของหลายประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ความวิตกต่อการเมืองในประเทศช่วงสุดสัปดาห์นี้ อาจทำให้ดัชนีหลุดระดับ 400 จุดลงมาอีกครั้ง ในการซื้อขายวันศุกร์นี้ (31 ต.ค.)

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดที่ 408.31 เพิ่มขึ้น 24.16 จุด สูงสุดนับจากระดับ 432.87 จุด เมื่อ 24 ต.ค. โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 14,832 ล้านบาท
นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,178 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 775 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,403 ล้านบาท

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดแกว่งขึ้นค่อนข้างแรง สอดคล้องกันทั่วโลก หลังเฟด และธนาคารกลางหลายแห่งปรับลดดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนคลายกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

เฟดลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% เพื่อสกัดกั้นภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย และเปิดโอกาสว่าอาจมีการลดดอกเบี้ยลงอีกถ้าจำเป็น ขณะที่จีนก็ลดดอกเบี้ยลงเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ลง 0.27%, และวันที่ 30 ต.ค. ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนลง 0.50% สู่ระดับ 1.50% พร้อมกับธนาคารกลางไต้หวันประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 0.25% สู่ระดับ 3 % ตามเฟด

นอกจากนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ)จะลดดอกเบี้ยลง 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 0.50% เหลือ 0.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินวันนี้ (31 ต.ค.) ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี

ส่วนแนวโน้มการซื้อขายวันนี้(31 ต.ค.) ซึ่งเป็นวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ เขาคาดว่าดัชนีมีโอกาสจะหลุดระดับ 400 จุดได้ โดยมองแนวรับที่ 390-395 และแนวต้านที่ 412-415 จุด เนื่องจากเห็นว่าตลาดยังมีความกังวลต่อปัจจัยทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาล
ขณะที่ในวันเสาร์ที่ 1 พ.ย. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.) นัดชุมนุมครั้งใหญ่ โดยในวันดังกล่าวจะมีการจัดรายการ "ความจริงวันนี้" ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศ เข้ามาร่วมรายการด้วย ทำให้ยังต้องจับตาการเคลื่อนไหวของนปช. และกลุ่มต่อต้าน อย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อไปด้วย

น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการ บล.ไซรัส มองว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 31 ต.ค.นี้ มองว่าอาจปรับตัวลดลง เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการเมืองในประเทศ ทั้งการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และการต่อสายตรงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจทำให้นักลงทุนกังวลและเทขายหุ้นเพื่อรอดูสถานการณ์ที่ชัดเจนช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นี้ ประเมินแนวรับที่ 396-383 จุด และแนวต้าน 412 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน สำหรับพอร์ตระยะสั้นแนะนำทยอยเทขาย เพื่อลดความเสี่ยง

. . .


รัฐบาล เตรียมประกาศ ยกเว้นกฎเกณฑ์ห้ามผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (silent period) ซึ่งจะมีผลในวันจันทร์ที่ 3 พ.ย. หวังกระตุ้นตลาดหุ้นไทย และเปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนซื้อคืนหุ้นในภาวะวิกฤต

นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้มีการหารือกับผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อขอให้ยกเว้น เกณฑ์การซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ เรื่องการห้ามผู้มีส่วนร่วมในการบริหารของบริษัทจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในระยะเวลาที่กำหนด(silent period) ในช่วงเวลา 30 วันก่อนและหลังปิดงบการเงินสิ้นไตรมาส (ก่อน 30 วันและหลัง 30 วัน)

เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สามารถเข้าซื้อหุ้นคืนได้ในภาวะวิกฤต โดยจะประกาศยกเว้นช่วงไซเลนท์ พีเรียดในวันนี้ (31 ต.ค.) และจะมีผลในวันที่ 3 พ.ย.51

ทั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ เกณฑ์ไซเลนท์พีเรียด นับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้ามาซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงภาวะวิกฤตเศรษฐกิจทำให้บริษัทต่างๆ ไม่สามารถเข้ามาซื้อคืนหุ้นได้

ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดทางจึงจำเป็นต้องมีการยกเว้นข้อบังคับดังกล่าวชั่วคราว ซึ่งจะเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์ไทยได้อีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากการจัดตั้งกองทุน 3 ประเภท เข้ามาซื้อหุ้นที่ต่างชาติเทขาย ประกอบด้วย

1. กองทุนแมทชิ่ง ฟันด์ ที่ร่วมมือกันระหว่าง บริษัทจดทะเบียน โบรกเกอร์และตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 5 กองทุน วงเงิน 3,000 ล้านบาท

2. กองทุนที่ร่วมมือระหว่าง ธนาคารของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และตลาดหลักทรัพย์ วงเงิน 7,000 ล้านบาท และ

3. การตั้งวงเงินงบประมาณเพื่อซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งขณะนี้มี 25 บริษัทที่จัดตั้งกองทุนนี้ วงเงินงบประมาณส่วนนี้ 20,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในส่วนบุคคลธรรมดาที่ลงทุนผ่านกองทุน LTF และ RMF ได้มีการเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาลงทุนในกองทุนดังกล่าว เพื่อระดมเงินทุนเข้าซื้อหุ้นที่ถูกเทขาย และพยุงตลาดหลักทรัพย์ให้อยู่ในภาวะปกติ โดยจำนวนหุ้นที่ต่างชาติเทขายขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 90,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลเตรียมงบฯสำหรับซื้อหุ้นเหล่านี้คืนแล้ว 40,000-50,000 ล้านบาท และยังต้องการระดมเงินทุนอีก 40,000 ล้านบาทเพื่อให้สามารถซื้อหุ้นคืนได้ทั้งหมด

สำหรับกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน ร้อยละ 0.5 นั้น ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะมีการประชุมในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

. . .


รมว.คลัง ระบุการตั้งกองทุนดูแลตลาดหุ้น หากจะตั้งใหม่เป็นเรื่องของเอกชน

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลได้ออกมาตรการสนับสนุนตลาดทุนหลายด้าน ทั้งการตั้งกองทุนแมทชิ่งฟันด์ของภาคเอกชน การลดภาษีเพื่อให้มีเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ส่วนการจะตั้งกองทุนเพิ่มหรือไม่ก็เป็นเรื่องของภาคเอกชน เมื่อเห็นโอกาสทางการลงทุนที่จะได้กำไรจากหุ้นดีราคาถูกก็สามารถเข้าไปซื้อได้

ในส่วนของกระทรวงการคลังต้องดูแลการจ้างงาน โดยการเพิ่มงบกลางปี 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะเร่งหาข้อสรุปเร็วที่สุดเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แนวทางการใช้เงินจะเน้นอัดฉีดเงินเข้าไปในส่วนที่เกิดการจ้างงานจำนวนมาก และรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนมีรายได้

ส่วนกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.50 นั้น นายสุชาติ กล่าวว่า คงเป็นเรื่องของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะพิจารณาให้ทิศทางดอกเบี้ยสอดคล้องกับนโยบายการคลัง

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าข้อเสนอของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งกองทุนเพื่อดึงเงินจากผู้มีเงินออมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ถือเป็นเรื่องดี เพื่อดูแลตลาดหุ้นระยะยาว

แต่ในส่วนของ ตลาดหลักทรัพย์ ได้มีการจัดตั้งกองทุนแมทชิ่งฟันด์กับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์มีแนวทางปรับเปลี่ยนรูปแบบกองทุนเดิม เพื่อดึงดูดสถาบันการเงิน และองค์กรอื่นเข้าร่วมจัดตั้งกองทุน และดึงดูดผู้มีเงินออมระยะยาวที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนด้วย เพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งในการดูแลตลาดหุ้นไทย

. . .


มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุหลายธุรกิจเริ่มหยุดกิจการ เพราะมีปัญหาสภาพคล่อง

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปีนี้ในหลายธุรกิจ เช่น สิ่งทอ อาหาร ยางพารา และค้าส่งค้าปลีก พบว่า ขณะนี้สัญญาณการชะลอตัวของภาคธุรกิจเริ่มเห็นได้ชัดจากการที่ผู้ประกอบการไม่มั่นใจเศรษฐกิจในอนาคต ทำให้สภาพคล่องเริ่มตึงตัว หลายรายเริ่มหยุดดำเนินธุรกิจ

หากไตรมาส 4 ปีนี้เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 3.5 จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวอยู่ในระดับร้อยละ 3.5-4.0 จะเป็นสัญญาณอันตรายต่อเศรษฐกิจในปีหน้า และโอกาสที่คนจะตกงาน 1 ล้านคนเป็นไปได้สูง รัฐบาลจึงต้องหามาตรการขับเคลื่อนในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ ทุกมาตรการให้เห็นเป็นรูปธรรม

ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ กล่าวว่า เห็นด้วยหากธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.5 – 1.0 ขณะที่ผู้ประกอบการต้องการให้ลดลงร้อยละ 1-2 นอกจากนี้ ให้รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่ 35-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ, ดูแลราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ที่ 26 บาทต่อลิตร, เร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่จะเพิ่มกลางปี 100,000 ล้านบาท, เร่งโครงการเมกะโปรเจกต์, และเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว

ซึ่งหากมาตรการทั้งหมดดำเนินการได้ จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.5- 5.0 และปีหน้าคาดว่าจะเติบโตเท่ากับปีนี้ อีกทั้งราคาน้ำมันที่ลดลง จะทำให้อัตราเงินเฟ้อที่กระทรวงพาณิชย์คาดไว้ปีหน้า ร้อยละ 3-4 เป็นไปได้สูง

. . .


นายกสมาคมยางพาราค้านแทรกแซงราคา ชี้บิดเบือนกลไกตลาด

นายหลักชัย กิตติพล นายกสมาคมยางพาราไทย เปิดเผยว่า ราคายางพาราที่ระดับ 60 บาทต่อกิโลกรัมในปัจจุบัน เป็นราคาที่ผู้ปลูกยางพาราอยู่ได้ ในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากปัญหาวิกฤติสถาบันการเงิน ซึ่งทำให้ยอดการใช้ยางพาราในโลกลดลงตามยอดขายรถยนต์ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เห็นว่า ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงหรือค้ำประกันราคายางพารา เพราะเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด โดยอุตสาหกรรมยางพารายังสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ในที่ประชุม 3 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย มีมติร่วมกันว่า จะมีการลดกำลังการผลิตยางพาราลง 215,000 ตัน โดยจะมีการโค่นต้นยางเก่า 169,000 เฮกตา (6.25 ไร่ : 1 เฮกตา) แบ่งเป็นต้นยางของไทย 64,000 เฮกตา อินโดนีเซีย 55,000 เฮกตา และมาเลเซีย 50,000 เฮกตา ซึ่งจะช่วยทำให้ปริมาณยางที่ออกสู่ตลาดลดลง

ส่วนแนวโน้มราคายางพาราปีหน้าขึ้นกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเป็นหลัก เพราะร้อยละ 60 เป็นยางเทียม ที่ใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบ และร้อยละ 40 เป็นยางธรรมชาติ

นายหลักชัย กล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกยางพาราของไทยว่า คาดว่า ทั้งปี 2551 จะส่งออกได้ทั้งหมด 2.75 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ในด้านปริมาณ แต่ในด้านมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เพราะราคายางพาราคาที่ผ่านมาถือว่าดี ส่วนปี 2552 คาดว่า ยอดการส่งออกจะลดลง 150,000 ตัน เหลือ 2.6 ล้านตัน

“ขณะนี้ธุรกิจยางพาราถือว่า ยังเดินหน้าต่อไปได้ โดยยังไม่มีการปลดพนักงาน และธุรกิจต่าง ๆ ก็ ยังเดินหน้าไปได้ตามปกติ” นายหลักชัย กล่าว

. . .


3 หน่วยงานเดินหน้าศึกษาตั้งกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ในไทยกองแรก

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน), ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET), และสมาคมยางพาราไทย ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมจัดตั้งกองทุนที่จะเน้นลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยเป็นหลัก

โดยเอ็มเอฟซีจะศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุน ส่วน AFET เป็นผู้ให้ความร่วมมือและจัดเตรียมข้อมูลของสัญญาซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ที่กองทุนจะลงทุน โดยในเบื้องต้นเน้นตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าในประเทศเป็นหลัก สำหรับสมาคมยางพาราไทยจะเป็นผู้ให้ความร่วมมือ และจัดเตรียมข้อมูลด้านสินค้ายางพาราซึ่งเป็นสินค้าอ้างอิงเป้าหมายหนึ่งของกองทุนที่จะจัดตั้ง

นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่า สินค้าโภคภัณฑ์ นับเป็นสินค้าที่น่าสนใจลงทุน โดยเอ็มเอฟซีได้เตรียมความพร้อมสำหรับการศึกษาเรื่องการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ รูปแบบกองทุนในเบื้องต้น จะมีอายุกองทุน 10 ปี มูลค่าโครงการเริ่มแรกประมาณ 50 ล้านบาท และมีเป้าหมายที่จะขยายกองทุนต่อไปในอนาคตให้ได้ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการระดมเงินทุนจากกลุ่มผู้ลงทุนสถาบันในเบื้องต้นก่อน และเมื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์เป็นที่รู้จักกว้างขวางแล้ว จึงจะขยายการลงทุนไปยังนักลงทุนรายย่อยต่อไป โดยกองทุนดังกล่าวจะมีวัตถุประสงค์หลักที่จะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทำการซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าในประเทศเป็นหลัก

นายนิทัศน์ ภัทรโยธิน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าประเทศไทย (เอเฟท) กล่าวว่า จากภาวะการซื้อขายในเอเฟทที่ผ่านมาปริมาณการซื้อขายได้ปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางของสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้ายางแผ่นรมควันชั้น 3 และข้าวขาว 5% ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการส่งออกของโลก สินค้าทั้งสองชนิด เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการอุปโภคและบริโภคเป็นพื้นฐาน ถึงแม้ว่าจะมีวิกฤตทางการเงินโลกในขณะนี้จะสังเกตว่าราคาของสินค้าทั้งสองชนิด ได้รับผลกระทบในทิศทางที่ลดลงและมีความผันผวนมากกว่าในอดีตหลายเท่า แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากที่ระดับราคาจะกลับไปอยู่ในระดับต่ำเช่นในอดีต ดังนั้นการจัดตั้งกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ขึ้นจึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งโอกาสของการลงทุนที่นักลงทุนสามารถแสวงหาผลตอบแทนที่สูงจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยที่มีผู้บริหารการลงทุนแบบมืออาชีพ

นายหลักชัย กิตติพล นายกสมาคมยางพาราไทย กล่าวว่า สินค้ายางพาราเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักทางด้านการค้าและการส่งออกของประเทศอีกทั้งประเทศไทยถือเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งและยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนในการเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูก เพิ่มอุปทาน เพื่อที่จะสามารถรองรับอุปสงค์ในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการชะลอตัวของคำสั่งซื้อจากต่างประเทศบ้าง แต่อย่างไรก็ตามปริมาณอุปสงค์ยังคงมีสูงอยู่

สำหรับทางด้านราคายางพารา ถึงแม้ว่าจะมีความผันผวนแต่คาดว่าจะมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อสถานการณ์ด้านการเงินโลกมีการคลี่คลายลง ดังนั้น การที่ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน) มีความคิดที่จะจัดตั้งกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์กองแรกที่ลงทุนภายในประเทศ ซึ่งจะมีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้ายางแผ่นรมควันชั้น 3 ในเอเฟทนั้น จึงนับว่ามีความเหมาะสมและมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงได้ในอนาคต

สำหรับกองทุนเปิดสินค้าโภคภัณฑ์ในเบื้องต้น คาดว่าจะระดมทุนจากกลุ่มผู้ลงทุนกลุ่มแรก ได้แก่ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) บริษัทสมาชิกของสมาคมยางพาราไทย โดยตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) และบริษัทสมาชิกสมาคมยางพาราไทย จะร่วมลงทุนเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปีขึ้นไป นับจากวันที่เริ่มลงทุน โดยสัดส่วนที่เหลือจะเปิดให้กลุ่มนักลงทุนสถาบันอื่นๆ ร่วมลงทุน ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนแผนการระดมทุนเพิ่มเติมตามความเหมาะสมต่อไป

. . .




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2551
4 comments
Last Update : 30 ตุลาคม 2551 20:32:29 น.
Counter : 770 Pageviews.

 

 

โดย: CrackyDong 30 ตุลาคม 2551 21:13:26 น.  

 

ไม่ ค่อย เข้า ใจ เรือง หุ้น เเต่ ชอบ อ่าน มาก เพราะ ฝะรั่งเขาจะให้ อ่าน ให้ เขา ฟ้ง เพราะ เขา เล่น หุ้น คะ เเต่ เขา อยากรู้ การ เคลือน ใหว ของ เมือง ไทย... EXCUSE ME I don't understand word in THAI LESSON I SPEAK FRANCE
ชอบ อ่าน จาก คํา ปาก กา ของ คุณมาก loykratong มา อ่าน ทุ่ก วัน...

 

โดย: สาธร FRANCAIS IP: 94.108.130.254 31 ตุลาคม 2551 3:41:38 น.  

 

ข่าวดี เขียนเด่น เล่นตัว
เน๊าะ ..
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ก็คนมีฝีมือนี่นา
เน๊าะ..

 

โดย: loy ' s kratong IP: 58.8.107.45 1 พฤศจิกายน 2551 13:24:57 น.  

 

สุดยอดปรมาจารย์ตั๊กม๊ออยู่นี่เองค่ะคุณสาธร

เจ๋งเป้ง

ฟันธง

 

โดย: คุกคู คอนเฟริม์ IP: 125.25.42.79 2 พฤศจิกายน 2551 17:01:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.