Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

เซอร์กิตเบรกเกอร์ (circuit breaker)หยุดซื้อขายหุ้นครั้งที่ 3 -ดัชนี 387 ต่ำสุดรอบ 5 ปี-ยอกตกงาน 6แสน

. . .


หุ้นไทยร่วงหนัก ต่ำสุดในรอบ 5 ปี 5 เดือน จนต้องหยุดการซื้อขายชั่วคราว

การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ได้ประกาศใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ (circuit breaker) หยุดทำการซื้อขายหุ้นทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที เนื่องจากเมื่อเวลา 16.04 น. ดัชนีลงมาแตะที่ระดับ 389.58 จุด ลดลง 43.29 จุดคิดเป็นร้อยละ 10 จากวันทำการก่อนหน้า

หลังจากนั้นได้เปิดการซื้อขายในเวลา 16.35-16.40 น. เพื่อให้ส่งคำสั่งซื้อขายก่อนคำนวณหาราคาปิด และปิดตลาดการซื้อขาย เมื่อเวลา 17.00 น. ดัชนีปิดที่ระดับ 387.43 จุด ลดลง 45.44 จุด หรือคิดเป็นร้อยละ 10.50 นับว่าเป็นระดับดัชนีต่ำสุดในรอบ 5 ปี 5 เดือน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2546 ที่ระดับ 387.37 จุด

โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 11,786.99 ล้านบาท ส่วนมูลค่าตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป เหลือเพียง 3.098 ล้านล้านบาท ลดลงไป 3.55 ล้านล้านบาท จาก 6.64 ล้านล้านบาท เมื่อปลายปี 2550 โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ ( พีอี / เรโช) เฉลี่ยทั้งตลาดลดลงเหลือ 5.89 เท่าจาก 17.03 เท่าเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

สำหรับสัดส่วนการลงทุน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,213 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 49 ล้านบาท ขณะที่รายย่อย ซื้อสุทธิ 2,262 ล้านบาท

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลงต่อเนื่องจากวิกฤตการเงินโลก ตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยตลาดหุ้นฮ่องกงช่วงบ่ายดิ่งลงไปร้อยละ 12 หลังผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกง ออกมาระบุว่าวิกฤติการเงินจะลุกลามถึงบริษัทฮ่องกง โดยมีการปิดกิจการไปแล้วหลายราย ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบไปด้วย

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรงเพราะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาย่ำแย่ ตอกย้ำว่า เศรษฐกิจโลกจะถดถอยลงอย่างหนัก

สำหรับการใช้มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ครั้งนี้ เป็นการใช้ครั้งที่ 3 นับตั้งแต่มีการประกาศใช้มาตรการนี้เมื่อปี 2542 โดยประกาศใช้ครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2549 ที่ดัชนีลดลง 10.14% เป็นผลจาก ความกังวลที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศใช้มาตรการสำรอง 30% สำหรับการนำเข้าเงินทุนระยะสั้น

ส่วนครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นไทยปรับลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก และผลกระทบจากความวิตกภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่มีจุดเริ่มมาจากเกิดวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และ ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2551

. . .

มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ จะให้หยุดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดเมื่อ

ระดับที่ 1 เมื่อดัชนีราคา SET Index ลดลงเท่ากับหรือมากกว่า 10% ของดัชนีราคาวันทำการก่อนหน้า จะหยุดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที

ระดับที่ 2 เมื่อดัชนีราคา SET Index ยังคงลดลงจนถึงเท่ากับหรือมากกว่า 20% ของดัชนีราคาวันทำการก่อนหน้า จะหยุดทำการซื้อขายอีกครั้งหนึ่งเป็นเวลา 1 ชั่วโมง

การหยุดทำการซื้อขายหุ้นทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเมื่อวันที่ 27 ต.ค.2551

- 16.04 น. ถึง 16.24 น. หยุดการซื้อขาย 20 นาที
- 16.24 น. ถึง 16.34 น. เปิดให้ส่งคำสั่งซื้อขายช่วง Pre-open 10 นาที
- 16.34 น. เปิดการซื้อขาย Open
- 16.35 น. ถึง 16.40 น. เปิดให้ส่งคำสั่งซื้อขายช่วง Pre-close
- 16.40 น. ระบบจะคำนวณหาราคาปิด
- 16.40 น. ถึง 17.00 น. เปิดให้ซื้อขายช่วง Off-hour Trading


. . .



ตลาดหลักทรัพย์ ยืนยันไม่ออกมาตรการพิเศษ - เตรียมหารือด่วน รมว.คลัง 30 ต.ค.นี้

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงถึง 45.44 จุด หรือร้อยละ 10.50 จุด วานนี้ (27 ต.ค.) เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ที่ต่างปรับตัวลดลงประมาณร้อยละ 8-9 และตลาดหุ้นฮ่องกงลดลงไปถึงร้อยละ 12 ซึ่งปัจจัยที่เข้ามากระทบเป็นปัจจัยต่างประเทศ ที่นักลงทุนไม่มั่นใจในมาตรการแก้ไขปัญหาวิกฤติการเงินของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ทั้งสหรัฐ ยุโรป และผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม ทางตลาดหลักทรัพย์จะไม่มีการออกมาตรการพิเศษใดๆ เพราะผลกระทบแผ่วงกว้าง การที่ประเทศใดจะออกมาตรการเฉพาะเจาะจง คงบรรเทาผลกระทบไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้น นักลงทุนจะต้องระมัดระวังการลงทุนให้มาก

นางภัทรียา กล่าวว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 30 ต.ค.นี้ ตลาดหลักทรัพย์, ธนาคารแห่งประเทศไทย, และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการหารือนัดพิเศษกับนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงภาวการณ์ในตลาดหุ้นไทยที่ปรับลงอย่างหนัก และจะมีการหารือถึงการตั้งกองทุน 1.4 แสนล้านบาท ของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพยุงราคาหุ้น ซึ่งจะมีการคุยกันในรายละเอียด

อย่างไรก็ตาม อยากให้นักลงทุนติดตามการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ซึ่งจะมีการประกาศในวันที่ 15 พ.ย.นี้ มาประกอบการตัดสินใจในการลงทุนด้วย ซึ่งก็เชื่อว่าน่าจะออกมาในเกณฑ์ที่ดี

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ นายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ถือว่าเป็นฟองสบู่โลกที่แตกอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าในรอบ 20-30 ปีข้างหน้า ก็จะไม่มีฟองสบู่แตกที่ใหญ่เท่านี้อีก จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นปัญหาฟองสบู่โลกที่แตกอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี

ทั้งนี้ ปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นจากปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐ ได้ลุกลามไปถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของทั้งโลกอย่างเห็นได้ชัด โดยมีข้อมูลจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จากทั่วโลกให้ได้รับทราบโดยตลอดว่า ได้รับผลกระทบจากปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐอย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกับภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของไทยที่เริ่มได้รับผลกระทบมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐจะต้องให้ความสนใจดูแลอย่างใกล้ชิด

. . .



สภาอุตสาหกรรมหวั่นปีหน้า คนตกงาน 6 - 7 แสนคน

ส.อ.ท.เตือนส่งออกปีหน้าเตรียมรับศึกหนัก แนวโน้มอุตสาหกรรมกลุ่มสิ่งทอ เครื่องประดับ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า อาจมีการปิดกิจการ ส่งผลคนตกงานอีก 6-7 แสนอัตรา

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตามที่เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นชะลอตัวลง ทำให้การส่งออกสินค้าไทยปีหน้าจะต้องเผชิญการแข่งขันสูงและรุนแรง โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายนี้เป็นต้นไป ผลพวงจากกำลังซื้อประเทศใหญ่อย่างสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ลดลงมาก ทำให้ทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าพยายามแข่งขันด้านราคามากขึ้น

ดังนั้น ภาครัฐควรเอาใจใส่อย่างจริงจัง และตั้งเป้าหมายให้ค่าเงินบาทต้องอ่อนค่าลงอาจเป็น 5-10% เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เพราะหากสินค้าส่งออกได้ก็จะส่งผลดีต่อประเทศ การจะหาตลาดใหม่ไม่ใช่ทำได้ง่ายต้องใช้เวลา ส่วนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทำเต็มที่แล้ว ขณะที่ภาครัฐควรออกมาประกาศการประกันเงินฝากให้กับประชาชน แม้สถาบันการเงินไทยจะมีความแข็งแกร่งเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น ผู้ฝากเงินสบายใจ

นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ในปี 2552 ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงในเรื่องปัญหาแรงงานไทยที่จะมีการตกงานเพิ่มขึ้น จากที่มีการประเมินอย่างคร่าวๆ ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. 2552 จะมีแรงงานไทยตกงานประมาณ 6-7 แสนคน เบื้องต้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะส่งผลทำให้แรงงานตกงานเพิ่มขึ้นนั้น ประกอบด้วย อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องประดับ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

จากการตรวจสอบข้อมูลทั่วประเทศพบว่าบางอุตสาหกรรม เช่น เสื้อผ้า ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เซรามิก ลดกำลังการผลิตลง 20-30% จากปัญหาคำสั่งซื้อที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อการจ้างงานในปีหน้าที่คาดว่าจะลดลง 1 ล้านคน รวมทั้งกระทบแรงงานใหม่ที่จะจบการศึกษาเดือนมีนาคมประมาณ 7 แสนคน ทำให้หางานทำยากขึ้น

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเงินตึงตัวในต่างจังหวัด เนื่องจากธนาคารไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจที่ไม่มีคำสั่งซื้อ ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกในปี 2552 จะชะลอตามเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อ ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2552 อาจจะอยู่ที่ 3.8-4% ส่วนปีนี้คาดว่าจะอยู่ 4.5%

สาเหตุหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวต้องมีการปิดกิจการ เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้ มีแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นนายทุนรายใหญ่ที่จะลงทุนในประเทศไทย หลังจากที่เกิดวิกฤติสถาบันการเงินของประเทศดังกล่าวเกิดไม่มั่นคง รับสถานการณ์ไม่ไหวจำเป็นต้องล้มละลายไป

ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะส่งผลกระทบไม่รุนแรงมากนัก แต่จะเห็นภาพที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 เชื่อว่าปีหน้าอัตราการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี จะไม่ปรับเพิ่มขึ้นกว่าปี 2551 มากนัก หรืออาจแย่ลงได้ เพราะนับตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้เจอปัญหาหลายอย่าง และมีการรับมือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จึงทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีปรับลดลงต่อเนื่อง อยู่ที่ 4.5% ถือว่าอัตราเติบโตไม่ขยับไปมากกว่านี้แล้ว เมื่อเทียบจากภูมิภาคเอเชีย อัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 7%

นายธนิต กล่าวว่า ทิศทางปีหน้า จะมี 3 ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น
1. ผลกระทบการเงินของโลกที่ชะลอตัวลง
2. สถานการณ์ปัญหาการเมืองที่มีความแตกแยก และไม่มีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนภายในประเทศ
3.ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น

สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีก 1-2 เรื่องในปีหน้า น่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว มาจากการชะลอตัวการบริโภคของประชาชนเอง และวิกฤติเศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อเนื่อง และจะลุกลามไปแถบยุโรปต่อไป ล่าสุดปริมาณนักท่องเที่ยวทั่วโลกปรับลดลงประมาณ 5-10% แต่เมื่อเทียบของประเทศไทยเองปีนี้ปรับลดลงประมาณ 15-20% ถือได้ว่ายอดต่ำสุดในรอบ 20 ปี และคาดว่าปีหน้าน่าจะปรับลดลงอีกแน่ ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรแนวโน้มจะปรับลดลงต่อเนื่องอีก ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล ยางพารา เป็นต้น ดังนั้นต้องการให้รัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว

. . .



เรือด่วนเจ้าพระยาปรับลดค่าโดยสาร 1 บาท


นายชลอ คชรัตน์ อธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับเรือเดินประจำทาง ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ผู้ประกอบการปรับลดค่าโดยสารลง ให้มีผลในวันที่ 3 พ.ย.นี้ ดังนี้

เรือด่วนเจ้าพระยาลดราคา 1 บาท แบ่งเป็น
เรือด่วนธรรมดา จากอัตราค่าโดยสาร 10-14 บาท เหลือ 9 -13 บาท
เรือพิเศษธงส้มจาก 15 บาท เหลือ 14 บาท
เรือพิเศษธงเหลือง จาก 20 เหลือ 19 บาท
เรือข้ามฟากลด 50 สตางค์ ยกเว้นท่าเรือวัชรีวงศ์-ปากเกร็ด, ท่าเรือวัดเตย-ปากเกร็ด, ท่าเรือเทเวศร์-บวรมงคล, และท่าเรือเทศบาลนนทบุรี-บางศรีเมือง ที่ไม่ลดราคา เพราะไม่เคยขอปรับเพิ่มราคามาก่อนหน้านี้ จึงให้ใช้ราคาเดิมไปก่อน คือ 3 บาท ยกเว้นท่าเรือนนทบุรี-บางศรีเมือง ที่เก็บอยู่ที่ 2.50 บาท

ทั้งนี้ การพิจารณาปรับลดราคาดังกล่าวได้พิจารณาตามอัตราราคาน้ำมันดีเซลที่ 21-25 บาทต่อลิตร หากมีการปรับราคาน้ำมันอีก ก็จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาปรับค่าโดยสารอีกครั้ง

. . .




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2551
0 comments
Last Update : 27 ตุลาคม 2551 20:10:05 น.
Counter : 1546 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.