|
|
|
- อาทิตย์ จันทร์ เมฆา และวายุ...
- ... กินเจปี’52 ฯ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ...
- ... ขนมไหว้พระจันทร์ปีนี้ ยอดขายดีกว่าปีก่อน...โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย...
- ... สภาพคล่องในงบดุลของธนาคารพาณิชย์ไทย ส.ค. 52 … เพิ่มขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย....
- ... กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ... ผลกระทบต่อธุรกิจกองทุนรวม ...
- บริการคงสิทธิเลขหมาย…กระทบผู้ให้บริการ หลังเปิดใช้ 3G โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ภาวะเงินเฟ้อติดลบใกล้สิ้นสุด ...
- ... ส่งออกรถยนต์ไทยครึ่งหลัง 2552 มีสัญญาณดีขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ...
- . . . Digital Content Industry . . .โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 : ผลกระทบต่อหลากธุรกิจ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ... . ตลาดหนังสือปี’52 : อัตราขยายตัวชะลอลง...สำนักพิมพ์ต้องเร่งปรับตัว โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย.
- ...พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ... ผลต่อสภาพคล่องและดอกเบี้ยแบงก์ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย...
- ... ยางธรรมชาติครึ่งหลังปี 52 โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย...
- การจัดสรรเงินออม...ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงในช่วงครึ่งหลังของปี’52 โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ... แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง 2552 ... โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ... แนวโน้มเงินบาทครึ่งหลังปี 2552 ...
- ... กรมธนารักษ์เปิดจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชุดใหม่ครบทุกชนิดราคา ...
- ... ท่องเที่ยวครึ่งหลังปี 2552...มีโอกาสฟื้นตัวปลายปี....
- ตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม 2552
- ธนาคารกรุงไทยจัด 2 โปรโมชั่นกระตุ้นการใช้จ่าย
- ...วิกฤตการณ์ทางการเงินของโลก : เงินทุนต่างชาติชะลอตัว... ผลต่ออสังหาริมทรัพย์ไทย...
- ... ส่งออก-ลงทุน-ท่องเที่ยว ไทย-จีน : มีทิศทางปรับดีขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ...
- ... ตัวเลขว่างงานเดือนเมษายน 2552 พุ่งขึ้น 49.7% ...
- คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25%
- การส่งออกไม่รวมทองคำในเดือนพฤษภาคมหดตัว 27.3%
- ...เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวเพิ่มมากขึ้น... แต่...
- กฎหมายกู้เงินฉุกเฉิน 4 แสนล้านบาท … เปิดทางกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- .... ทำไม ต้องทำประกัน???.... (ด้วยคะ)........
- ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาว : ความท้าทายของเศรษฐกิจไทย
- การนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้
- การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์: ฟื้นตัวแล้ว?
- เงินบาทแข็งค่าสูงสุดในรอบ 8 เดือน
- . . . .กระแสรักสวย-รักงาม...ยังคงทำให้ธุรกิจขยายตัว . . . .
- เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2/2552 อาจยังคงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
- เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในครึ่งปีหลัง … แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องระวัง
- . . .ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นลิตรละ 80 สตางค์ ส่วนดีเซลเพิ่มขึ้นลิตรละ 60 สตางค์ วันที่ 21 พ.ค.นี้
- ตัวเลขว่างงานเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ... ลดลงเพราะผลจากฤดูกาล
- . ตลาดหุ้นไทยร่วง 26 จุด - บุหรี่ในขึ้น 10-13 บาท บุหรี่นอก 15-17 บาท
- ผู้บริโภคร้องเรียนร้านค้ากักตุนบุหรี่กว่า 200 ราย
- . . . กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอ ครม. ตัดสินขึ้นภาษีที่ดิน . . .
- . . . ข่าวดี ที่เกิดขึ้น ก่อนวันพระ หนึ่งวัน . . .
- . . .ขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย . . .
- ครม.ไฟเขียวให้ลูกจ้าง-นายจ้างลดส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมเหลือ 3% จาก 5%
- . . .อัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายน52 ...ติดลบเป็นเดือนที่ 4 . . .
- ขึ้นน้ำมันทุกชนิดลิตรละ 1.55 บาท ยกเว้นอี 85 มีผลวันที่ 1 ก.พ.นี้
- ครม.มีมติเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันทั้งเบนซิน-ดีเซล มีผลวันที่ 1 ก.พ. นี้
- คลังเตรียมพิจารณากฎหมายเพื่อเก็บภาษีที่ดิน-สิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีมรดก
- เตือนภัยหญิงไทยที่ติดต่อชาวต่างชาติผ่านทางระบบ Internet ระวังถูกหลอกให้เสียเงินจากการรับสินค้า
- 7 มาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ-- ปิดปั๊มหลังเที่ยงคืน 31 ม.ค.ก่อนขึ้นราคาน้ำมัน
- กรมสรรพากรชี้แจงเงื่อนไขหักลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันชีวิต สำหรับกรมธรรม์ที่ทำหลังวันที่ 1 ม.ค.52
- ราคาก๊าซรถยนต์(แอลพีจี)อาจเพิ่มขึ้น 2 บาทต่อกก.-กระทรวงแรงงานจัดงาน “ตลาดนัดแรงงาน” ทุกวันเสาร์. . .
- กนง. ลดดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 เหลือร้อยละ 2.00 -- รมว.แรงงานแจงช่วยค่าครองชีพจ่าย 2,000 บาท ครั้งเดียว
- ครม.อนุมติงบกลางปี 1.15 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ 18 โครงการ
- ต่ออายุ 6 มาตรการฝ่าวิกฤติ - นัดพบแรงงานทุกวันเสาร์ - อนุมัติงบช่วยเหลือผู้ว่างงาน
- ขึ้นราคาน้ำมันลิตรละ 60 สตางค์ 7 ม.ค.นี้
- เงินเฟ้อปี 51 - 5.5% --- หุ้นวันแรกบวก 28 จุด -- ตรึงราคาก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี. . .
- ราคาน้ำมันปีหน้า มีแนวโน้มทรงตัว แต่ค่าไฟฟ้าช่วงครึ่งปีแรกจะปรับขึ้น
- นายกเตรียมปรับลดใช้น้ำฟรีเหลือ 30 หน่วยต่อเดือน - สายด่วนประกันภัย 1186
- ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 60 สตางค์ 26 ธ.ค.นี้
- ราคาที่ดินลาดพร้าวปรับเพิ่ม 65% -- รัฐเตรียมช่วยคนซื้อบ้านใหม่ปีหน้า -- ค่าไฟฟ้าขึ้นหน่วย 14 สตางค์
- ตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ย. หดตัวสูงถึง 18.6%
- รถไฟฟ้าบีทีเอสขยายเวลาเปิดให้บริการคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ถึง 02.00 น.
- ธปท.เตือนประชาชนระวังธนบัตรปลอมระบาด--รฟท. เพิ่มขบวนรถไฟ 18 ขบวน
- ปตท.เตรียมขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีจาก 8.50 บาท เป็น 11 บาท มีผล 1 ม.ค.52--ลดค่าโดยสารขสมก.-บขส.
- ลดราคาดีเซลลิตรละ 0.50 บาท - เก็บเงินเบนซิน 95 เข้ากองทุนน้ำมันลิตรละ 3 บาท - รัฐบาลใหม่
- คาดเฟดลดดอกเบี้ย 0.5% - โอเปกประชุม 17 ธ.ค.นี้ - ราคายางตกต่ำสุดในรอบ 10 ปี
- บขส-รถร่วมเตรียมลดค่าโดยสาร--แบงก์ออมสินลดดอกเบี้ย--ปีใหม่ แบงก์หยุด 5 วัน. . .
- อีก 5 ปี . . . ประชาชนจะกลายเป็นมนุษย์ไฮเทค . . .
- แนวโน้มยอดขายรถยนต์ในประเทศ : ชะลอลงต่อเนื่องถึงปีหน้า
- น้ำมันลดลง 60-80 สตางค์ต่อลิตร--ปีหน้าว่างงาน 9 แสนคน--เบียร์ช้างชะลอเข้าตลาดหุ้น--คลังหนุนปรับภาษี
- เงินบาทแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 22 เดือน ที่ 35.83 / หุ้นปิดที่ 392 แนวต้าน 400 แนวรับ 380
- สุวรรณภูมิพร้อมเปิดเต็นรูปแบบ 5 ธ.ค.นี้ 11.00--บขส.เปิดจองตั๋วล่วงหน้าช่วงปีใหม่-น้ำมันลด 40-60 สต.
- เปิดใช้สนามบินดอนเมือง 4 ธ.ค.-สุวรรณภูมิ 5 ธ.ค.--กนง.ลดดอกเบี้ย 1%--น้ำมันถั่วเหลืองลดราคา 3.50 บาท
- สนามบินสุวรรณภูมิเปิดรับส่งสินค้าทางอากาศได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.
- น้ำมันลดลงลิตรละ 0.40 บาท-- เงินเฟ้อเดือนพ.ย.2.2% ต่ำสุดรอบ 14 เดือน--สนามบินยังปิดอยู่...
- ผลกระทบการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ
- ..วิกฤติเศรษฐกิจโลก-วิกฤติเศรษฐกิจไทยปี 2552 - ท่องเที่ยว-โรงแรมยอดขายลด 10-15% -- หุ้นบวก 5.73 จุด.
- ราคาน้ำมันลดลงอีก 60-80 สตางค์ต่อลิตร มีผลวันที่ 25 พ.ย.นี้
- ค่าบาทอ่อน - ตลาดหุ้นแนวโน้มทดสอบ 384 - น้ำมันลด 60-0 สตางค์ -ทองคำพุ่ง 400 บาท -คนตกงานกว่า 4 แสนคน
- ผลการประชุม กรอ.- กระทรวงคลังเตรียมปรับลดภาษี
- จีเอ็มลดคนงาน-คำสั่งซื้อยานยนต์ลดลง-ธกส.พร้อมจ่ายเงินรับจำนำข้าว-หุ้นปิดที่ 408.51 ลดลง 11.46 จุด
- เสนอครม.ลดภาษีนิติบุคคลลง 5% - ขึ้นภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย - ปรับเกณฑ์ซีลลิ่ง-ฟลอร์หุ้นใหม่ 2 ธ.ค.นี้
- ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 40-80 สตางค์-ซิตีกรุ๊ปประกาศปลดคนงาน 53,000 คนทั่วโลก
- ก.แรงงานรับวิกฤติคนตกงาน-รถติดตั้งแก๊สลดฮวบ ตามราคาน้ำมัน-เผยแพร่ทีโออาร์เช่ารถเมล์ผ่านเว็ป
- เงินบาทอ่อนค่าลง ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงทั้งสัปดาห์
- ขึ้นราคาก๊าซก.ก.ละ 6 บาท-เตือนธุรกิจเกษตร, ส่งออก, เอสเอ็มอีรับผลกระทบปีหน้า
- ลอยกระทงกันดีกว่า เมี๊ยวๆ...
- ราคาน้ำมันเบนซินลด 80 สตางค์--กกร.เสนอลดภาษี--แนวโน้มตกงานเพิ่ม--การใช้พืชพลังงานลดลง
- โอบามา-ผลกระทบต่อไทย
- แก๊สโซฮอล์-เบนซนลด 60-80 สตางค์-
- เงินเฟ้อต.ค.3.9%ต่ำสุดรอบ 10 เดือน--รัฐกู้เงินรับจำนำข้าว--หุ้นฟื้น 32 จุด--จดทะเบียนแรงงานต่างด้าว
- เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 19 เดือน-ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ย.ส่งสัญญาณชะลอตัว
- เฟดลดดอกเบี้ย 0.5%-- หุ้นขึ้นพ้น 400 --เว้นเกณฑ์ silent period--กองทุนยางพารา
- น้ำมันดีเซลลง 60 สตางค์--หุ้นตก 13 จุด--หม่อมอุ๋ยแนะเอาเงินฝากแบงก์เล่นหุ้น--SMEควบบสย.
- ขยายเวลาค้ำเงินฝาก 3 ปี-จำนำข้าวโพด-มันสำปะหลัง--TDRI--สศค.
- เซอร์กิตเบรกเกอร์ (circuit breaker)หยุดซื้อขายหุ้นครั้งที่ 3 -ดัชนี 387 ต่ำสุดรอบ 5 ปี-ยอกตกงาน 6แสน
- งดขายทองคำแท่งเสาร์-อาทิตย์--โอเปคลดการผลิต--หุ้นต่ำสุดรอบ 5 ปี--คาดเฟดลดดอกเบี้ยอีก
- ข้าวแกงลดราคา -- กบง.เก็บเงินเพิ่มเข้ากองทุนน้ำมัน -- เบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น -- รถไฟฟ้ารอเข้าครม.
- กระทรวงการคลังเสนอแนวคิดขยายเวลาค้ำเงินฝากทั้งจำนวนอีก 3 ปี - กดค่าบาทให้อ่อนลงอีก 5% อุ้มส่งออก
- แนวโน้มอุตสาหกรรมไทยท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลก
- น้ำมันลดลง 10%--ค่าโดยสารรถ-เรือเตรียมปรับลงตาม--ยางพาราราคาตก 43%
- ราคายางลดลงเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ : สาเหตุ ผลกระทบ และทางออก
- วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ - วิกฤติการเงินไทยปี 2540 - ผลกระทบที่แตกต่าง - 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
- ราคาน้ำมันดีเซล-เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลดลงลิตรละ 1 บาท 15 ต.ค.นี้
- ผู้ค้าน้ำมันประกาศลดราคาเบนซิน 40 สต.-ดีเซล 80 สต.พรุ่งนี้
- ไอซ์แลนด์ยึดแบงก์โคปทิง--สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ยืนยันฐานะมั่นคง--ธ.กลางทั่วโลกลดดอกเบี้ย...หุ้นฟื้น 1%
- ทำไมเราต้องดูจิต, วิธีการ "ดูจิต", วงจรกระแสจิต, อานิสงส์ของการแผ่เมตตา, วิธีแผ่เมตตา...
- ลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 60 สตางค์ --หุ้นหลุด 500
- ภาคเอกชนเป็นห่วงสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกภาคส่วน
- ราคาน้ำมันทุกประเภทลดลง 20-80 สตางค์---หุ้นตกต่ำสุดรอบ 5 ปี--กกร.เสนอ 7 มาตรการเร่งด่วน. . .
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด กนง. คงอัตราดอกเบี้ย 3.75%
- รอลุ้นแผนกูวิกฤติการเงินสหรัฐฯ
- ธุรกิจสถานีบริการก๊าซ LPG ปี51--เงินเฟ้อเดือนก.ย.แนวโน้มชะลอลง
- เงินเฟ้อก.ย.6.0%-ปตท.คาดน้ำมันดิบแกว่งตัว 90-100 USD/Barrel. . .
- กินน้อยตายยาก กินมากตายง่าย
- เศรษฐกิจเดือนส.ค.สะท้อนสัญญาณชะลอตัว
- Emergency Economic Stabilization Act of 2008 (link to full and summary in pdf file)
- โครงการที่น่าติดตามภายใต้รัฐบาลสมชาย 1
- วิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ... ผลกระทบต่อภาคการเงินไทย
- ความเชื่อมั่นธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย--กรุงไทยขายกรมธรรม์ประกันภัยรูปแบบใหม่. . .
- เชลล์ขึ้นราคาน้ำมัน 60 สตางค์--คลัง แบงก์ชาติ คปภ มั่นใจสภาพคล่องการเงิน--รายชื่อครม.สมชาย1. . .
- มาตรการกู้วิกฤติการเงินสหรัฐวงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์
- กระทรวงพาณิชย์อาจนำทองคำเป็นสินค้าควบคุม--กินเจ 29 ก.ย.- 7 ต.ค.ผักแพง--พันธบัตรคลังปี 52. . .
- นักวิชาการเตือนรับมือวิกฤติเลห์แมน--เก็บเงินกองทุนน้ำมันเพิ่ม--ยอดขายรถยนต์ลด--ธอส.ลดดอกเบี้ย. . .
- Resolution Trust Corporations (RTC) โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ---ผักแพง-ทองขึ้น-ค่าไฟฟ้า-วิเคราะห์วิกฤติเลห์แมน--กินเจปีนี้---
- . . . น้ำมันลด 60 สตางค์-ทองพุ่ง 13,550 บาท--หุ้นผันผวน--รถไฟหยุดวิ่งน้ำท่วม . .
- . . . เฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 2.00 และให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้แก่ AIG . . .
- . . . วิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ... อาจยังไม่ยุติ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย . . .
- . . . น้ำมันลง 50 สตางค์--
- . . . หุ้นตก-เลห์แมนฯล้มละลาย--แนะซื้อทองต่ำกว่า 13,000.--จำนำข้าว . . .
- . . . คาดเฟดคงดอกเบี้ย 2.00%--รถไฟเปิดให้บริการ 240 ขบวน--ราคาทองกระเตื้องเล็กน้อย. . .
- . . . ทองแท่งเหลือบาทละ 12,650 บาท--ดีเซลลดอีก 60 สตางค์--ดอกเบี้ยพันธบัตร3ปี 4.65% . . .
- ธอส. เชิญชวนเล่านิทานลงเทปหรือแผ่นซีดีมอบให้มูลนิธิช่วยคนตาบอดฯ
- . . . ครม.แต่งตั้งปลัด-อนุมัติ 3 G -งบจัดซื้ออาวุธ-สร้างรัฐสภาใหม่. . .
- . . . แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกครึ่งปีหลังชะลอตัว . . .
- . . . อาหารสัตว์เลี้ยง : เติบโตต่อเนื่อง...หลากปัจจัยหนุน . . .
- . . . แนะคลายเครียด เสพข่าวการเมือง . . .
- . . . ข่าววันที่ 4 ก.ย.51 . . .
- ราคาน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 60 สตางค์ วันที่ 4 ก.ย.
- . . . อนุมัตินมกล่อง-น้ำมันถั่วเหลืองขึ้นราคา--เลื่อนหวยบนดิน--หุ้นตก--บาทอ่อน. . .
- Bangkok under state of emergency
- . . . เงินเฟ้อเดือน ส.ค.ลดลงเหลือ 6.4% จาก 9.2% ในเดือนก.ค. . . .
- --- ทิศทางตลาดหุ้นไทย...ยังเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ---
- --- ภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2551 ---
- ---กนง.ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 3.75%--ธอส.ให้กู้ซื้อบ้าน 1.5 ล้านบาท--บสย.--ไทยแอร์เอเซีย . . .
- . . . ถึงเพื่อนที่มีพันธะ ต่อกัน... ถึง พันธมิตร . . . จาก พรรคพลังไข่. . .
- . . . หุ้นไทยร่วง 2% หลังเปิดตลาดในภาคเช้า . . .
- . . . สภาพัฒน์ฯ คาดเศรษฐกิจปีนี้โต 5.2-5.7% . . .
- . . . พรบ.ผู้บริโภค เริ่มใช้ 25 ส.ค.51--กกร.ประชุมเรื่องราคาสินค้า---บขส.เปิดเส้นทางกทม.-สมุย. .
- . . .ธปท.-คลังน้อมรับกระแสพระราชดำรัส--ส่งออก 7 เดือนโต 26% . . .
- . . . 23 สิงหานี้ บังคับใช้กฎหมายจัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ --- คาดการณ์เศรษฐกิจไตรมาส 2 โต 5.8% . . .
- . . . น้ำมันจะลดลงอีก--ค่าบาทอ่อนสุดรอบ 9 เดือน . . .
- Rose Rose i love you
- . . . นั่งรถไฟฟรี เชียงใหม่, อุบลฯ, หนองคาย, และสุไหงโกลก----ทองคำขาดตลาด . .
- ...ปลากัดเตือน...
- . . . รถใช้ก๊าซต้องแจ้งตรวจสภาพ--สมัครคนเดินโพยหวยบนดินวันแรก-กราฟราคาทอง. . .
- . . . เพิ่มเงินสมทบกองทุนน้ำมัน--สมัครคนเดินโพย 18 ส.ค.--ราคาทองคำลด--บาทอ่อน . . .
- . . . Storm surge มหันตภัยร้ายแห่งท้องทะเล . . .
- . . . ธุรกิจเดลิเวอรี่สินค้าอาหาร เติบโต 15% . . .
- . . . ตรึงราคาสินค้าถึงสิ้นปี--น้ำมันลดราคา--ทองคำต่ำสุดรอบ 7 เดือน. . .
- . . . เตรียมประกาศห้ามใช้สารตะกั่วเชื่อมต่อหม้อก๋วยเตี๋ยวเป็นการถาวร . . .
- . . . รถติดก๊าซ NGV ต้องมีใบรับรองเติมก๊าซ--ราคาน้ำมันลดลงอีก 60-80 สตางค์. . .
- . . . เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง . . .
- . . . นมกล่อง จะขึ้นราคา อีก 1-2 บาท . . .
- . . . ม.หอการค้าคาดเศรษฐกิจปีนี้ โต 5.5-6.0%---สศช.ระบุสัดส่วนผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 25%ในอีก 20 ปี .
- . . . ลดราคาดีเซลลิตรละ 1 บาท - เบนซินลิตรละ 50 สตางค์ ---
- . . . ครม.อนุมัติขึ้นภาษีเหล้า-บุหรี่--โครงข่ายโทรศัพท์ 3 จี---กรมศุลการกร เปิดประมูลรถยึด. . .
- . . . หวยออนไลน์ 1 ต.ค.51 . . .
- . . . ลดราคาดีเซลลิตรละ 60 สตางค์ พรุ่งนี้-- คาด FED คงดอกเบี้ย 2.00% . . .
- . . . เงินเฟ้อดือน ก.ค.9.2%--ทีมเศรษฐกิจใหม่--รถเมล์ รถไฟ ฟรี . . .
- . . . 1 ส.ค.เริ่มใช้ 6 มาตรการ 6 เดือน -- ดีเซลลดลง 50 สตางค์ -- เลื่อนพิจารณาราคาสินค้า. . .
- . . . พรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก -- กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ - Sovereign Wealth Fund (SWF) . . .
- . . . สรุปผลการสัมมนาทางวิชาการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 5/2551 . . .
- . . . ลดราคาน้ำมันเบนซิน 91 และแก๊สโซฮอล์พรุ่งนี้(30 ก.ค.) . . .
- . . . ปตท.-เชลล์ ปรับลดราคาดีเซลอีกลิตรละ 80 สตางค์ . . .
- . . . ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 3.50-4.70 บาท --- ทางด่วนขึ้น 5 บาท ---- น้ำมันพืชขึ้นอีก 5 บาท . . .
- . . . ปรับโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจี ( LPG ) ควรลอยตัว หรือแบ่ง 2 ราคา . . .
- . . . ตัวเลขการส่งออก มิ.ย.51 ขยายตัว 27.4% . . .คาดทั้งปี 15% . . .
- . . . 11 ส.ค. 51 เริ่มใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก . . .
- . . . ลดราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 1 บาท และดีเซลลิตรละ 80 สตางค์ . . .
- . . . ตลาดรถจักรยานยนต์ครึ่งปีแรกขยายตัว 3% . . .
- . . . ทิศทางค่าเงิน และ ตลาดหุ้น สัปดาห์นี้ (21-25 ก.ค.) . . .
- . . . กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ . . .ประกาศหยุดยิง . . .
- . . . ปตท.ลดราคาน้ำมัน ลิตรละ 60 สตางค์ . . .
- . . . กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ตามคาด . . .
- . . . 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติค่าครองชีพสูง . . .
- . . . รัฐบาลเตรียมแถลงมาตรการช่วยเหลือประชาชน หลังการประชุม ครม. วันที่ 15 ก.ค.นี้ . . .
- . . . กรมสรรพากรเตือนประชาชนระวังถูกมิจฉาชีพหลอก เรื่องคืนภาษีและขอรับบริจาค . . .
- . . . ลดราคาเบนซิน พรุ่งนี้ . . .
- . . . ปตท.ลดราคาเบนซินลิตรละ 60 สตางค์ . . .
- . . . เล่นเกมส์ sudoku กันดีกว่า . . .
- . . . ส่งเสริม E85 เป็นวาระแห่งชาติ . . . /. . . นำเข้า LPG เดือนนี้อีก 1 แสนตัน . . .
- . . . เอ็นจีวี ( NGV ) หรือ แอลพีจี( LPG ) . . .ที่รัฐควรส่งเสริม . . .
- . . . แท็กซี่ยังขึ้นราคาค่าโดยสารไม่ได้ . . .
- . . . เงินเฟ้อ 7.6 ---> 8.9 ---> 9.0 ----> 10 . . .ทั้งปี 2551 เฉลี่ย 8%??...
- . . . เงินเฟ้อเดือน มิ..ย. ... 8.9% . . .
- . . . เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว . . .(อาการภูมิแพ้)
- . . . ลอยตัวราคาก๊าซ LPG วันที่ 1 ก.ค.นี้ . . .
- . . . บางจาก-คาลเท็กซ์-ระยองเพียว ประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน . . .
- . . . หุ้นไทยภาคเช้าดิ่งลงกว่า 20 จุด . . .
- . . .หวั่นการเมืองรุนแรง ตลาดหุ้นร่วง1.04% . . .
- . . . ตลาดหุ้นร่วง กังวลข่าว รัฐประหาร . . .
- . . . หุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวผันผวน . . .
- . . . อียูเตรียมลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ช่วยผู้มีรายได้น้อยจากภาวะน้ำมันแพง. . .
- . . . ชวนคนมีฝีมือ ส่งผลงาน ประกวดออกแบบสลากออมสิน . . .
- . . . เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 5 เดือน . . .
- . . . ธ.ก.ส.เผยยอดซื้อสลากทวีสินเดือนเดียว เฉียด 2 หมื่นล้าน . . .
- . . . ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ทางเลือกใหม่สร้างความมั่นคงเกษตรกร . . .
- . . . เงินบาทอ่อนค่าหลุดแนวรับ 33.00 แตะระดับต่ำสุดรอบกว่า 4 เดือน . . .
- . . . ธนาคารกรุงไทยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ร้อยละ 0.375-1.25 . . .
- . . . มาเลเซียประกาศลอยตัวราคาน้ำมันเชื้อเพลิง-ยกเลิกห้ามขายน้ำมันให้ต่างชาติ . . .
- . . . จับ กระเทียม . . .
- . . . NGV ปีหน้าราคาอาจจะขึ้นเป็น 12 บาท . . .
- . . . ธนาคารกรุงไทย เตรียมขึ้นค่าธรรมเนียมกด ATM ต่างแบงก์ . . .
- . . .ธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวใหญ่ ซีพี แนะใช้ทฤษฎี 2 สูง . . .
- . . . เงินเฟ้อเดือน พ.ค. ... พุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี . . .
- เงินบาทสัปดาห์นี้ยังมีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีก
- ...o...
- ... แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2551 ...
- ... แนะนำงาน Money X-pro ...
- ...อยู่รอดให้ได้...ภายใต้ภาวะผันผวน...
- ...Value Averaging...
- ...ซื้อกองทุนรวมรับของแถม?...
- ...ลงทุนทุกเดือนสม่ำเสมอ...
|
|
|
|
|
แนวโน้มอุตสาหกรรมไทยท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลก
. . .
แนวโน้มอุตสาหกรรมไทยท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลก โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคการเงินสหรัฐฯ ที่อาจนับได้ว่าเป็นวิกฤติเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่สร้างความปั่นป่วนในตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก แต่ผลกระทบที่ขยายวงกว้างไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ของโลก อาจจะนำไปสู่การชะลอตัวลงรุนแรงของเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า สถานการณ์ดังกล่าวคงจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากอุตสาหกรรมไทยมีการพึ่งพาการส่งออกในระดับสูง และการส่งออกเป็นกลจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโตสูงตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของปีนี้ ขณะที่ตัวเลขการส่งออกล่าสุดในเดือนสิงหาคมเริ่มปรากฎสัญญาณการชะลอตัว โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์) ขยายตัวร้อยละ 6.8 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวลงอย่างมากจากร้อยละ 31.2 ในเดือนก่อนหน้า และเป็นอัตราการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบเกือบ 6 ปี นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2545 จากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรมไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ต่อเนื่องถึงปี 2552 ดังนี้
จีดีพีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเกือบร้อยละ 9 ในช่วงครึ่งปีแรก แต่เริ่มชะลอลงในไตรมาสที่ 3
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ภาคอุตสาหกรรมไทยมีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญจากภาคการส่งออก ขณะที่ความต้องการภายในประเทศขยายตัวได้ไม่มากนัก สังเกตได้จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จำแนกตามระดับสัดส่วนการส่งออก พบว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2551 การผลิตในอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกมาก (ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60 ของการผลิตรวม) มีอัตราการขยายตัวสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ คือร้อยละ 17.3 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อุตสาหกรรมที่มีการส่งออกปานกลาง (ส่งออกมากกว่าร้อยละ 30 แต่ไม่เกินร้อยละ 60) ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.9 ส่วนอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกน้อย (ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30 ของการผลิตรวม) มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 10.0
ปัจจัยที่สนับสนุนการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังมีอัตราการเจริญเติบโตในเกณฑ์ดี แม้ในบางภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่นและยุโรป มีสัญญาณเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ผู้ส่งออกไทยยังสามารถขยายตลาดส่งออกใหม่ได้ดี ประกอบกับอุปสงค์และราคาของสินค้าเกษตรที่นำมาแปรรูปเพื่อการส่งออกขยายตัวสูง
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตได้ค่อนข้างดีในระยะที่ผ่านมาของปีนี้ ที่สำคัญ เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และส่วนประกอบ เติบโตร้อยละ 36.0 เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกยังมีสูงประกอบกับมีการขยายกำลังการผลิตและในอุตสาหกรรมนี้มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปี 2550 เป็นต้นมา จึงทำให้ไทยเป็นผู้ส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และส่วนประกอบรายใหญ่ของโลก
รถยนต์นั่ง เติบโตร้อยละ 33.9 เติบโตสูงตามความต้องการของตลาดส่งออกหลักอย่าง ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย โดยมีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 35.3 11.5 และ 5.5 ตามลำดับ โดยประเทศมาเลเซียมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง คือ ร้อยละ 114.8 อาจเป็นเพราะการที่มาเลเซียมีทรัพยากรน้ำมันจำนวนมาก การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นจึงไม่ส่งผลให้ความต้องการใช้รถยนต์ลดลงอย่างประเทศที่เป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน ประกอบกับมีการลดหย่อนภาษีภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียน
ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป (เหล็กลวด) เติบโตร้อยละ 23.6 โดยผลิตภัณฑ์เหล็กลวดขยายตัวตามความต้องการของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม กัมพูชา เป็นต้น เนื่องจากเหล็กลวดส่วนใหญ่มีตลาดหลักอยู่ภายในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
ขณะที่อุตสาหกรรมที่ประสบปัญหา ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เครื่องเรือนไม้ (เฟอร์นิเจอร์) คอมพิวเตอร์ ซึ่งหดตัวลงร้อยละ 73.0 54.9 และ 32.9 ตามลำดับ (เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล่านี้มีตลาดหลักอยู่ที่สหรัฐฯและสหภาพยุโรป ขณะที่การประกอบคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปในประเทศไทยลดน้อยลง)
ทั้งนี้ แรงผลักดันจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ของภาคอุตสาหกรรมมีอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 8.9 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 สูงขึ้นกว่าที่มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.7 ในปี 2550 อย่างไรก็ตาม จากเครื่องชี้รายเดือนในด้านผลผลิตอุตสาหกรรม ที่รายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทย สะท้อนถึงทิศทางที่ชะลอตัวลงในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าจีดีพีของภาคอุตสาหกรรมอาจชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 โดยอาจขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 7
แนวโน้มอุตสาหกรรมช่วงโค้งสุดท้ายปี 2551 ถึงปี 2552 ... หวั่นตลาดต่างประเทศทรุด
ปัจจัยที่จะมีผลต่อภาคอุตสาหกรรมไทยในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และวิกฤตการณ์ทางการเงินในสหรัฐที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยสำหรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ยังมีประเด็นที่อาจจะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความต่อเนื่องของนโยบาย เช่น การพิจารณาตัดสินคดียุบพรรคการเมือง ซึ่งอาจทำให้ภาคเอกชนชะลอโครงการลงทุนเพื่อรอคอยความชัดเจนต่อประเด็นดังกล่าว ขณะที่โครงการลงทุนของภาครัฐอาจมีความล่าช้า อุตสาหกรรมที่จะถูกกระทบ ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ
แต่ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลมากที่สุด ได้แก่ แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจภูมิภาคหลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติในภาคการเงิน ซึ่งส่งผลกระทบไปสู่การจ้างงาน รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ขณะเดียวกัน เป็นที่คาดว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและหลายประเทศในยุโรปอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียซึ่งเคยเป็นตลาดที่เข้ามาช่วยชดเชยการชะลอตัวของกลุ่มเศรษฐกิจชั้นนำของโลกก็เริ่มชะลอตัวลงเช่นกัน
ทั้งนี้ จากรายงานล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2552 ลงมาเป็นร้อยละ 3.0 (จากคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 3.7) ชะลอลงจากประมาณการร้อยละ 3.9 ในปี 2551 โดยสหรัฐฯจะขยายตัวร้อยละ 0.1 จากร้อยละ 1.6 ในปี 2551 ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำในกลุ่ม G7 โดยเฉลี่ยจะขยายตัวร้อยละ 0.1 จากร้อยละ 1.2 ในปี 2551 ส่วนประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะขยายตัวร้อยละ 7.7 จากร้อยละ 8.4 ในปี 2551 นอกจากปัจจัยลบในด้านอุปสงค์ของตลาดโลกแล้ว ในรายงานของ IMF ยังคาดการณ์แนวโน้มราคาสินค้าส่งออก-นำเข้าประเภทสินค้าอุตสาหกรรมว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 จากร้อยละ 13.8 ในปี 2551
จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น บวกกับผลของฐานเปรียบเทียบที่สูงของปีก่อน (ที่จีดีพีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 8.0 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550) คาดว่าจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของจีดีพีภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 จะชะลอตัวลงมากยิ่งขึ้น โดยถ้าการส่งออกยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง จีดีพีของภาคอุตสาหกรรมไทยอาจจะขยายตัวต่ำลงมาที่ร้อยละ 5.5 อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลของการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกจะหนุนให้อัตราการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้งปี 2551 นี้ ขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 7.5 สูงขึ้นจากร้อยละ 5.7 ในปี 2550
ความเสี่ยงผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมน่าจะเห็นชัดเจนมากขึ้นในปี 2552 เนื่องจากปัญหาวิกฤติในภาคการเงินคงจะซึมลงสู่ภาคเศรษฐกิจจริง และยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าที่เศรษฐกิจภูมิภาคต่างๆ จะกลับมาฟื้นตัวในระดับปกติ ขณะที่ปัจจัยในประเทศคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมือง ซึ่งถ้าปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลง ก็น่าจะเป็นพื้นฐานที่เอื้ออำนวยให้เกิดแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่จะช่วยผลักดันอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าอุตสาหกรรมให้กลับมาขยายตัวดีขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าในปีหน้า แรงกดดันเงินเฟ้อน่าจะลดลงตามแนวโน้มการชะลอตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมทั้งนโยบายการเงินอาจจะสามารถผ่อนคลายลง ขณะที่ในด้านนโยบายการคลัง ถ้าการเมืองมีเสถียรภาพ รัฐบาลน่าจะสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเป้าหมาย และอาจจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นระยะ รวมถึงการเริ่มดำเนินการโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจ จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะส่งผลให้อุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดส่งออกอาจมีแนวโน้มชะลอตัว ผลจากการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก (จีดีพี โลก) เพื่อดูผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกต่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคอุตสาหกรรมของไทย พบว่า เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงร้อยละ 1 จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยลดลงร้อยละ 0.9
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยความไม่แน่นอนทั้งภายในและภายนอกประเทศในปีหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประมาณการอัตราการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในปี 2552 ไว้ในกรอบที่ค่อนข้างกว้าง คือระหว่างร้อยละ 4.5-5.5 ชะลอลงจากปี 2551 ที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.5
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อุตสาหกรรมที่มีโอกาสถูกกระทบค่อนข้างมากในระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ได้แก่
อุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอ (เสื้อผ้าสำเร็จรูป) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์พลาสติก (ส่วนประกอบในเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำจากพลาสติก) รองเท้าและชิ้นส่วน ยางและผลิตภัณฑ์ยาง อุตสาหกรรมเครื่องไม้ (เฟอร์นิเจอร์) เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯยังซบเซา ทำให้ความต้องการเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนไม้ยังไม่ฟื้นตัว
อุตสาหกรรมที่ยังขยายตัวได้ คือ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (การส่งออกอาหารกระป๋องแปรรูปยังคงเติบโตได้ แต่สินค้ากุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง จะได้รับผลกระทบมากเนื่องจากสหรัฐฯเป็นตลาดหลัก) อุตสาหกรรมกระดาษและสิ่งพิมพ์ (เพราะตลาดหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชีย) อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มทรงตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง (เหล็ก ปูนซีเมนต์) แม้ว่าในช่วงปลายปีจะล่วงเลยฤดูฝนไปแล้ว แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองและนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ยังมีความไม่ชัดเจน คาดว่าอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างน่าจะยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว
อุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการที่ราคาพลังงานปรับตัวลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมยานยนต์
อุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการที่เงินบาทค่อนข้างแข็งค่า คือ อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ (ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช อุตสาหกรรมสี) เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่
สรุปและข้อเสนอแนะ
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ภาคอุตสาหกรรมไทยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาคการส่งออก โดยปัจจัยที่สนับสนุนการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกโดยรวมที่ยังคงมีอัตราการเจริญเติบโตในเกณฑ์ดี แม้ในบางภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่นและยุโรป มีสัญญาณเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ผู้ส่งออกไทยยังสามารถขยายตลาดส่งออกใหม่ได้ดี ประกอบกับอุปสงค์และราคาของสินค้าเกษตรที่นำมาแปรรูปเพื่อการส่งออกขยายตัวสูง
แรงผลักดันจากภาคการส่งออกส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ของภาคอุตสาหกรรมมีอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 8.9 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551สูงขึ้นกว่าที่มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.7 ในปี 2550 อย่างไรก็ตาม จากเครื่องชี้รายเดือนในด้านผลผลิตอุตสาหกรรมสะท้อนถึงทิศทางที่ชะลอตัวลงในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้คาดว่า จีดีพีของภาคอุตสาหกรรมอาจชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 โดยอาจขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 7 ปัจจัยที่จะมีผลต่อภาคอุตสาหกรรมไทยในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2551 ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ แต่ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวล คือ วิกฤตการณ์ทางการเงินในสหรัฐที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยคาดว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและหลายประเทศในยุโรปอาจยังคงอ่อนแอหรือถึงขั้นถดถอย ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียซึ่งเคยเป็นตลาดที่เข้ามาช่วยชดเชยการชะลอตัวของกลุ่มเศรษฐกิจชั้นนำของโลกก็เริ่มชะลอตัวลงเช่นกัน จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับผลของฐานเปรียบเทียบที่สูงของปีก่อน (จีดีพีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 8.0 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550) คาดว่าจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของจีดีพีภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 จะชะลอตัวลงมากยิ่งขึ้น ถ้าการส่งออกยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง จีดีพีของภาคอุตสาหกรรมไทยอาจจะขยายตัวต่ำลงมาที่ร้อยละ 5.5
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลของการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกจะหนุนให้อัตราการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้งปี 2551 นี้ ขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 7.5 สูงขึ้นจากร้อยละ 5.7 ในปี 2550
ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมน่าจะเห็นชัดเจนมากขึ้นในปี 2552 เนื่องจากปัญหาวิกฤติในภาคการเงินคงจะซึมลงสู่ภาคเศรษฐกิจจริง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประมาณการอัตราการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในปี 2552 ไว้ในกรอบที่ค่อนข้างกว้าง คือระหว่างร้อยละ 4.5-5.5 ชะลอลงจากปี 2551 ที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.5
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อุตสาหกรรมที่มีโอกาสถูกกระทบค่อนข้างมากในระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอ (เสื้อผ้าสำเร็จรูป) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์พลาสติก (ส่วนประกอบในเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำจากพลาสติก) รองเท้าและชิ้นส่วน ยางและผลิตภัณฑ์ยาง อุตสาหกรรมเครื่องไม้ (เฟอร์นิเจอร์)
ข้อเสนอแนะ ในระยะสั้นที่ภาคอุตสาหกรรมไทยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกนั้น ผู้ผลิตอาจหันมามองโอกาสในการขยายตลาดภายในประเทศ เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศยังมีความเอื้ออำนวยอยู่บ้าง โดยภาวะค่าครองชีพสูงของประชาชนเริ่มบรรเทาลงทั้งจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงประกอบกับมาตรการลดผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพสูงของรัฐบาลที่ช่วยให้ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น นอกจากนี้อาจขยายตลาดส่งออกใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต เช่น ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่มีรายรับเพิ่มขึ้นจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งแม้แนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงปีหน้าอาจจะอ่อนตัวลง แต่กลุ่มตะวันออกกลางถือเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อสูง และได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินโลกค่อนข้างน้อยกว่าภูมิภาคอื่นๆ ขณะเดียวกันภาครัฐควรสนับสนุนการส่งออกของภาคอุตสาหกรรมไทยได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ภายใต้เงื่อนไขข้อตกลงของการทำเอฟทีเอที่มีอยู่ และส่งเสริมให้เกิดการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านหรือการค้าชายแดนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันการคมนาคมขนส่งระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านมีความสะดวกขึ้นจากการที่มีการจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานภายในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน จากเส้นทางขนส่งที่มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นนี้จะช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนในการขนส่งสินค้า อีกทั้งควรจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วยเพื่อส่งเสริมให้การบริโภคภายในประเทศและการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวขึ้น
ในระยะยาว การพัฒนาเทคโนโลยีรวมถึงทักษะความสามารถของบุคลากรและแรงงานในภาคอุตสาหกรรมยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ประกอบการคงต้องพัฒนากระบวนการผลิตและใช้นวัตกรรมการผลิตใหม่ๆ เพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพสูงขึ้นรวมทั้งสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้
**********************************************
Create Date : 20 ตุลาคม 2551 |
|
3 comments |
Last Update : 20 ตุลาคม 2551 20:38:59 น. |
Counter : 592 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: be-oct4 20 ตุลาคม 2551 22:14:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: กตัญญู (รู้คุณ ) 22 ตุลาคม 2551 20:00:12 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 60-80 สตางค์ วันที่ 21 ต.ค.นี้
ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาน้ำมันมีผล ในวันนี้ (21 ต.ค.) โดยลดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ 60 สตางค์ต่อลิตร และดีเซลลดลง 80 สตางค์ต่อลิตร ตามราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
การปรับลดราคาน้ำมันดังกล่าว ส่งผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเป็นดังนี้
เบนซิน 95 ลิตรละ 33.39 บาท
เบนซิน 91 ลิตรละ 30.39 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 23.89 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 23.09 บาท
ดีเซล ลิตรละ 23.94 บาท
ไบโอดีเซล บี 5 ลิตรละ 23.24 บาท
การปรับลดราคาน้ำมันครั้งนี้เป็นการลดราคารอบที่ 4 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ และเป็นการปรับลดราคาตามตลาดโลกที่เกิดความกังวลจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างรุนแรง แนวโน้มมีโอกาสที่ราคาน้ำมันในประเทศไทยจะปรับลดลงอีก
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างรวดเร็วในรอบ 3 เดือน ลดลงประมาณ 70 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ทำให้บรรดาโรงกลั่นน้ำมันเกิดผลกระทบตามมาอย่างหนัก จากกรณีการขาดทุนจากน้ำมันในสต๊อกที่ซื้อมาราคาสูง และจะส่งผลกระทบต่อบรรดาธุรกิจโรงกลั่น และสถานีบริการน้ำมันในไตรมาส 4 นี้
. . .
เจ๊เกียว ยอมลดค่าโดยสารกิโลเมตรละ 3 สตางค์
นางสุจินดา เชิดชัย นายกสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์โดยสาร กล่าวว่า ตามที่ราคาน้ำมันได้ปรับลดลง ทางสมาคมยินดีที่จะปรับลดค่าโดยสารลงกิโลเมตรละ 3 สตางค์ ซึ่งต้องรอการประชุมคณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลาง และในเร็วๆ นี้จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาอัตราค่าโดยสารแบบลอยตัว เพื่อให้การปรับอัตราค่าโดยสารในอนาคตสอดคล้องกับราคาน้ำมัน รวมทั้งจะเสนอให้มีการปรับขึ้นลงค่าโดยสารทุกๆ 2 สตางค์/กิโลเมตร แทนการปรับขึ้นลงทุกๆ 3 สตางค์/กิโลเมตร เพื่อให้เกิดความคล่องตัว
นางสุจินดา กล่าวว่า การปรับราคาค่าโดยสาร อยากให้เป็นไปตามกลไกตลาด หากเป็นไปได้อยากให้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาการปรับค่าโดยสารที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นางสุจินดา กล่าวว่า ปัจจุบันปริมาณผู้โดยสารลดลง เพราะประชาชนเดินทางลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว มาตรการรถไฟฟรีเพื่อประชาชน และรถผิดกฎหมายที่ให้บริการทับเส้นทางของผู้ประกอบการ จึงต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดในการจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมาย
สำหรับอัตราค่าโดยสารตามประกาศของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกในระดับที่จัดเก็บค่าโดยสารในปัจจุบันคือระดับที่ 18 โดยราคาน้ำมันอยู่ที่ลิตรละ 30.82-32.03 บาท แต่เมื่อราคาน้ำมันอยู่ที่ลิตรละ 23.94 บาท จะต้องจัดเก็บค่าโดยสารในระดับที่ 12 ซึ่งค่าโดยสารจะต้องลดลงจากปัจจุบันประมาณ 6 สตางค์/กิโลเมตร
เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 51 คณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง มีมติอนุมัติให้ปรับราคาค่าโดยสารรถร่วมบริการ ขสมก.และ รถ ขสมก.เพิ่มขึ้นอีก 1.50 บาท รถมินิบัสเพิ่มขึ้น 1 บาท ทำให้ราคาค่าโดยสารรถร้อนครีมแดงจาก 7 บาท เป็น 8.50 บาท รถครีมน้ำเงินจาก 8.50 บาท เป็น 10 บาท รถปรับอากาศทุกประเภท ให้เพิ่มขึ้นช่วงละ 1 บาท จากเดิม 12-24 บาท เป็น 13-25 บาท รถ บขส.และรถร่วมบริการปรับราคาเพิ่มขึ้น 3 สตางค์/กิโลเมตร
. . .
รถร่วมฯ ยอมลดค่าโดยสารไม่เกิน 1 บาท อ้างภาระต้นทุนยังสูง
นายฉัตรชัย ชัยวิเศษ นายกสมาคมพัฒนารถร่วมเอกชน เปิดเผยว่า จากการที่ปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศปรับลดลงเหลือประมาณ 24 บาทต่อลิตร ทางสมาคมจึงเห็นด้วยที่หากวันนี้ (21 ต.ค.) คณะกรรมการขนส่งทางบกกลางจะมีมติปรับลดค่าโดยสารเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่ไม่ควรปรับลดมากกว่า 1 บาท เนื่องจากแต่ละบริษัทมีภาระต้นทุนด้านอื่น อาทิ ค่าแรง ค่าบำรุงรักษา และผลกระทบยอดผู้โดยสาร จากนโยบายรถโดยสารฟรี 800 คันของรัฐบาล
ทั้งนี้ทางสมาคมยังกังวลว่า หากสิ้นสุดการใช้นโยบาย 6 มาตรการ ในวันที่ 31 มกราคม 2552 โดยเฉพาะเรื่องลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอีก 3-4 บาทต่อลิตร ซึ่งเมื่อถึงขณะนั้นคงต้องหารือราคาค่าโดยสารกับคณะกรรมการขนส่งทางบกกลางอีกครั้ง
. . .
เรือโดยสารคลองแสนแสบลดค่าโดยสาร 2 บาท
ผู้ประกอบการเรือโดยสารคลองแสนแสบ นำร่องปรับลดค่าโดยสารระยะละ 2 บาท จากเดิม 10-20 บาท ลดเหลือ 8-18 บาท สำหรับเรือข้ามฟากปรับลดลง 50 สตางค์ จาก 3.50 บาท เป็น 3.00 บาท และในวันจันทร์ที่ 27 ต.ค. นี้ สมาคมเรือไทยจะประชุมพิจารณาปรับลดค่าเรือโดยสารส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติม
นายเชาวลิต เมธยะประภาส นายกสมาคมผู้ประกอบการเจ้าของเรือไทย กล่าวถึงการปรับลดราคาค่าโดยสารเรือคลองแสนแสบในวันที่ 20 ต.ค. ซึ่งเป็นวันแรก พบว่าปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการเรือคลองแสนแสบมากขึ้น จากช่วงที่ผ่านมามีผู้โดยสารเฉลี่ย 30,000 - 40,000 คนต่อวัน ในช่วงเวลาเร่งด่วน
นายเชาวลิต กล่าวว่า หากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงจะพิจารณาปรับราคาค่าโดยสารอีก ทั้งนี้ราคาน้ำมันจะต้องปรับลดลงอีก 5 บาทต่อลิตร จึงจะมีการพิจารณาอีกครั้ง แต่ถ้าน้ำมันปรับขึ้นในอัตราเท่ากับจำนวนที่ปรับลด ผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องปรับราคาค่าโดยสารขึ้นด้วยเช่นกัน
. . .
กขช. เปิดรับจำนำข้าว 1 พ.ย.นี้ ราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้า 12,000 บาท/ตัน
นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ว่า ที่ประชุมได้สรุปแนวทางการเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลผลิต 2551/2552 โดยคาดว่าจะเปิดรับจำนำได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2552 ส่วนภาคใต้เริ่ม 1 กุมภาพันธ์ 2552 จนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2552
กขช.ได้กำหนดอัตรารับจำนำข้าวดังนี้
ข้าวเปลือกเจ้า ความชื้นไม่เกิน 15% ราคารับจำนำตันละ 12,000 บาท
ข้าวเปลือกหอมมะลิ ความชื้นไม่เกิน 15% ราคารับจำนำตันละ 15,000 บาท
ข้าวเปลือกเหนียว อยู่ที่ตันละ 9,000 บาท
และเพื่อให้การขายข้าวเป็นไปตามกลไกตลาด จึงได้เปิดทางเลือกให้เกษตรกรผู้ที่มีสิทธิ์ในการจำนำข้าวกับภาครัฐ ให้มาลงชื่อกับทางหน่วยงานภาครัฐ ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, องค์การคลังสินค้า(อคส.), หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เกษตรกรสามารถจำนำข้าวตามราคาที่ทางการกำหนดไว้ โดยส่วนราชการได้เปิดทางเลือกขยายเวลาการไถ่ถอนจากปกติภายใน 30 วัน เพิ่มเป็น 120 วัน หากเกษตรกรเห็นว่าราคาข้าวในตลาดสูงกว่าราคารับจำนำ สามารถมาไถ่ถอนและไปขายในตลาดได้
ส่วนอีกทางเลือกหนึ่ง คือ หากเกษตรกรมาลงชื่อใช้สิทธิ์จำนำข้าว และมีข้าวอยู่ในยุ้งฉาง โดยไม่อยากจำนำข้าว สามารถนำข้าวมาขายให้กับ ธ.ก.ส. เพื่อให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายข้าวล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าได้ การเปิดทางเลือกให้เกษตรกรจะทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณนับแสนล้านบาทรับจำนำข้าวทั้งหมด เนื่องจากสามารถขายข้าวเปลือกในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าได้
สำหรับผลการประชุม กขช. ดังกล่าว จะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาอนุมัติในวันนี้ (21 ต.ค.)
. . .
กระทรวงพาณิชย์ เสนอครม. ของบแสนล้านรับจำนำ 3 สินค้าเกษตร ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้( 21 ต.ค.) กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้ที่ประชุม พิจารณาเปิดรับจำนำสินค้าเกษตร เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 3 รายการ ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
โดยจะขอให้มีการเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลผลิต ปี 2551/2552 จำนวน 8 ล้านตัน, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จำนวน 5 แสนตัน ราคากิโลกรัมละ 8.20 บาท หรือ 8.50 บาท, และมันสำปะหลัง จำนวน 5 ล้านตัน ในราคากิโลกรัมละ 1.80 บาท หรือ 1.90 บาท โดยจะใช้งบประมาณทั้งหมด ประมาณ 120,000 ล้านบาท
. . .