รอลุ้นแผนกูวิกฤติการเงินสหรัฐฯ
. . .
คณะติดตามปัญหาเศรษฐกิจ จับตาธุรกรรมสถาบันการเงินที่มีปัญหา
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะติดตามประสานงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในสภาวะฉุกเฉิน กล่าวว่า หลังจากวุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านแผนกู้วิกฤต 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
ซึ่งในส่วนของฐานะการเงินในสหรัฐฯ ยุโรป และภูมิภาคเอเชีย ขณะนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือมีปัญหาเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องติดตามสถาบันการเงินทั่วโลกว่าสถาบันการเงินใดบ้างมีปัญหา หรือเริ่มมีปัญหา โดยดูจากตัวบ่งชี้ฐานะความมั่นคงขององค์กรว่ามีปัญหาหรือไม่ ซึ่งหากสถาบันใดมีปัญหาจะดูในเรื่องของประเทศไทยว่ามีธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องคอยดูแลแก้ปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ นายศุภรัตน์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการประเมินสถานการณ์แล้วพบว่าขณะนี้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงินในสหรัฐฯ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินและธุรกิจประกันในประเทศไทย อย่างไรก็ตามได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. เป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมข้อมูล และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งพบว่าความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อลดลง แต่ความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้นการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง จึงจะมุ่งดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งวิกฤตจากสหรัฐฯ ขณะนี้เป็นเพียงผลกระทบในระยะใกล้ แต่หากสถานการณ์ยังรุนแรงขึ้นจะยิ่งสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศสูงขึ้น
นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์มีจำนวนมากกว่า 400,000 ล้านบาท และสถาบันการเงินในไทยอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง แต่จะติดตามข้อมูลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของสถาบันการเงินต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาผลกระทบต่อสถาบันการเงินในประเทศไทย ส่วนการติดตามภาวะเงินทุนไหลออกที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังไม่พบสิ่งผิดปกติที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากการไหลของเงินทุนเป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค . . .
สศค.เชื่อวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะบรรเทาหลังสหรัฐผ่านแผน 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นายสมชัย สัจจพงษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การที่วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านแผนกู้วิกฤต 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้นเป็นสัญญาณที่ดี สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ และทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยเบาบางลง แต่ทั้งนี้ สหรัฐฯ จะต้องมีมาตรการออกมาเพิ่มเติม เพราะปัญหานี้จะยืดเยื้อออกไปพอสมควร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการลงมติอีกรอบของสภาคองเกรสในวันศุกร์นี้( 3 ต.ค.) จะเป็นแรงกดดันให้ผ่านไปได้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการที่วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติผ่านแผน 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ว่า ตนเชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. จะโหวตผ่านแผนดังกล่าวในรอบ 2 เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตายทางเศรษฐกิจ และน่าจะมีการโน้มน้าวให้ ส.ส.ที่ไม่เห็นด้วยในการลงมติครั้งที่แล้ว ให้กลับมาสนับสนุนได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม หากไม่ผ่าน จะต้องไปร่างกฎหมายใหม่ และเสนอสภาคองเกรสใหม่อีกครั้ง นายสมชาย กล่าวว่า มาตรการ 7 แสนล้านดอลลาร์ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่จะช่วยเรียกความเชื่อมั่น เพราะสถานการณ์ดังกล่าวจะต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน - 1 ปี
สำหรับผลกระทบของไทย ต้องปรับตัว เพราะหากการส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนต่างประเทศชะลอตัว จะกระทบอัตราแลกเปลี่ยน และการลงทุนในตลาดหุ้น ดังนั้น ต้องมีแผนเข้มข้น ขณะที่มาตรการที่ออกมาก่อนหน้านี้เป็นมาตรการสั้นๆ ยังถือว่าไม่เพียงพอ
. . .
คลังเตรียมวางกฎเกณฑ์คุมเข้มต่างชาติเข้ามาระดมทุน
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะ โดยกรรมการประกอบด้วย ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุมัติให้องค์กรการเงินระหว่างประเทศ หรือรัฐบาลประเทศต่างๆ เข้ามาระดมทุนเป็นเงินบาทในประเทศ เพื่อไม่ให้กระทบกับปัญหาสภาพคล่องในประเทศ โดยจะเชิญสมาคมธนาคารไทยมาหารือ เพื่อรับฟังความคิดเห็นว่า ธนาคารพาณิชย์มีความกังวลปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศอย่างไรบ้าง หลังจากที่ได้รับฟังความเห็นจากกลุ่มต่างๆแล้ว โดยหลักเกณฑ์ทั้งหมดต้องเสนอให้นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นชอบ
สำหรับการอนุมัติให้ต่างประเทศระดมทุนในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา มีมูลค่า 40,000 ล้านบาท จำนวน 15 องค์กร โดยมีการระดมทุนไปแล้ว 2 แห่ง ประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งมองว่าการระดมทุน 7,000 ล้านบาท คงไม่กระทบต่อสภาพคล่องในประเทศมากนัก
. . .
วิกฤตการเงินสหรัฐฯฉุดยอดจองตั๋วเครื่องบินเส้นทางยุโรปลดเหลือ 75% นายเอกกมล หุตะสิงห์ ประธานหอการค้าไทยอิตาเลียน กล่าวว่า วิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ที่เริ่มลุกลามไปตามประเทศต่างๆ ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ลูกค้าจากยุโรปและจากสหรัฐฯ ขอหยุดเจรจาซื้อขายสินค้าจากไทย เพื่อรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจ เพราะเกรงว่าราคาสินค้าอาจจะเปลี่ยนแปลง ขณะที่การซื้อขายกับกลุ่มประเทศในแอฟริกายังปกติ ร.ท.อภินันท์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นทำให้ยอดจองที่นั่งของสายการบินไทยเส้นทางยุโรปในเดือนนี้ ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 75 เทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ร้อยละ 80
ส่วนเส้นทางกรุงเทพฯ-อเมริกา ยังมีปริมาณผู้โดยสารเท่าเดิม ขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มเที่ยวบินเส้นทางกรุงเทพฯ -ลอสแอลเจลิสจากสัปดาห์ละ 5 เที่ยวเป็น 7 เที่ยว
นายวันชัย ศารทูลทัต ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า นักท่องเที่ยวทั้งยุโรป และอเมริกายังคงเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ททท.เน้นการเจาะตลาดใหม่ เช่น อินเดีย ตะวันออกกลางด้วย
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยมากนัก เนื่องจากวิกฤตการเงินเกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ขณะที่สินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่ ไม่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้
. . .
ปตท. เตรียมลดราคาน้ำมันอีกครั้งปลายสัปดาห์นี้ หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังทรงตัวในระดับนี้ หรือลดลงอีก นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวลดลงประมาณ 2-3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็นผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มอ่อนตัวลงตาม และจากสถานการณ์ปัจจุบันหากราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับนี้ หรือลดลงอีก ปตท.มีโอกาสปรับลดราคาขายปลีกในประเทศอีกครั้ง ในปลายสัปดาห์นี้ประมาณ 50-60 สตางค์ต่อลิตร โดยเฉพาะดีเซล
แต่ต้องดูแผนฟื้นฟูวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ก่อนว่า จะสามารถผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรสสหรัฐฯ หรือไม่ ที่จะมีการลงคะแนนเสียงเห็นชอบในวันศุกร์นี้( 3 ต.ค.) หลังผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาสหรัฐฯ แล้ว เนื่องจากผลการลงคะแนนเสียงดังกล่าว มีผลต่อราคาน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนใช้น้ำมันอย่างประหยัด และระมัดระวัง แม้ว่าขณะนี้ราคาน้ำมันในประเทศปรับลดมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร ในหลายผลิตภัณฑ์แล้วก็ตาม ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคได้ใช้น้ำมันในราคาถูกจากเดิมที่ปรับขึ้นสูงสุดเกิน 40 บาทต่อลิตร เพราะไทยยังจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ . . .
รมว.พาณิชย์ ไม่วิตกวิกฤติการเงินสหรัฐ มั่นใจส่งออกปีหน้าโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ผลกระทบจากวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ กระทบต่อการส่งออกของประเทศไทยไปยังสหรัฐฯ เพียงร้อยละ 0.01 เท่านั้น โดยกระทรวงพาณิชย์ได้มีการผลักดันนโยบายการส่งออกเชิงรุก ด้วยการใช้ทูตพาณิชย์ในทุกประเทศทั่วโลกหาตลาดใหม่ เสริมกับนโยบายสนับสนุนของส่วนกลาง
โดยมั่นใจว่าการส่งออกของประเทศในปีนี้ จะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 15-20 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในปี 2552 คาดว่าการส่งออกจะยังสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 15 คิดเป็นมูลค่ากว่า 207,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นผลมาจากการหาตลาดใหม่ ๆ ทดแทนตลาดหลัก แม้ว่าตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯจะมีอัตราการส่งออกลดลง แต่ในหลายประเทศรวมถึงตลาดสหรัฐฯยังมีความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารของไทยเพิ่มขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาหอการค้าไทย คาดว่าการส่งออกในปี 2552 จะขยายตัวร้อยละ 8-10 จากปีนี้ที่ส่งออกขยายตัวถึงร้อยละ 20
ส่วนภาพรวมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เชื่อว่าปีนี้จะโตร้อยละ 4.0-4.5 บนพื้นฐานว่ารัฐจะต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ขณะที่ภาคการเมืองจะต้องเร่งนำนโยบายไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจ . . .
นักลงทุนรอลุ้นสภาสหรัฐฯผ่านแผนกู้วิกฤติการเงิน
ตลาดหุ้นไทยวันที่ 2 ต.ค. ดัชนียังคงแกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบ ๆ เนื่องจากนักลงทุนยังรอลุ้นแผนกู้วิกฤติการเงินสหรัฐว่าจะผ่านการอนุมัติหรือไม่ โดยดัชนีปิดที่ 597.69 จุด เพิ่มขึ้น 3.24 จุด หรือร้อยละ 0.55 มูลค่าการซื้อขาย 10,369 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 35 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 709 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิ 745 ล้านบาท
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน มองว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ระหว่างดัชนี 595-600 จุด เพื่อรอดูข้อมูลเพิ่มเติมของแผนกู้วิกฤติสหรัฐ มูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ผ่านวุฒิสภาแล้ว ว่าขั้นตอนต่อไปจะผ่านการอนุมัติจากสภาล่างหรือไม่ หลังจากวันจันทร์ที่ผ่านมาไม่ผ่านการอนุมัติ จึงทำให้กระแสความเชื่อมั่นไม่เต็ม 100% นักลงทุนจึงรอดูสถานการณ์
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 3 ต.ค. มองว่ายังคงแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ ซึ่งหากแผนกู้วิกฤติสหรัฐผ่านการอนุมัติ ตลาดหุ้นไทยจะตอบรับในเชิงบวก โดยหากเป็นบวก และดัชนีปรับขึ้นมากกว่า 604 จุด จะมีแรงเก็งกำไรระยะสั้นกลับเข้ามา แต่หากไม่ผ่านและดัชนีไม่สามารถยืนเหนือ 604-605 จุดได้ จะเผชิญแรงเทขาย และดัชนีอาจลดลงเหลือ 580 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนรอดูสถานการณ์
. . .
Create Date : 02 ตุลาคม 2551 |
|
2 comments |
Last Update : 2 ตุลาคม 2551 19:00:03 น. |
Counter : 656 Pageviews. |
|
|
|
อรุณสวัสดิ์ ... วันสีฟ้าสดใสค่ะ
มีแต่ความสุขนะคะ