Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
19 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

น้ำมันลดลง 10%--ค่าโดยสารรถ-เรือเตรียมปรับลงตาม--ยางพาราราคาตก 43%

. . .

เดือนนี้ราคาน้ำมันเบนซินลดลงไปแล้ว 9-10% ขณะที่ดีเซลลดลง 17-18%

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดลดลงอีก 1 บาท ทำให้ราคาน้ำมันเป็นดังนี้
เบนซิน 95 ลิตรละ 33.99 บาท
เบนซิน 91 ลิตรละ 30.99 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 24.49 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 23.69 บาท
ดีเซล ลิตรละ 24.74 บาท
ไบโอดีเซล บี 5 ลิตรละ 24.04 บาท
เปรียบเทียบราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงกับต้นเดือนที่ผ่านมาพบว่าราคาน้ำมันเบนซินลดลงลิตรละ 3.60 บาท, แก๊สโซฮอล์ลดลงลิตรละ 2.60 บาท และดีเซลลดลงลิตรละ 5.40 บาท

ประเภท ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง เปลี่ยนแปลง
1 ตุลาคม 18 ตุลาคม บาท %
เบนซิน 95 37.59 33.99 3.60 -9.6
เบนซิน 91 34.59 30.99 3.60 -10.4
แก๊สโซฮอล์ 95 27.09 24.49 2.60 -9.6
แก๊สโซฮอล์ 91 26.29 23.69 2.60 -9.9
ดีเซล 30.14 24.74 5.40 -17.9
ไบโอดีเซล บี 5 29.44 24.04 5.40 -18.3

. . .


โอเปกอาจพิจารณาลดกำลังผลิตน้ำมันในการประชุมสัปดาห์หน้า

นายชากิบ เคลิล รัฐมนตรีน้ำมันของแอลจีเรีย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) กล่าวว่า ในการประชุมฉุกเฉินที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้(24 ต.ค.) โอเปกควรจะพิจารณาลดเพดานการผลิตน้ำมันลงในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทานของตลาด

นายเคลิล ระบุว่า การลดปริมาณการผลิตน้ำมันที่เหมาะสมในขณะนี้ น่าจะอยู่ระหว่างวันละ 1.5 - 2.0 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้ เพื่อให้ราคาน้ำมันมีเสถียรภาพต่อไป จนถึงช่วง 6 เดือนแรกของปี 2552 ขณะที่ปริมาณความต้องการน้ำมันในขณะนี้ ลดลงถึงวันละ 3 ล้านบาร์เรล สำหรับราคาน้ำมันที่เหมาะสมควรจะอยู่ระหว่าง 70-90 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นราคาที่ไม่ถูก และไม่แพงจนเกินไป

. . .


สันติ ย้ำราคาค่าโดยสารรถปรับลดได้ทันที

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุถึงอัตราค่ารถโดยสารสาธารณะขณะนี้ ว่า กระทรวงคมนาคมมีนโยบายดูแลให้มีการคิดอัตราค่ารถโดยสารสอดคล้องกับราคาน้ำมัน โดยเฉพาะดีเซลที่ปรับลดลงเหลือขณะนี้ 24.74 บาทต่อลิตร และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลดราคาค่าโดยสารได้ทันที โดยไม่ต้องรอมติของคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง เช่น บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้แจ้งว่าจะลดค่าโดยสาร 3 สตางค์ต่อกิโลเมตร

โดยคณะกรรมการขนส่งทางบกกลางจะประชุม ในวันที่ 21 ตุลาคมนี้ เพื่อมีมติลดค่าโดยสาร ส่วนภาคเอกชนบางรายที่ไม่อยากปรับลดค่าโดยสารโดยอ้างว่าจำนวนผู้โดยสารลดลง เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา และไม่ต้องเจรจา เพราะสุดท้ายต้องทำตามมติของคณะกรรมการขนส่งทางบกกลางอยู่แล้ว

. . .


บขส.เตรียมปรับลดค่าโดยสาร 3 สตางค์ต่อกิโลเมตร คาดมีผลไม่เกิน 1 พ.ย.นี้

นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการอนุมัติ บขส. และรถร่วมบริการ เตรียมปรับลดลงราคาค่าโดยสารลง 3 สตางค์ต่อกิโลเมตร หลังจากได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ราคาน้ำมัน โดยเฉพาะดีเซลปรับลดลงต่อเนื่อง ทำให้ภาระต้นทุนการเดินรถลดลง

ทั้งนี้ คาดว่า คณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลาง เห็นชอบให้มีการปรับลดค่าโดยสารตามกฎหมาย ก่อน 1 พ.ย.นี้

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ทำให้สัดส่วนต้นทุนด้านน้ำมันของ บขส.ลดลงจาก 60% ตอนที่ราคาน้ำมันลิตรละ 40 บาท เหลือ 35-40% จากราคาน้ำมันปัจจุบันที่ลิตรละประมาณ 25 บาท

. . .


สมาคมท่องเที่ยวเกาะพะงันเรียกร้องเรือเฟอร์รี่ลดราคาตั๋วข้ามฟาก

นายเจริญพร สุขผล รองนายกสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยว อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมสมาชิกสมาคม เตรียมเข้าพบผู้ว่าราชการ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเรียกร้องให้เจ้าของเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากหารือกับผู้ประกอบการ เพื่อปรับลดราคาตั๋วโดยสารเรือเฟอร์รี่ลงตามราคาน้ำมัน เพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค

โดยบริษัทเรือเฟอร์รี่ ขึ้นราคาตั๋วโดยสารที่วิ่งระหว่าง อ.ดอนสัก-เกาะพะงัน และอ.เกาะสมุย-เกาะพะงัน เมื่อหลายเดือนก่อน โดยตั๋วโดยสารรายบุคคล ปรับขึ้นจาก 150 บาท เป็น 250 บาท ตั๋วรถบรรทุกจาก 600 บาท ขึ้นเป็น 800 บาท

ซึ่งนายเจริญพร เชื่อว่า การปรับลดราคาโดยสารเรือเฟอร์รี่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวบนเกาะพะงัน ที่ซบเซาจากผลกระทบทางการเมือง และวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯได้ เพราะที่ผ่านมามีเสียงสะท้อนจากนักท่องเที่ยว เรื่องตั๋วโดยสารราคาแพง

. . .


เรือคลองแสนแสบลดค่าโดยสารระยะละ 2 บาท มีผล 20 ต.ค.

นายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าทาง นายชวลิต เมธยะประภาส นายกสมาคมเรือไทย แจ้งว่าจะมีการปรับอัตราค่าโดยสารทางเรือลง เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยจะลดค่าโดยสารทางเรือในคลองแสนแสบลงระยะละ 2 บาท จากที่เก็บตามระยะทางในอัตรา 10 - 20 บาท เหลือ 8 - 18 บาท และเรือข้ามฟากเฉพาะท่าเรือสาทรลดลง 50 สตางค์ จาก 3.50 เหลือ 3.00 บาท มีผลในวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคมนี้ ส่วนเรือประเภทอื่นๆ ทางสมาคมจะมีการเรียกประชุมกันในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการลดราคาค่าโดยสารลงเช่นกัน

นายประสงค์ ตันมณีวัฒนา ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การปรับลดราคาค่าโดยสารทางเรือนั้น ผู้ประกอบการสามารถลดราคาได้เลยโดยไม่ต้องมีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาเรือโดยสาร เนื่องจากมีการตั้งเกณฑ์ราคาน้ำมันกับราคาค่าโดยสารไว้แล้ว ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ทางสมาคมเรือไทยยอมรับ เห็นได้จากทางผู้ประกอบการคลองแสนแสบที่ได้มีการลดราคาค่าโดยสารลงตามกฎเกณฑ์ดังกล่าว

นายปริญญา รักวาทิน อุปนายกสมาคมเรือไทย เปิดเผยว่า แม้ว่าจะมีการประกาศลดราคาค่าโดยสารของเรือด่วนที่วิ่งในคลองแสนแสบ และเรือข้ามฝากสาทร แต่ในส่วนเรือประเภทอื่นนั้น จะต้องมีการหารือกับทางสมาคมเรือไทยก่อน ซึ่งคาดว่าจะสามารถประชุมได้เร็วที่สุด ในวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม เนื่องจากนายกสมาคมติดภารกิจที่ต่างประเทศ รวมทั้งการลดอัตราค่าโดยสารจะต้องมีการคำนวณต้นทุน ซึ่งแต่ละบริษัทมีต้นทุนที่แตกต่างกัน อาทิ เรือที่วิ่งในแม่น้ำเจ้าพระยานั้น หลังจากมีการขึ้นอัตราค่าโดยสารในครั้งที่ผ่านมา ผู้โดยสารลดลงถึง 3,000 คนต่อวัน จากที่มีผู้โดยสารวันละ 35,000 คนต่อวัน เหลือ 32,000 คนต่อวัน และมีค่าแรงที่เพิ่มขึ้นถึง 25% และ ค่าซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้น 25% ซึ่งการประชุมจะต้องพิจารณาประเด็นนี้ด้วย

นายชะลอ คชรัตน์ อธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชนาวี (ขน.) เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม จะมีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาเรือโดยสาร เพื่อพิจารณาปรับลดค่าโดยสารทางเรือ หลังจากที่ราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ตนยังไม่ได้เข้าไปทำงานอย่างเป็นทางการ ยังคงรับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงคมนาคมอยู่ ดังนั้น ทางรัฐมนตรีจึงเป็นผู้ดูแลในเรื่องนี้โดยตรง

. . .


ผู้ประกอบการน้ำมันปาล์มพร้อมลดราคา 1 พ.ย.นี้ - กรมการค้าภายในเผยคุมเข้มลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มจากประเทศเพื่อนบ้าน

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมโรงผลิตน้ำมันปาล์ม บริษัท โอลีน จำกัด จ.สมุทรสาคร ว่า ผู้ประกอบการพร้อมลดราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันปาล์มบรรจุขวด ขนาด 1 ลิตร เหลือลิตรละ 38 บาท ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาราคาน้ำมันพืชมีมติให้ลดราคาลง หลังจากต้นทุนวัตถุดิบปรับลดลง

อย่างไรก็ตาม จากที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนดให้โรงสกัดต้องรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ในราคากิโลกรัมละ 22.50 บาท เพื่อไม่ให้ราคาปาล์มของเกษตรกรตกต่ำเกินไป อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ทางกรมฯ จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบไม่ให้มีการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มจากประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากน้ำมันปาล์มดิบจากมาเลเซีย มีราคาต่ำกว่าไทยลิตรละ 5.50 บาท โดยราคาน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซียอยู่ที่ลิตรละ 17 บาท ราคาในไทยอยู่ที่ 22 -23 บาท หากมีการลักลอบนำเข้าจะส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์มของไทยให้ราคาตกต่ำลง

นอกจากนี้ จะคุมเข้มการเคลื่อนย้ายการครอบครองน้ำมันปาล์ม ผู้ผลิตทุกรายต้องแจ้งสต๊อกทุกเดือน และกรณีการเคลื่อนย้ายน้ำมันปาล์ม หากมีปริมาณ 25 ก.ก.ขึ้นไป ต้องแจ้งกรมการค้าภายใน หากไม่แจ้ง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ หลังราคาน้ำมันปรับลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาสินค้าบางส่วนได้ลดลงแล้ว เช่น ข้าวขาว 5% ต่ำกว่า ก.ก.ละ 20 บาท ราคาเนื้อวัว เนื้อไก่ ลดลงแต่ราคาเนื้อสุกรยังทรงตัว ในขณะที่ราคาน้ำมันถั่วเหลืองยังไม่ปรับลดเช่นกัน

นายสมชัย มยุระสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัทโอลีน จำกัด กล่าวว่า ราคาน้ำมันปาล์มที่ราคาลิตรละ 38 บาท ถือว่าเป็นราคาอยู่ได้ หากผลปาล์มอยู่ในระดับดังกล่าว ก็ถือว่ายุติธรรมต่อทุกฝ่าย โดยในส่วนของเอกชนไม่ต้องเห็นราคาปาล์มผันผวนเกินไป อย่างไรก็ตาม ภาวะการแข่งขันในขณะนี้สูงมาก ทำให้การค้าน้ำมันพืชมีกำไรเหลือน้อย

. . .



คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) จะประชุมสรุปราคารับจำนำข้าววันนี้ (20 ต.ค.) -รมว.พาณิชย์ เสนอปรับลดราคารับจำนำข้าวเหลือตันละ 12,000 บาท

โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูการผลิตปี 2551/2552 ก่อนหน้านี้มีการกำหนดอัตรารับจำนำข้าวเปลือกที่ 14,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกหอมมะลิ 16,000 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกเหนียว 9,000-10,000 บาทต่อตัน
การประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 ต.ค.นี้ จะสรุปโครงการรับจำนำข้าวก่อนนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันที่ 21 ต.ค.นี้ และประกาศรับจำนำข้าวอย่างเป็นทางการต่อไป

นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าหลังจากมีการทบทวน และประเมินสถานการณ์โดยเฉพาะราคาข้าวในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง ประกอบกับการใช้เงินรับจำนำอัตราสูง จึงเห็นว่าราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปี โดยเฉพาะข้าวเปลือกเจ้าจะเหลือ 12,000 บาทต่อตัน, ข้าวเปลือกเหนียว 8,000-9,000 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิอาจจะให้คงราคาเดิม (16,000 บาทต่อตัน)

ส่วนปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกทั้งระบบอาจขยายจาก 8 ล้านตัน เป็น 10 ล้านตันข้าวเปลือก และอาจขยายเวลารับจำนำ จากวันที่ 1 พ.ย. 2551 – 28 ก.พ. 2552 เพิ่มอีก 30 วัน คาดว่าสัปดาห์หน้าจะสามารถประกาศรับจำนำข้าวได้

จากการที่ทางกลุ่มสมาคมส่งเสริมชาวนาไทยนำโดย นายโนรี ศรีสมุทรนาค นายกสมาคมส่งเสริมชาวนาไทยเข้าพบ ตนได้อธิบายถึงสาเหตุการปรับราคารับจำนำข้าวเป็น 12,000 บาทต่อตัน แต่รัฐบาลจะขยายกรอบการรับจำนำ รวมทั้งหากรัฐบาลขายข้าวได้สูงกว่าราคารับจำนำก็จะหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรเพิ่มเติม

นายไชยากล่าวว่า เท่าที่สอบถามเกษตรกรผู้ปลูกข้าวส่วนใหญ่ยอมรับราคา 12,000 บาทได้ เพราะต้นทุนปลูกข้าวอยู่ที่ 7,000 บาท เมื่อหักความชื้นหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ เกษตรกรอาจจะขายข้าวจริง 9,000-10,000 บาท ถือว่าเกษตรกรยังมีกำไร

นายโนรี กล่าวว่าต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ยืนยันอัตรารับจำนำข้าวเปลือกนาปีในอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้ข้าวเปลือกเจ้า 14,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิ 16,000 บาท จึงอยากให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลอัตราการรับจำนำเพราะต้นทุนปลูกข้าวอยู่ที่ตันละกว่า 7,000 บาท หากอัตรารับจำนำต่ำเกษตรกรจะได้รับผลกระทบแน่นอน

. . .


สหกรณ์ชาวสวนยางฯ หยุดกรีดยาง 6 เดือน หวังดึงราคาซึ่งตกต่ำขณะนี้

สหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย มีมติงดกรีดยาง 6 เดือน ลดการผลิตลง 1.4 ล้านตัน หวังดึงราคายางซึ่งตกต่ำอย่างหนักขณะนี้ ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมช่วยประสานสถาบันการเงิน ยืดเวลาการชำระเงินกู้ให้เกษตรกร เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน

สหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย หรือ ชสยท. 675 แห่งทั่วประเทศ ประชุมหามาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ (เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา) โดยมีมติให้หยุดพักการกรีดยางจากนี้ไปเป็นเวลา 6 เดือน ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณผลผลิตที่จะเข้าสู่ตลาดลง 1.4 ล้านตัน พร้อมกับประเมินตัวเลขความต้องการของตลาด เพื่อผลิตยางให้ออกมาในปริมาณที่เหมาะสม

ขณะเดียวกันยังเรียกร้องให้รัฐอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ โดยไม่มีการแทรกแซงราคายาง และหากเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนจากการหยุดกรีดยางพาราให้กู้เงินจากกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางได้รายละ 30,000 บาท ซึ่งข้อเสนอทั้งหมดจะเสนอไปยังรัฐบาล เพื่อดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

นายธีระชัย แสนแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุปัญหาราคายางตกต่ำเป็นผลมาจากปัจจัยหลายด้าน โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจโลก ดังนั้นเกษตรกรจึงไม่ควรเร่งขายยางในช่วงนี้ ขณะที่กระทรวงจะช่วยประสานสถาบันการเงิน ยืดเวลาการใช้เงินกู้คืนของเกษตรกร และผู้ประกอบการยางพาราเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

นายเพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (ชสยท.) ระบุว่าราคายางพาราตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 48 บาท ทำให้ชาวสวนยางกว่า 1 ล้านครอบครัว หรือ 6 ล้านคนเดือดร้อน เพราะชาวสวนต้องแบกภาระต้นทุนเฉลี่ยกิโลกรัมละ 52 บาท การหยุดกรีดยางเพื่อพักหน้ายาง น่าจะส่งผลดีต่อต้นยางพารา และจะทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง เชื่อว่า จะสามารถพยุงราคายางให้สูงขึ้น


ราคาประมูล ณ ตลาดกลางยางพารา อ.หาดใหญ่


วันที่ น้ำยางสด ยางแผ่นดิบ ยางแผ่นรมควัน ชั้น 3
1 ตุลาคม 2551 68.50 78.50 81.12
2 ตุลาคม 2551 69 79.10 81.31
3 ตุลาคม 2551 69 74.50 76.76
6 ตุลาคม 2551 66 72 74.59
7 ตุลาคม 2551 64 70.05 72.69
9 ตุลาคม 2551 59 67 68.59
10 ตุลาคม 2551 59.50 64.09 63.69
13 ตุลาคม 2551 51 54.63 57.11
14 ตุลาคม 2551 46.50 57.85 59.18
15 ตุลาคม 2551 47 51.85 54.81
16 ตุลาคม 2551 42 48.89 51.50
17 ตุลาคม 2551 39 49.09 52
เปรียบเทียบ 17 ต.ค.กับ 1 ต.ค. (ร้อยละ) -43.07 -37.46 -35.90


หน่วย - บาทต่อกิโลกรัม
ที่มา - สำนักตลาดกลางยางพารา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

. . .




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2551
3 comments
Last Update : 19 ตุลาคม 2551 20:21:41 น.
Counter : 714 Pageviews.

 

. . .


ดัชนีหุ้นแกว่งตัวลง…กระทบความมั่งคั่งของนักลงทุน
และการบริโภคภาคเอกชน

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

การเคลื่อนไหวของดัชนี SET ในช่วงสัปดาห์ก่อนได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และปัจจัยการเมืองในประเทศที่กลับมากดดันตลาดอีกครั้ง ทำให้ดัชนีปรับตัวลงมาต่ำกว่าระดับ 500 จุด และทำสถิติต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี ในวันพุธที่ 8 ต.ค. ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในวันพฤหัสบดีที่ 9 ต.ค. จากการที่ธนาคารกลางชั้นนำทั่วโลกดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาดเงิน แต่ก็ไม่สามารถกลับมาปิดเหนือระดับ 500 จุดได้ และเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ต.ค. 2551 ดัชนีร่วงลงร้อยละ 10 ในระหว่างวัน ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) ต้องใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ สั่งพักการซื้อขายหุ้นเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งเมื่อกลับมาซื้อขายใหม่ ดัชนีกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในแดนลบ

ถึงแม้ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ หุ้นทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอบรับที่หลายประเทศร่วมกันออกมาตรการเยียวยาวิกฤตการเงินโลก รวมทั้งหุ้นไทยที่ฟื้นตัวขึ้นในวันจันทร์และอังคารที่ 13 -14 ต.ค. เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นต่างประเทศ และจากการที่รัฐบาลไทยออก 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ 1.2 ล้านล้านบาท เพื่อรับมือวิกฤตการเงินโลก ทำให้นักลงทุนใจชื้นและกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง แต่ความกังวลต่อภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีอยู่ รวมทั้งแรงกดดันจากข่าวการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชากระตุ้นให้มีแรงขายออกมาต่อเนื่อง และฉุดให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงใหม่ในวันพุธที่ 15 ต.ค. และผันผวนลงต่อในวันพฤหัสบดีที่ 16 ต.ค. ทั้งนี้ เมื่อเทียบจากระดับปิด ณ. สิ้นปี 2550 ดัชนีร่วงลงไปแล้วร้อยละ 44.3 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ

ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนทั้งจากประเด็นการเมืองในประเทศ และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกอาจมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับตัวของดัชนีหุ้นในระยะถัดๆ ไป อาจยังคงมีทิศทางที่ไม่ชัดเจน โดยน่าจะยังคงถูกผลักดันจากกระแสข่าวทั้งดีและร้ายในตลาดเงินและตลาดทุนโลก ฐานะของสถาบันการเงิน รวมถึงการรายงานเครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ ในขณะที่การปรับตัวของดัชนีหุ้นในบางช่วงเวลาเพื่อตอบรับกับข่าวดี อาจทำให้นักลงทุนบางส่วนขายหุ้นเพื่อทำกำไร (หรือลดขาดทุน) ซึ่งจะมีผลให้ดัชนีหุ้นกลับมาปรับตัวลงอีกในเวลาต่อมา หรืออาจกล่าวได้ว่าการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นเป็นเพียงการปรับฐานในระยะสั้นๆ เท่านั้น สำหรับการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นอย่างยั่งยืนหรือต่อเนื่องนั้น หากจะเกิดขึ้นคงต้องรอให้นักลงทุนทยอยกลับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์วิกฤตการเงินโลกว่าจะคลี่คลายไปได้เพียงใด แต่ก็คาดว่าอาจจะยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง

ในทิศทางที่สอดคล้องกัน บล.กสิกรไทยได้วิเคราะห์ถึงทิศทางของตลาด และกลยุทธ์การลงทุนโดยแบ่งออกเป็น 4 ช่วงเวลา ดังนี้ ช่วงแรก (ปัจจุบัน) เป็นช่วงที่เกิดวิกฤตสภาพคล่อง และคาดว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจะทำได้จำกัด เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้นแนะนำให้ขายเมื่อหุ้นปรับขึ้น ช่วงที่สอง (เดือนพ.ย.-ธ.ค.) อยู่ในช่วงที่ต้องแก้ปัญหาวิกฤตการเงิน เนื่องจากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และทั่วโลกจะออกมาแย่มาก ซึ่งจะทำให้หุ้นปรับลดลง ช่วงนี้แนะนำให้ Technical trading ซึ่งอาจจะเห็นจุดต่ำสุดใหม่ในช่วงนี้ ต่อมาในช่วงที่สาม (ปลายไตรมาส 4/2551-ไตรมาส 1/2552) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ตลาดหุ้นจะเริ่มปรับฐาน เนื่องจากได้ปรับลดไปมากแล้ว ดังนั้น แนะนำให้สะสมหุ้น และช่วงที่สี่ (ครึ่งหลังปี 2552) เป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติหรือใกล้เคียง ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้ไกล แนะนะให้ซื้อ

ทั้งนี้ ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นไทยที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และดัชนียังมีความเสี่ยงของการแกว่งตัวในขาลง ในระยะสั้นนี้กลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ความแตกต่างของกลยุทธ์การลงทุนอาจจะขึ้นอยู่กับประเภทของนักลงทุน กรอบระยะเวลาการลงทุนสภาพคล่อง ตลอดจนความสามารถในการรับความเสี่ยงเป็นสำคัญด้วย

 นักลงทุนที่ซื้อขายเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น (traders) การเลือกจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมถือเป็นหัวใจสำคัญของนักลงทุนกลุ่มนี้ เพราะหากตัดสินใจเข้าลงทุนผิดจังหวะ ก็อาจจำเป็นต้องรับความเสี่ยงที่จะมีโอกาสขาดทุน หรืออาจต้องทยอยลดพอร์ตการลงทุนเพื่อตัดขาดทุนลงบางส่วนโดยหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เมื่อเล็งเห็นถึงจังหวะหรือโอกาสการลงทุนที่ดีขึ้นแล้วจึงค่อยกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง ซึ่งพฤติกรรมการลงทุนเช่นนี้ ย่อมมีผลต่อมูลค่าการซื้อขายในตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 นักลงทุนระยะยาว (Value investors) การเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หรือให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผล เป็นพฤติกรรมของนักลงทุนกลุ่มนี้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีสภาพคล่องในการเข้ามาลงทุนดีพอสมควร เนื่องจากอาจจะต้องอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าจึงจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจ



ดังนั้น ในช่วงที่ตลาดยังแกว่งตัว นักลงทุนยังคงต้องติดตามกระแสข่าวตลาดเงินตลาดทุน สถาบันการเงิน และตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศหลัก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนว่าในภาวะที่ดัชนีหุ้นแกว่งตัวในช่วงขาลงเช่นนี้ ย่อมมีผลต่อความมั่งคั่ง (Wealth) ของผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยมูลค่าหุ้นในตลาด (Market Capitalization) ที่ลดลงมาแล้วกว่าร้อยละ 41 ก็สะท้อนภาพกว้างของความมั่งคั่งของนักลงทุนที่หดหายไป อย่างไรก็ตาม จากข้อจำกัดของข้อมูลทำให้เราไม่อาจทราบว่าผู้บริโภคแต่ละรายมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ซึ่งขึ้นกับพอร์ตการลงทุน และจังหวะเวลาในการลงทุนของแต่ละคนที่แตกต่างกัน

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองต่อประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการร่วงลงของดัชนีหุ้นไทยที่กระทบต่อความมั่งคั่งของนักลงทุน ตลอดจนความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องมายังการบริโภคของภาคเอกชน ดังนี้ :-


 การร่วงลงของดัชนีหุ้นส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่ง (Wealth) ของนักลงทุน เนื่องจากการที่ดัชนีหุ้นตก หมายถึงการสูญหายไปของมูลค่าหุ้นในตลาด (Market Capitalization) ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 16 ต.ค. 2551 มูลค่าหุ้นในตลาดลดลงแล้วถึงร้อยละ 41.27 อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความมั่งคั่งของนักลงทุนเหล่านั้นลดลงไปตามการร่วงลงของราคาหุ้น เนื่องจากการลงทุนในหุ้นถือเป็นการสะสมหรือเพิ่มพูนความมั่งคั่งรูปแบบหนึ่งจากหลายๆ รูปแบบ ได้แก่ เงินฝาก อสังหาริมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ กองทุนรวม การลงทุนในต่างประเทศ หุ้นกู้ ประกัน ตั๋วแลกเงิน (B/E) กองทุนส่วนบุคคล และอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเมื่อหุ้นตกย่อมกระทบกับระดับความมั่งคั่งของนักลงทุนในตลาดหุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 อย่างไรก็ตาม แม้โดยทั่วไปนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันจะมีความสำคัญในการนำตลาดมากกว่านักลงทุนรายย่อย แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า นักลงทุนรายย่อย (Retail investors) น่าจะได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของดัชนี SET โดยเฉพาะในรอบนี้มากกว่านักลงทุนประเภทอื่น เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ซื้อสุทธิมาโดยตลอดนับตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2551 รวมแล้วประมาณ 106.70 พันล้านบาท (ยกเว้นเพียงเดือนกุมภาพันธ์ที่ขายสุทธิ) ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบันต่างเทขายอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการร่วงลงของดัชนีหุ้น ทำให้สัดส่วนต่อการซื้อขายทั้งหมดของนักลงทุนรายย่อยสูงถึงร้อยละ 53.5 ขณะที่นักลงทุนต่างชาติและสถาบันมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 29.3 และ 17.2 ตามลำดับ ดังนั้น คงต้องยอมรับว่านักลงทุนรายย่อยมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากกว่า และมีนัยในเชิงลบต่อความมั่งคั่งอันเกิดจากหุ้นที่ถือไว้มีมูลค่าลดลง ย่อมนำไปสู่การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคน้อยลง เนื่องจากอำนาจซื้อสูญหายไปส่วนหนึ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเงินที่นำมาลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเงินที่กู้ยืมมาย่อมจะมีผลกระทบต่อการบริโภคได้เร็ว อย่างไรก็ตาม หากเงินที่นำมาลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเงินออมอาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าที่การบริโภคจะได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มคนรวย แต่ได้ขยายวงกว้างออกไปยังกลุ่มรายได้อื่นๆ ที่มีความสนใจและต้องการเข้ามาลงทุนก็สามารถกระทำได้โดยง่าย เพียงสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ และมีวงเงินขั้นต่ำเพียง 50,000 บาทก็สามารถเปิดพอร์ต เพื่อเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้แล้ว

 การบริโภคภาคเอกชนมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ค่อนข้างมาก ดังจะเห็นได้จากค่าความสัมพันธ์ทางสถิติ (Correlation) ของการเคลื่อนไหวของดัชนี SET กับดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2543 จนถึงเดือนสิงหาคม 2551 มีเครื่องหมายเป็นบวกและอยู่ในระดับสูง ซึ่งหมายถึง การเคลื่อนไหวระหว่างดัชนี SET กับดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเป็นไปในทิศทางเดียวกันค่อนข้างมาก โดยมีความสัมพันธ์กันสูงถึงร้อยละ 92 อีกนัยหนึ่งก็คือ การที่ดัชนีหุ้นร่วงแสดงว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ลดลง ทำให้มูลค่าหุ้น (ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง) ที่ประชาชนถืออยู่ลดลง การบริโภคภาคเอกชนก็น้อยลงตามไปด้วย แม้การบริโภคจะขึ้นกับรายได้เป็นปัจจัยพื้นฐาน แต่ก็ขึ้นกับความมั่งคั่งด้วย นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาความสามารถในการคาดการณ์การบริโภคภาคเอกชนของดัชนี SET ตามวิธีทางเศรษฐมิติ (Granger Causality Test) พบว่า ดัชนี SET มีอิทธิพลต่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในระยะ 9 เดือนข้างหน้าที่ระดับความเชื่อมั่นประมาณร้อยละ 95 ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นย่อมมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงการบริโภคของภาคเอกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยสรุปแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในภาวะที่หุ้นอยู่ในช่วงขาลงเช่นนี้ กลยุทธ์การลงทุนมีความสำคัญมาก โดยหากต้องการลงทุนในระยะสั้นเพื่อหวังกำไร จังหวะการลงทุนที่เหมาะสมถือเป็นหัวใจสำคัญ เนื่องจากถ้ากะจังหวะผิดก็จะต้องรับความเสี่ยงที่จะมีโอกาสขาดทุน และต้องขายตัดขาดทุน (cut loss) บางส่วน หรือลดพอร์ตการลงทุนไปถือสินทรัพย์อื่นที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า แต่หากต้องการซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีและถือในระยะยาว เพื่อรอเงินปันผล ก็ต้องเป็นนักลงทุนที่มีสภาพคล่องดีพอสมควร เนื่องจากโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดียังมี แต่อาจต้องอยู่ในตลาดนาน ดังนั้น ในช่วงที่ตลาดยังมีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวน นักลงทุนยังคงต้องติดตามกระแสข่าวตลาดเงินตลาดทุน สถาบันการเงิน และตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศหลัก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ บล. กสิกรไทย คาดว่าจังหวะที่นักลงทุนน่าจะกลับมาซื้อสะสมหุ้นได้อีก คือ ช่วงปลายไตรมาส 4/2551 ถึงไตรมาส 1/2552 และในช่วงครึ่งหลังปี 2552

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมองว่าการร่วงลงของดัชนีหุ้น ย่อมมีผลต่อความมั่งคั่ง (Wealth) ซึ่งมูลค่าหุ้นในตลาด (Market Capitalization) ที่ลดลงมาแล้วกว่าร้อยละ 41 ก็สะท้อนภาพกว้างของความมั่งคั่งที่หดหายไป และอาจนำไปสู่การบริโภคของภาคเอกชนที่ลดลงได้ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยซึ่งเป็นผู้ซื้อสุทธิมาโดยตลอดนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 16 ต.ค. 2551 (ยกเว้นเพียงเดือนก.พ. ที่ขายสุทธิ) อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวลงของการบริโภคยังขึ้นกับแหล่งที่มาของเงินที่นำมาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยซึ่งหากเป็นเงินที่กู้ยืมมาย่อมจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคได้เร็ว ในขณะที่หากเป็นเงินออมก็อาจจะมีผลต่อการบริโภคช้ากว่า นอกจากนี้ การบริโภคก็ยังขึ้นกับรายได้เป็นปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งขึ้นกับการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตในทางบวก ย่อมจะส่งผลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีความโน้มเอียงที่จะใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ เมื่อทำการศึกษาข้อมูลในช่วงที่ผ่านมา ยังพบว่าการเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET และการบริโภคภาคเอกชนมีความสัมพันธ์กันสูงถึงร้อยละ 92 และดัชนี SET ยังมีอิทธิพลต่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในระยะ 9 เดือนข้างหน้าที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95

อย่างไรก็ตาม ประเด็นการตกต่ำของตลาดหุ้นที่อาจนำมาสู่การชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชนนี้ ทางการได้ตระหนักและมีการวางแผน / เตรียมการรับมือไว้บ้างแล้ว ดังจะเห็นได้จากมาตรการด้านตลาดทุนซึ่งเป็นหนึ่งในหกมาตรการที่ออกโดยภาครัฐ เพื่อรับมือกับวิกฤตการเงินโลกในรอบนี้ ได้แก่ การจัดตั้งกองทุน Matching Fund ของตลท. กับสถาบันการเงินมูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท การจัดตั้งกองทุนโดยความร่วมมือของเอกชนกับตลท. รวม 2,000 ล้านบาท การดึงกองทุน Matching Fund กองทุนภาคเอกชน และกองทุนต่างๆ เพื่อรับมือกับการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในไทย 110,000 ล้านบาท และการอนุมัติขยายวงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จากเดิมไม่เกิน 500,000 บาท เป็นไม่เกิน 700,000 บาท เพื่อกระตุ้นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ซื้อหุ้นคืน 30,000 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าประสิทธิผลของมาตรการต่างๆ เหล่านี้ อาจยังต้องรอเวลาสำหรับการพิสูจน์ แต่การดำเนินการของทางการเพื่อรับมือกับภาวะความผันผวนของตลาดก็น่าที่จะเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นไทยบ้างไม่มากก็น้อย 
---------------------------------------

. . .

อัตราและเปลี่ยนและตลาดหุ้น (20-24 ต.ค.)


เงินบาทขยับแข็งค่าเล็กน้อยจากปลายสัปดาห์ก่อนหน้า

เงินบาทในประเทศ (Onshore) ขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ หลังจากมาตรการกอบกู้ภาคการเงินของทางการทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรป และสหรัฐฯ ช่วยบรรเทาภาวะการขาดแคลนเงินดอลลาร์ฯ ลง อย่างไรก็ตาม เงินบาทต้องลดช่วงบวกลงในช่วงต่อมาเช่นเดียวกับทิศทางการอ่อนค่าลงของสกุลเงินภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากตลาดยังคงไม่มั่นใจเต็มที่ต่อประสิทธิผลของมาตรการกู้วิกฤตสถาบันการเงินทั่วโลก ซึ่งสะท้อนได้จากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ และตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบจากความกังวลต่อเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาตามแนวชายแดนอีกด้วย สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.22 (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 34.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (10 ตุลาคม)

ในสัปดาห์นี้ (20-24 ตุลาคม 2551) จะมีการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ของธนาคารพาณิชย์ในวันอังคารและเข้าสู่ปักษ์ใหม่ในวันพุธ ขณะที่คงจะยังไม่มีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อสภาพคล่องในตลาดเงินอย่างมีนัยสำคัญ แต่คาดว่าตลาดคงจะจับตาดูการใช้มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการเงินของทางการประเทศต่างๆ รวมถึงธนาคารกลางชั้นนำของโลกว่าจะมีประสิทธิภาพเพียงใด ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นน่าจะยังทรงตัวใกล้เคียงระดับ 3.75%

ส่วนเงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 34.20-34.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ควรจับตา ประกอบด้วย สัญญาณการเข้าดูแลเสถียรภาพตลาดของธปท. การปรับตัวของตลาดอินเตอร์แบงก์ต่างประเทศ การประชุมของทางการประเทศในแถบอาเซียนเพื่อรับมือกับวิกฤตการเงินโลก ทิศทางของเงินดอลลาร์ฯ รวมไปถึงการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เดือนกันยายนที่สำคัญ ประกอบด้วย ยอดขายบ้านมือสอง และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของ Conference Board

 “ดัชนี SET ปรับตัวผัวผวนตามตลาดหุ้นต่างประเทศ”

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 471.31 จุด ปรับตัวขึ้น 4.28% จาก 451.96 จุด ในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลง 45.08% จากสิ้นปี 2550 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้น 6.14% จาก 84,503.42 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 89,692.82 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้นจาก 16,900.68 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 17,938.56 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 957.20 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 731.59 ล้านบาท และ 225.62 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 171.67 จุด ปรับตัวขึ้น 3.69% จาก 165.56 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลง 36.97% จากสิ้นปีก่อน

สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (20-24 ตุลาคม 2551) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนียังมีความเสี่ยงที่จะแกว่งตัวลงได้อีก เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาในตลาด โดยปัจจัยที่ต้องจับตา ยังคงได้แก่ ความคืบหน้าของสถานการณ์การเมืองในประเทศ ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญได้แก่ การประชุมกลุ่มโอเปกในวันที่ 24 ต.ค. และการปรับตัวของตลาดหุ้นในภูมิภาค ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ผลประกอบการไตรมาส 3/2551 ของสถาบันการเงินและบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 460 และ 420 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 482 และ 508 จุด ตามลำดับ

. . .

 

โดย: news IP: 58.137.155.65 19 ตุลาคม 2551 20:29:49 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่นิ้งค์ ไปทอดกฐินมาค่ะ แวะมาบุญมาฝากกันนะคะ มารับไปเลยค่ะ ^_^ งิงิ

ว๊าวว ดีใจจังกลับมาเจอข่าวดี น้ำมันลด แล้วค่ารถก้อจะลดด้วย รถเมล์ลดด้วยป่าวคะ ทุกวันนี้ขึ้นรถเมล์เที่ยวนึง รถธรรมดาก็สิบบาทแว๊วอ่ะ รถแอร์ก็ 20 บาทขึ้น ถ้านั่งไกล โหดมั่ก ๆ ค่ารถตกวันนึงทะลุร้อยแล้ว *-*

คิดถึงเสมอนะคะ จุ๊บ ๆ

 

โดย: นู๋ Beee เองค่ะ (Beee_bu ) 20 ตุลาคม 2551 12:07:21 น.  

 



หวัดดีจ้านู๋ Beee

 

โดย: loykratong 20 ตุลาคม 2551 20:49:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.