The Good Shepherd , 11:14 , หอแต๋วแตก , Cellular .... หนังกลุ่มนี้ดีเกินคาดทุกเรื่องเลย
..................................เมื่อวานวันหยุดครับ ออกไปคืนหนังเก่าแล้วก็เช่าหนังใหม่มาซะ 5 เรื่อง ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อเมื่อวานนั่งดูรวดเดียว 3 เรื่องติดกันครับ ถ้านับรวมกับหนังที่ดูคืนเมื่อวานซืนอีกเรื่อง ก็สรุปว่า 2 วันที่ผ่านมา ดูหนังไปทั้งหมด 4 เรื่องครับ ที่น่าดีใจและน่าประหลาดใจที่สุดก็คือหนังในกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่เป็นหนังที่ดีเกินคาดทั้งนั้น น่าแปลกใจที่ผมมองข้ามเมื่อตอนครั้งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ... มาว่ากันไปทีละเรื่องเลยนะครับตั้งแต่เรื่องแรก The Good Shepherd ( สามดาว ) หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เรียกร้องความสนใจจากคนดูค่อนข้างสูง คือต้องตั้งใจดูพอสมควรนะครับไม่งั้นจะดูไม่รู้เรื่อง แต่แทนที่ผมจะเลือกดูตอนกลางวันแต่ผมดันกลับไปดูตอนก่อนนอน เรื่องของเรื่องคือผมนอนไม่หลับครับ คืนวันก่อนวันหยุดเวลาก็ปาเข้าไปตีหนึ่งครึ่งแล้ว เอ จะเล่นเน็ทก็เบื่อว่าแล้วก็เลยเปิดหนังดูซะเลยดีกว่า กะว่าถ้าง่วงก็คงนอน

..................................The Good Shepeherd นั้นเป็นหนังเกี่ยวกับซีไอเอเรื่องแรกที่ทำออกมาได้ค่อนข้างตรงใจผมมากที่สุด แมทท์ เดม่อนนั้นเคยเล่นเป็นซีไอเอไฮเทคอย่าง เจสัน บอร์น มาแล้ว แต่พอพลิกบทบาทมาเล่นเป็นซีไอเอแบบมนุษย์จริงๆเขาก็ทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ หนังค่อนข้างยาวครับร่วมๆ3ชั่วโมงแต่ไม่น่าเบื่อเลย ยิ่งดูยิ่งจมลึกไปกับตัวละคร ปกติถ้าเป็นหนังสมัยใหม่เขามักจะมีฉากตัดสลับแฝงปมของหนังเอาไว้แบบรวบรัดให้คนดูตามไม่ค่อยทันแต่หนังเรื่องนี้เปล่าครับ เขากล้าเล่าแบบช้ามากๆเนิบมากๆแต่บางฉากนี่ผมต้องกด pause แล้วย้อนฟังตัวละครพูดกันหรือทำบางอย่างอีกรอบอย่างตั้งใจเพราะผมเข้าใจเหตุการณ์ไม่เคลียร์ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าหนังเรื่องนี้ทำให้ผมต้องพยายามแปลไทยให้เป็นไทย คือปมบางอย่างมันอยู่ในบทสนทนาหรือเหตุการณ์บางช่วงที่ต้องตั้งใจดูจริงๆไม่งั้นจะพลาดส่วนสำคัญไป
..................................ปกติถ้าเราดูหนังเรื่องอื่นมักจะเชิดชูยกย่องพวกซีไอเอ หรือไม่ก็กัดพวกซีไอเออยู่บ้าง แต่หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นด้านมืดของซีไอเอแบบเต็มๆ เขาบอกกระทั่งว่าพวกนี้จริงๆแล้วไม่ได้ทำเพื่อชาติหรอก แต่เอาคำว่า " รักชาติ " มาอ้างแต่สุดท้ายแล้วจุดมุ่งหมายกลับเป็นอะไรที่เลื่อนลอยและไร้ค่าโดยสิ้นเชิง ยิ่งจมลึกลงไปก็คล้ายๆกับว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ถอนตัวก็ไม่ได้ บทสรุปของหนังเรื่องนี้สะท้อนความจริงของแวดวงสายลับได้อย่างดีเลยล่ะครับ ... ไม่มีคนจริงใจ ไม่มีความไว้ใจในแวดวงนี้ ทุกคนพร้อมจะหักหลังกันได้ตลอด คนที่เจ๋งที่สุดก็จะขึ้นถึงจุดสุดยอดได้แต่เขาก็จะไม่เหลือใครเลยจริงๆในวาระสุดท้าย ( ยังกะ The Godfather2 เลยแฮะ ) แต่หนังก็ไม่ได้นำเสนอให้คนดูเกิดความสงสารในชะตากรรมของตัวละครนะครับ เพราะหนังมันก็บอกให้เห็นอยู่แล้วว่าเขามีทางเลือกแต่เขาเลือกที่จะทำแบบนั้นเอง ผลก็คงต้องรับกันไป เห็นหนังมาเงียบๆฟอร์มไม่เปรี้ยงปร้างอย่างนี้ แต่บารมีของ โรเบิร์ต เดอนีโร นักแสดงจอมเก๋าที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับนั้นไม่ธรรมดาครับ นอกจากพี่แกจะรับเชิญมาในบทสมทบแล้ว ดาราที่เล่นเรื่องนี้ล้วนแล้วแต่เขี้ยวลากดินกันถ้วนหน้า ไล่ชื่อก็คงไม่หมด ขนาด โจ เปสซี่ หรือ อเล็ก บาลวิน และวิลเลียม เฮิร์ท ยังมีบทแค่จึ๋งเดียวเอง

..................................11:14 ( สามดาว ) หนังเรื่องนี้เคยมาฉายที่ House แบบเงียบๆ เห็นว่ามีฮิลลารี่ สแวงค์ รับบทด้วย แต่จริงๆไม่ใช่บทนำเป็นคล้ายบทสมทบซะมากกว่า หนังอินดี้ฉลาดๆแบบหนังเรื่องนี้หายากครับและก็ไม่ใช่หนังที่คนส่วนใหญ่เขาจะชอบเท่าไหร่ มิน่าหนังมันเลยเงียบไปหน่อย หนังเจ๋งมากตรงที่หนังซอยเหตุการณ์สั้นๆหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาห้าทุ่ม14นาทีออกมาได้อย่างลงตัวจนเราคิดไม่ถึง ลองคิดดูสิว่าเวลาห้าทุ่มเศษๆเวลาที่หลายคนควรจะนอน แต่คนบางกลุ่มเวลาแค่ไม่กี่นาทีนี่เป็นนาทีเป็นนาทีตายเลยทีเดียวนะ เหตุการณ์ในหนังกินเวลาแค่ราวๆ 20นาทีเท่านั้นแหละครับ แต่เค้าโฟกัสตัวละครไปทีละชุดๆ เหตุการณ์เกิดขึ้นทับซ้อนกันในช่วงเวลาเดียวกัน คือประมาณ 22.55 - 23.14 น. โดยเริ่มเล่าจากกลุ่มตัวละครแรกเกิดเหตุการณ์อะไรบ้างจนจบที่เวลา 23.14น. จากนั้นก็ไปเล่าที่กลุ่มตัวละครที่สอง ที่สาม และที่4 ซึ่งทีแรกเหมือนว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเต็มไปด้วยข้อสงสัย แต่พอเราดูจนครบทั้งหมดเราก็จะมาปะติดปะต่อเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหมดได้และแน่นอนว่าสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ !! บทหนังเจ๋งมากครับ ลงตัวอย่างไม่มีที่ติรวมถึงงานกำกับของผู้กำกับคนนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้เยี่ยมยอด น่าชื่นชมสแวงค์มากๆที่เล่นหนังจนดังแล้วแต่ก็ยังไม่ทอดทิ้งแวดวงหนังอินดี้
..................................อุ้ย เม้าท์ยาวแล้ว ที่เหลืออีกสองเรื่องเขียนสั้นหน่อยละกัน หอแต๋วแตก ( สองดาวครึ่ง ) หนังที่ใครต่อใครหลายคนพากันด่าแต่แปลกที่ผมกลับดูหนังเรื่องนี้อย่างสนุกสนานครับ ครึ่งแรกของหนังสนุกมาก มุขฮาๆขี้แตกขี้แตนเยอะเลยแต่ครึ่งหลังค่อนข้างแป๊กไปหน่อย เหตุผลของหนังไม่ค่อยมีครับ อาศัยยิงมุขต่อมุข ฮาบ้างฝืดบ้าง ดาราเล่นกันได้บ้าๆดีครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโก๊ะตี๋ อ้อ เด็กๆเจ๊พจน์มากันเพียบ ได้เห็นทั้งพี่เมฆ น้องหมอก และคุณอิฐ แต่รู้สึกในหอแต๋วแตกนี่น้องหมอกจะเด่นสุดแฮะ ส่วน Cellular ( สามดาว ) เรื่องสุดท้ายเป็นหนังแอคชั่นครับ หนังผูกเรื่องได้ฉลาดมากๆแล้วผู้กำกับก็เล่าเรื่องได้มันส์สุดๆไม่ปล่อยให้คนดูพักหายใจหายคอจริงๆ ดูจบถึงกะต้องมองหาว่าใครกำกับ ปรากฏว่าเป็น เดวิด อาร์ เอลลิส ( จาก snake on a plane ) หมอนี่ไม่ใช่ฟลุ๊คแล้ว เป็นมือฉมังของแท้เลยแหละ หนังเรื่องนี้คือตัวอย่างของหนังสูตรสำเร็จที่ถ้าคนทำหนังเจ๋งพอและสามารถผูกเรื่องราวให้คนดูรู้สึกว่าแปลกใหม่ได้มันก็มีสิทธิจะเป็นหนังชั้นยอดได้ อ่านเบื้องหลังแล้วเห็นเขาว่าคนเขียนบทตั้งใจจะฉีกเรื่องราวออกจากหนัง Phone Booth ( ซึ่งเป็นหนังทริลเล่อร์ที่ทำได้ดีเช่นกัน ) โดยแทนที่ตัวละครจะต้องจมปุ๊กอยู่ในสถานที่ๆเดียวแต่ Cellular ฉลาดกว่าที่เล่นเรื่องคลื่นสัญญาณมือถือทำให้ตัวละครสามารถออกไปไล่ล่ากันข้างนอกได้ แถมยังมีโอกาสยิงมุขขำๆอีกมากมาย พระเอกใหม่เล่นได้ดีครับ รู้สึกว่าดีจนรุ่งเลยทีเดียว ภายหลังได้มาเล่นเป็นตัวเอกใน Fantastic4ด้วย ส่วนนางเอก คิม บาซิงเจอร์ ต้องบอกว่าเป็นบทที่ดีที่สุดบทหนึ่งเลยทีเดียว น่าจะดีที่สุดนับแต่ LA Confidential และ เจสัน สตาแธม ก็เล่นได้เหี้ยมดีจริงๆเด๋วนี้ขึ้นชั้นมาเป็นพระเอกจอมห้าวไปเรียบร้อยแล้ว

Create Date : 23 ตุลาคม 2550 |
|
22 comments |
Last Update : 23 ตุลาคม 2550 22:45:28 น. |
Counter : 2484 Pageviews. |
|
 |
|
ยกเว้นหอแต๋วแตก ซึ่งผมไม่คิดเหมือนคุณแฮะ
แต่ไม่เป็นไรครับ ความพอใจ เป็นสิทธิส่วนบุคคล
แวะมาเยี่ยมครับ