บันทึกชีวิตหนอน (ตะพาบๆ กม.ที่ 257 "กรรมสะท้อน ย้อนยอกชีวิต")

โจทย์ตะพาบๆ  หลักกิโลเมตรที่ 257
"กรรมสะท้อน ย้อนยอกชีวิต" โจทย์โดยคุณ กะว่าก๋า

คำอธิบายโจทย์
เขียนเล่าถึงกรรมที่เคยทำ และส่งผลกับตัวเอง
คุณเชื่อเรื่องกรรมหรือไม่ อย่างไร






สวัสดี. . วันนี้ เค้าให้เรามาเม้ากรรมกันใช่ไหมคะ
เหอะๆ . . จริงๆ แล้วอยากบอกว่า ตอนแรกที่เจอโจทย์นี้ 
หนอนนี่มีอึ้งไปนิดหนึ่ง คือ คิดไม่ออกเล้ยว่าจะเม้าไปในทางไหนดี 55+
แต่นะ.. คิดไปคิดมา  ก็ว่า. . ตูจะไปคิดให้มันมากทำไมวะ..
อยากเม้าไรก็เม้าเหอะ..  นั่นล่ะ.. หลังจากคิด(ไม่มาก) มาหลายวัน
มันก็เลยงอกมาเป็นเรื่องนี้ นี่แหละ..

อันที่จริงแล้ว.. เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่เคยเล่าให้ฟังว่า
ตั้งใจเขียนไว้ตั้งแต่ตะพาบครั้งก่อนโน้นนนนน  อะนะ...
และเหมือนมัน มันจะอินในการรำลึกความหลังมากเกินไป..
ไปๆ มาๆ ก็เลยเขียนไม่จบไง 55+ แต่นะ ถ้าพูดถึงเรื่อง... กรรม 




กรรม  ที่หมายถึการกระทำ

โดยเจตนาของตัวเราเองในอดีต และส่งผลมาถึงชีวิต
ของเราในปัจจุบัน แล้วล่ะก็. .  ต้องเป็นเรื่องนี้แหละ  
ต้องเป็นเรื่องนี้จริงๆ เหมาะเหม็ง. . ยกให้เป็นเรื่องที่ควรค่า
แก่การบันทึกเก็บเอาไว้อ่านตอนแก่ๆ ได้จริงๆ บอกเลย เหอๆ . .
เพราะงั้น ถ้ามันจะอินโทรยาวมาถึงขนาดนี้แล้ว. . เมริง นังหนอน
ก็ควรต้องมาเขียนต่อ. . ให้มันจบล่ะนะ. . 55+




***คำเตือน ก็น่าจะยาวนะ เพราะกะว่าจะเหลาไปเรื่อยๆ
แบบนึกไรออกก็เขียน นึกไรออกก็เขียน ไรแบบนั้นอะนะ  121 





 เรื่องที่ว่านี้เป็น.. เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตสมัยที่เป็นนักเรียนของหนอน
เอิ่มมมมม...  เริ่มจากตอนไหนดี... เอาเป็นว่า  ขอย้อนไปตั้งแต่
สมัยละอ่อนเลยก็แล้วกันนะ 55+ ที่บ้านหนอนแม่จะเลี้ยงลูกแบบ
สอนไปด่าไปและให้คิดเองไปด้วย.. คงเป็นเพราะนางมีอาชีพเป็นครูนั่นแหละ..
มีแม่เป็นครูก็จะหลอนๆ หน่อย ตั้งแต่เล็กมาเราไม่เคยโดนไม้เรียวเลยนะ..
ส่วนใหญ่นางจะใช้ สงครามจิตวิทยาแทน 555+  ทะเลาะกันทีก็เหมือนบ้าน
เกิดสงครามเย็น  บรรยากาศแม่มโคตรมาคุ แม่ลูกอยู่กันคนละมุมบ้าน


นางเป็นครู แต่ไม่เคยสอนการบ้านลูกเลยขร่ะ..
โทษนางไม่ได้... เพราะนางดุมาก โดยเฉพาะกับลูก
แล้วเราเป็นพวกแบบ  เวลาเจอครูดุๆ เนี่ยะ  เราจะสมองปิดสุดๆ
คิดอะไรไม่ออกเลย  จากที่โง่ไม่มากก็จะกลายเป็นโง่มากทันที
หลังจากที่นางลองสอนครั้งแรกตอนเริ่มเข้า ป.1 แล้วเจอลูกโง่มาก
บอกอะไรก็ไม่เข้าใจ นางตีขาเลยจร้าาา ... ตีขาเราจนเป็นรอยมือ
มองเห็นเป็น 5 นิ้ว  อยู่บนน่อง...  ฟ้องสิคะ โดนขนาดเน้... 
วิ่งร้องไห้ไปฟ้องยาย ยายก็เลย... ด่านาง อย่างสะใจ
แล้วบอกต่อไปห้ามสอนหนังสือหลานเค้า..  เย้.. ดีใจทำไม..
คิดว่านางจะเชื่อฟังยายรึ.. ไม่จ้า นางไม่ฟัง เราเลยต้องใช้แผนสอง



นั่นก็คือ.. พอเลิกเรียนปั๊บ เราต้องรอนางที่โรงเรียนใช่ปะ..
พวกครูเค้าจะมีเวร ส่งเด็กหน้าประตูโรงเรียนบ้าง ประชุมครูบ้าง บลาๆๆๆ ..
ตอนนั้นแหละ.. เราต้องรีบทำการบ้านเฮ้ยย ทำทุกอย่างให้เสร็จหมด..
พอกลับไปบ้าน  นางถามว่าการบ้านเสร็จยัง เราตอบทันทีว่า
เสร็จหมดร๊าวววว  จบค่ะ.. ไม่จำเป็นต้องสอนกัน.. หมดเทอมที
นางก็จะไปถามครูประจำชั้นที..
"น้องหนึ่งมีปัญหาอะไรไหมคะ"
ครูก็จะตอบว่า.. "ไม่มีค้า น้องหนึ่งเข้ากับเพื่อนได้ดี  มีความเป็นผู้นำ"
555+  เห็นปะ.. เราโคตรจะเป็นเด็กดี บอกเลย..




อ่อ ลืมบอกว่าแม่ลูกอยู่โรงเรียนเดียวกันนะคะ  แต่ไม่เคยเจอกันหรอกนะ
ตอนเรียนอนุบาล แม่สอนภาษาไทย ป.5-6 พอเราขึ้นประถมต้น
แม่ย้ายไปสอนอนุบาล.. นางคงจะหนีเรา.. นี่แหละ   55+
ด้วยที่นางเป็นคนไม่บังคับกะเกณฑ์อะไรเรา.. การเรียนเราเลยเป็นอะไรที่
ตามใจตัวเองสุดๆ ชั้นปีไหน  เจอคุณครูดี เราจะตั้งใจเรียนมาก เกรดงี้ ดี.. สุดๆ
ชั้นปีไหนเจอครูไม่ดี ก็จะเรียนไปแกนๆ..คือ สมองเราไม่ได้ดีมาก 
แต่ถ้าเราขยันขึ้นมา.. เราก็จะขยันสุดๆ จริงๆ  ไม่เคยมีตรงกลาง  
เพราะงั้น.. อันดับการสอบของเรา แต่ละปีจะเป็นอะไรที่ขึ้นๆ ลงๆ
จากเคยได้ที่สอง บางทีก็โผล่ไปที่ 18 ขึ้นมาที่ 5  ลงไปที่สิบ... บ้าๆ บอๆ..




ตอนเรียนอยู่ชั้น ป.6 เราไปปลื้มอาจารย์ท่านนึง
คือ ครูคนนี้เค้าเป็นสามีของครูประจำชั้นเรา มีวันนึงครูเราติดธุระ
เค้าเลยให้สามีเค้ามาสอนแทน เราชอบจร้าาา นางสอนสนุกสุดๆ
สอนดีมาก มีเทคนิค มีเกม มีมุขขำๆ แถมสอนเข้าใจง่าย
เราติดใจเลยขอแม่ไปเรียนพิเศษที่บ้านกับครูคนนี้ ทั้งๆ ที่ตั้งแต่
เรียนมาเราไม่เคยไปเรียนที่ไหนเลย.. เป็นการเรียนติวเพื่อ
สอบเข้ามัธยมต้น. เราก็เรียนอยากสนุกสนานจนจบคอร์ส
พอผลการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมออกมาว่า เราสอบได้ที่สอง
ของโรงเรียนหญิงประจำจังหวัด แม่ งง มากเว่ยยยย..
ในใจนางคือ คิดอย่างเดียวว่าดวงแน่ๆ... เฮ๊ยยย 
ลูกฉลาด(ขึ้น) ก็อย่าหาเหตุผลอะไรมากได้ปะ.. 55+




ชีวิตในโรงเรียนมัธยมของเรา  ก็เป็นไปแบบเรียบๆ เรื่อยๆ 
ตามประสาเด็กต่างจังหวัดบ้านๆ คนหนึ่ง  และด้วยการแนะแนวสมัยนั้น
พวกสื่อการเรียนรู้ การแนะแนว ยังน้อยมาก.. เราก็ไม่รู้หรอกว่า
โตมาเราจะต้องทำอาชีพอะไร.. ตอนนั้น.. รู้แค่ว่า.. เราชอบศิลปะ
สมัยประถมเราไปแข่งวาดรูป  สีชอร์ควันพ่อ ทุกปี.. 
ครูศิลปะแทบจะแย่งตัวเรากับครูแกะสลักเพราะเราแกะแตงโมสวย 
(แต่อย่าถามถึงอย่างอื่นนะ ไม่ได้เรื่อง 55+) พอมามัธยม 
เราเลยโดนครูมัธยมลากไปแข่งวาดรูปแรเงาแทน  เพราะเราลงสีโปสเตอร์
ไม่ค่อยเก่ง เราอยู่ชมรมศิลปะตั้งแต่ ม.1 ยัน ม.6  เคยนอกใจไปอยู่
ชมรมดนตรีอยู่ปีนึงเพราะเพื่อนในแก้งค์เรามันเก่งดนตรีไทยกันหมดเลย

คนนึงขิม คนนึงจะเข้ คนนึงระนาดเอก อีกคนซออู้....
เราคิดอะไรไม่ออกเลยบอกเออ เพื่อนเป่าขลุ่ยแล้วกัน....
มันก็ดีนะ... แม้ว่าจะมีไปแอบมองประตูชมรมศิลปะที่อยู่ติดกันบ้าง
แต่ยังไงซะ.. อะไรที่ไม่ใช่ตัวเรามันก็เป็นไม่ได้นาน สุดท้ายก็ต้อง
ย้ายกลับไปอยู่ชมรมศิลปะคือเดิม  ครูประจำชมรมศิลปะบอกว่า
ให้เราไปเรียนต่อทางด้านวิจิตรศิลป์ เพราะเรามีหัวทางนี้..
 แต่ในตอนนั้น.. เราคิดไม่ออกว่า เรียนวิจิตรศิลจบไปทำไรกิน
วาดรูปขายหรอ เราคิดว่าเราไม่ได้เก่งขนาดนั้น..
ต้องโทษการแนะแนวในยุคสมัยนั้นเหอะนะ.. ที่ทำให้โลกแคบ!!



ตอนอยู่ชั้น ม.3 เราไปชอบผู้ชายคนนึง  เรียนอยู่โรงเรียนชายประจำจังหวัด
ที่อยู่ติดกัน..  ซึ่งก็อันที่จริงแล้ว มันเป็นเพื่อนที่เรียนประถมห้องเดียวกัน
กับเรานี่แหละ.. 55+  นางเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียว
ที่เราจีบจริงจัง...  จริงจังแบบที่ว่าโทรศัพท์หยอดตู้หาทุกหกโมงเย็น
ของทุกวัน วันละนิดวันละหน่อย    ข้อดีของการไปแอ๊วเด็กเรียนก็คือ..
เราสองคนแข่งกันเรียนโคตรๆ  ท้ากันไปท้ากันมา  จนปีนั้น
เราสอบได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ของห้อง.. ทั้งที่ไม่ได้เรียนพิเศษ 
แม่คือตกใจมากกกก.. ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชั้น.. แต่..........
พอเรียนจบ ม.3  ผู้ดันไปสอบเข้าเรียน (ไม่แน่ใจว่าบางมด
หรือพระนครเหนือ)  ได้ นางก็เลยมูฟออนจากไป..
อีนี่ก็แห้ว เศร้าเลย.. 


พอขึ้น ม.ปลาย  ครูสอนเคมี บอกว่า เราไม่เหมาะจะเรียนวิทย์คณิต
เราควรจะไปเอาดีทางศิลป์-ภาษา แต่... เราไม่อยากย้ายห้องไง
แล้วทำไมเราต้องเชื่อครูด้วย โดนด่าจนเราได้เกรด 2 เคมี
เป็นเกรดสองตัวแรกและตัวเดียวของเรา 555+ เราก็เลยเกลียดเคมีมาก



ช่วงนั้น.. เราไปเรียน กศน. เพื่อสอบเทียบเอาวุฒิไปสอบเอ็นทรานซ์
ตอนอยู่ ม.5  เราก็ได้เอ็นทรานซ์แล้ว ถ้ายื่นคะแนนก็สอบติดหลายที่อยู่
แต่................. เราดัน  ตกวิชาคณิศาสตร์  คือขาดอีก 1 คะแนน
เราถึงจะผ่านเกณฑ์ ทำให้เราไม่ได้ใบจบ คือ Sad มาก..



ตอนนั้น.. เรามีผู้อยู่คนนึง นางเอ็นติดวิศวะคอมพิวเตอร์ที่พิดโลก
นางก็เลยมูฟออนจากไปจร้าาาาา..  เราก็เลยต้องเรียนต่อ ม.6 อย่างหงอยๆ
พอช่วงก่อนจะเรียนจบ ม.6 ต้องสอบเอ็นอีกครั้งหนึ่งใช่ปะ..
เวลานั้น.. เราดันไป สืบรู้มาว่าอีผู้ที่ไปเรียนมหาลัยก่อนเราดันไปติดพี่เชียร์
แล้วมันก็ได้พี่เชียร์เป็นแฟนจร้าาา.. เฮิร์ทมาก.. ไหนเมริงบอกว่า...
ถ้าไม่ได้คบกะตูเมริงจะบวชตลอดชีวิตไง.. ไม่ทันไรเลย..เป็นแบบนี้ไปแล้ว



เรา.... ซึ่งงงงง....  ยังไม่เคยเจ็บกับความรักเลยสักครั้ง
(เอ่อ... ไอ้ปั๊บปีเลิฟก่อนหน้านี้คงไม่ต้องนับนะ)  พอมาเจอแบบนี้
หนักเลยจร้าาาา อีนี่.. เก็บตัวเงียบเป็นนางห้อง  บอกแม่ว่าอ่านหนังสือ
จริงๆ แล้วนอนร้องไห้ เป็นแบบนี้ อยู่เกือบเทอม.. สุดท้าย
ก็ถึงวันสอบเอ็นทรานซ์ และ... เรา ผู้ซึ่งเอาเวลาอ่านหนังสือไปร้องไห้
ก็ไม่ได้มีความรู้อะไรอยู่ในหัวเพิ่มพูนขึ้นมาจากเดิมเลย....



เมื่อผลสอบออกมาปรากฎว่า......   คะแนนได้เพิ่มมาจากตอนสอบเอ็น
ม.5  สองคะแนน   ฮ่าาาาาาาาาาาาา..  โง่แล้วยังเสือกอกหักจนสติหลุดอีก
ทั้งนี้ทั้งนั้น.. คะแนนมันก็ยังผ่านเกณฑ์โควต้าพยาบาล ม.แม่ฟ้าหลวง แล้วก็..
มหาลัยอะไรสักอย่างแถวสุพรรณบุรีอีกที่หนึ่ง.. ซึ่งทางบ้านปู่ย่า
เราอยากให้เรียนมาก แต่เราก้ำกึ่ง ไอ้ความก้ำกึ่งนี่แหละ ทำให้เราตัดสินใจ
ยื่นคะแนนอีกรอบเพื่อรอผล ส่วนกลาง  4 อันดับที่เลือกได้... 
เราเลือก ม.ลาดกระบัง อับดับแรก ส่วนที่เหลือสามอันดับเป็นที่พิษณุโลกหมดเลย
เหตุผลน่ะหรอ.. เพราะเราไม่อยากไปอยู่ไกลบ้าน และเราไม่ชอบกรุงเทพฯ
เราไม่ชอบรถติด และเราก็ชอบทุ่งนาของพิษณุโลกมาก... 5555+
เออ เหตุผลฮามาก เพราะชอบบรรยากาศความเขียวของทุ่งนานี่อะนะ
แม่บอกว่าบ้านเรามันก็มีไหม... ไอ้นาที่ว่าเนี่ยะ... แต่...
แม่ไม่เข้าใจ มันไม่เหมือนกันเฟ้ยยยย...



ในหัวเราตอนนั้น.. เราคิดว่าเราอยากจะทำงานอะไรก็ได้
ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เราคิดว่ามันคงจะหางานง่ายดี.. มังนะ
เราเลยเลือกอันดับสองและสามเป็นคณะที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หมดเลย
ส่วนอันดับสุดท้าย เลือก วิทยาศาตร์ฟิสิกส์ไว้ เพราะเราเห็นว่า
วิชาเรียนตอนชั้นปีที่ 1 มันเรียนเหมือนกันทุกอย่าง ถ้าอยากย้ายไปเรียนจริง
มันก็ไม่น่าจะยาก ขอให้เราตั้งใจเรียนตั้งใจสอบหน่อย.. อีกอย่าง
เค้ารับคนเยอะอยู่ ยังไงถ้าพลาดสามอันดับแรกก็ไม่น่าจะหลุดจากคณะนี้


ผลออกมา...   สรุปว่า....   ไม่หลุดอันดับสุดท้ายจริงๆด้วย  
โดย... อันดับ 1 ที่ลาดกระบังที่เราเลือกไว้ กลายเป็นคณะที่
คนเลือกกันมากที่สุดของทั้งประเทศ กร๊ากกกกกก นังหนอน
คะแนนก็น้อยดันเสือกไปใจตรงกับคนทั้งประเทศนะมรึง




จากนั้น...  ก็ได้เข้ามาเป็นนิสิตคณะวิทยาศาสตร์ เอกฟิสิกส์
ลั้ลลาอยู่กับผองเพื่อนเกือบร้อยกว่าคน..  ชีวิตเหมือนจะดี แต่...
55+ ไอ้คำว่าแต่เนี่ยะ ไม่ว่าจะไปอยู่ประโยคไหนมันก็สามารถบ่งชี้
ถึงเรื่องราวที่ไม่โอเคเท่าไรเลยนะ ว่าไม๊....... แต่ที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อ
ผลสอบวิชาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น ในเทอมแรกออกมาค่ะ...   ซึ่ง...
เป็นอะไรที่ช็อกโลกมาก  หนอนได้ D Dog เว่ยยยย ได้ด๊อกง่าาาา
ด๊อกตัวแรกกับวิชาที่เคย อยากจะฝากอนาคตไว้ให้ . . .

ตอนนั้นคือ เครียดมาก และอย่างที่บอกว่า  ไม่ได้ชอบฟิสิกส์ถึงขั้นรัก . .
รู้เลยว่าถ้าเรียนไปแบบไม่ชอบไม่รักเนี่ยะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่แย่ 
แต่มันคงไม่ได้ดีแบบที่ควระเป็นแน่นอน..



ความคิดที่จะดรอปและรอเอ็นฯ ใหม่นั้น ล้มเลิกไปได้เลย . .
เพราะแม่ก็ไม่ยอม และเราก็ไม่อยากเสียเวลาด้วย . . . นั่งคิดนอนคิด
ปวดกะบาลมากๆ ตอนนั้นคือ ใจมันเป็นเด็กวิดยาไปแล้วด้วย . .
เพื่อนก็สนิทไปแล้วด้วย มีแก้งค์ที่ไปไหนไปกันแล้วด้วย . . 



คิดๆๆๆ ยังไงก็คิดไม่ตก จน . . . ถึงวันที่ต้องลงทะเบียนเรียน
เพื่อนๆ ก็พากันไปใช่ปะ เราด้วย จน . . ไปต่อแถวเพื่อจะจ่ายเงินแล้ว
อีนี่ก็แอบหนีไปจร้าาาา . .  มันหายไปไหนรุ้มะ . .  มันมาแอบอยู่ที่ . . 


ที่มอ จะมีลานที่ประดิษฐาน พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ซึ่ง เรามักจะเรียกกันว่า ลานสมเด็จ มองไปที่รูปด้านล่าง ณ เวลาที่หนอนศึกษาอยู่นั้น
อีต้นคูนที่อยู่ริมสระเนี่ยะ จะครึ้มมาก ตรงนั้นจะมีเปลที่เป็นผ้าสานๆ อยู่แปลหนึ่ง
ไม่รู้ว่าใครมาผูกไว้ หนอนที่ไม่มีค่อยจะมีสติแล้วตอนนั้น . . สับสนในชีวิตขั้นสุด
ก็แอบมานอนอยู่ที่แปลข้างลานสมเด็จนี่ล่ะ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น . . .

ป่านนั้นก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี . . จนกลับไปหอ
โดนเพื่อนโวยวายว่าหายไปไหนมา . . เพื่อนตามหากันให้ควัก . . บลาๆ



กลับหอกินข้าวกินปลาไรแล้ว . . ก็ยังไม่หายฟุ้งซ่าน
คือ มันก็ต้องลงทะเบียนเรียนวันสองวันนี้แล้ว . . ยังไงก็ต้องคิดให้ตก 
สามทุ่มวันนั้น ก็เลยออกมาขับรถเล่นในมอ  คือ ต้องบอกว่า ที่มอเนี่ยะ
กลางคืนมันจะไม่ค่อยน่ากลัว(คิดเอง)  เพราะมันมีนิสิตออกมาอ่านหนังสือกัน
ใต้ตึกให้รึ่ม.. บางคน หอบเสื่อหอบพัดลมกระติกน้ำติดตัวกันมาแบบพร้อมสุด


แล้วไม่รู้ขับรถเล่นไปมายังไง . . โผล่มาที่ลานสมเด็จอีกแล้วจ้า
ด้วยที่มองไปทางสระแล้วมันเห็นเป็นต้นไม้ วับๆ แวมๆ มืดๆ
อีนี่ก็เลยไม่ได้เดินไปจ่อมอยู่ตรงนั้น . . . .แต่ใจมันก็ยังอยากดูดซับ
ความสงบของสถานที่ . . ก็เลยไปนั่งแอบอยู่ข้างสระบัวตรงทางเข้าลาน
อย่างที่เห็นในภาพเนี่ยะแหละ . . . ก็นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยๆ อ่านะ
จนมองนาฬิกาอีกที  จะเที่ยงคืนแล้วเฮ้ยยย . .
บร้าร๊าววว  ควรกลับห้องได้แล้ว . .



ไอจังหวะที่จะกลับมีเรื่องขำขร่ะ คือ  มีคนขับมอไซค์ผ่านมา
แล้วเจอเราอยู่ดีๆ ก็โผล่ออกมาจากข้างสระบัว  นางชะงักเลย 
รถเกือบล้ม .... ปัดโธ่  ไรว๊าาาาาาา คนเว่ยยย ไม่ใช่ผี 
ตาอ่ะมีไม๊ . .  รถก็เห็นจอดอยู่ด้านหน้าเนี่ยะ คิดสิคิด..
ว่าแต่คนดีๆ ที่ไหนจะมานั่งอยู่อย่างนี้ กลางค่ำกลางคืน
(พอคิดย้อนกลับไปแล้ว อีนี่ช่างทำตัวได้เสี่ยงอันตรายมากจริงๆค่ะ)




แต่เอาล่ะ . . ไหนๆ ก็เอาตัวเองมานั่งตากยุงอยู่ค่อนคืนแล้ว สุดท้าย..
จึงคิดตกได้จริงๆ ค่ะ 55+ คือ ก่อนหน้านั้น อาหนอน ที่เค้ามาเรียน ป.โท ที่นี่
เค้าเคยโทรมาเล่าให้หนอนฟังว่า มันยังมีเอกนึง ที่มีการเรียน
คล้ายๆ กับเอกนิเทศน์ ของ มออื่น แต่ที่นี่  ณ ตอนนั้น เอกนิเทศน์
มันเรียนคล้ายกับประชาสัมพันธ์ หนอนก็เลยไม่เลือก 


ไอ้เอกที่ว่าที่น้าเล่าให้ฟังเนี่ยะ ​​​​ อยู่ที่คณะศึกษาศาสตร์
เรียกว่า.. เอกเทคโนโลนีทางการศึกษา ซึ่งวิชาที่ให้เรียน
ก็จะมีเกี่ยวกับพวกการผลิตสื่อต่างๆ  เรียนถ่ายรูปเบื้องต้น
เรียนผลิตรายการโทรทัศน์   ผลิตรายการวิทยุ  อะไรแบบนี้ . .
ซึ่งน้าเค้ามานึกๆ ดูแล้ว คิดว่าหนอนน่าจะชอบ เลยโทรมาบอก
ให้เราไปลองไปคุยดู  ไร งิ๊. . . 


เพราะงั้น . .  ไอ้ที่เครียดๆ อยู่ วันสองวันนี้ ก็เป็นเรื่องนี้นี่แหละ
มันเหมือนกับเปลี่ยนอนาคตเราไปเลย คือ ถ้าตั้งใจจะเรียนจริง
วิชาที่ลงทะเบียน ต้องเปลี่ยนใหม่หมด แล้วต้องไปตามเก็บไอ้ที่
เราไม่ได้เรียนตอนเทอมแรกอีกด้วย  โทรไปเล่าให้แม่ฟัง
แม่บอกว่า เค้ายังไงก็ได้ เอาที่เราชอบ มันเป็นอนาคตของเรา
ซึ่ง . . อีนี่ ตั้งแต่เกิดมา ก็ยังไม่เคยบังคับตัวเอง ทำอะไรที่ไม่ชอบสักที
ที่ยัง . . ยักแย่ยักยัน อยู่ก็น่าจะเป็นเพราะต้องเปลี่ยนสังคมเพื่อนๆ 
จากมีพื่อนในเอก ร้อยกว่าคน กลายเป็นสิบกว่าคนแบบนั้น 
เราจะรับได้หรือเปล่า จะปรับตัวได้หรือเปล่า นั่นนี่ บลาๆๆๆ


 


นั่นแหละ . . อย่างที่บอก . . หลังจากที่ไปนั่งเป็นผีสิงข้างอ่างบัวเกือบวัน
คิดได้ละ ว่าควรเลือกอนาคตดีกว่า . . เราไม่ควรฝืนทำอะไรที่เราไม่ชอบ
เพราะถ้าเราไม่ชอบแล้วเราคงไม่สามารถทำมันออกมาดีได้ . . 



คิดได้ปั๊บบบบ . . . ทำเรื่องเลย ไปหาอาจารย์ ภาควิชาคณะใหม่
บอกเค้าว่าอยากย้ายมาเรียนเพราะอะไรยังไง  เหมือนเอาตัวเอง
ไปให้อาจารย์สัมภาษณ์เลย 55+ ตื่นเต้นมาก แต่ทุกอย่างก็สำเร็จไปด้วยดี
พอหัวหน้าภาควิชาโอเคแล้ว ก็ไปหาอาจารย์หัวหน้าคณะ 
จากนั้นก็ไปทำขั้นตอนเดิม คือ ไปหาอาจารย์หัวหน้าภาควิชาเอกเก่า
ว่าจะขอทำเรื่องย้ายเพราะอะไรยังไง . . บลาๆๆ เดินเรื่องเองคนเดียว
ทุกขึ้นตอน . . พอตัดสินใจได้ มันก็ไม่มีอะไรให้ต้องเครียด
ลุยเดินเรื่องมันอย่างเดียวโลดดดดด .  .




จนได้กลายมาเป็นนิสิตหญิง . . ที่หนึ่งเดียว ที่ใส่เสื้อคลุม
เอกเก่ามาอยู่เอกใหม่ แบบเนียนๆ . .  แต่ . . มันไม่จบแค่นั้น จร้าาาาาา
เพราะไอ้วิชาเรียน เทอมแรกที่เรียนไปนั้น สามารถโอนย้าย
ไปได้แค่สองตัวเฮ้ยยยย  ยังมีที่ต้องตามเรียนอีกหลายตัวมาก. .
ซึ่งต้องใช้คำว่ายัด จริงๆ แบบที่ว่า.. เรียนเสร็จ 11 โมงกว่า
ที่ตึกมนษย์ฯ แล้วก็ต้องรีบแว้นไป ต่ออีกวิชาที่ตึกแพทย์ โดยที่
มีเวลากินไส้กรอกใต้ตึกแค่สองไม้ เท่านั้น ก็ต้องไปเข้าเรียนเลย
อะไรแบบนั้นอ่าาาา . . แต่มันก็อยู่ได้นะ 555+ 

อันที่จริงแล้ว . . เราจะเลือกมาเรียนช่วงซัมเมอร์ก็ได้แหละ
แต่เป็นเพราะหนอนเสียดายเวลา . . ซัมเมอร์อีนี่จะไปฝึกงานจร้าา
ฝึกมันทุกปี ประหนึ่งมีอาชีพฝึกงานเลยทีเดียว . . 







ปี 1 ขึ้น ปี 2 ยังไม่ได้ฝึก --> เตรียม(ใจ)ย้ายคณะ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 

ปี 2 ขึ้นปี 3 --> ความฝัน ณ ตอนนั้นอยากเป็นตากล้องหญิง
แบบแบกกล้องถ่ายสารคดีสัตว์โลกอะไรแบบนั้น ก็เลยขออาจารย์
ไปฝึกงานที่ กศน. ลำปาง เพราะว่า ที่ลำปางเป็นศูนย์ใหญ่ที่ทำสื่อ
การสอนให้ภาคเหนือทั้งหมด แต่ พอได้ไปจริงๆ ไม่ได้จร้าาา . .
กล้องแม่มหนักมาก เกือบห้าโลได้ ต้องแบกอยู่บนบ่า
แล้วไอ้พวกผู้ทั้งหลายมันเลย ไม่ยอมให้ผู้หญิงถือ
สุดท้ายเลยได้ไปทำรายการวิทยุแทน
คัดแผ่น CD วนไป 555+ จบกัน . .


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 

ปี 3 ขึ้น ปี 4 --> คราวนี้ อยากเป็นคนทำโฆษณา แล้ว
มันมีรุ่นพี่เอกที่จบไปแล้วทำงานอยู่บริษัทโฆษณาชื่อดัง
อยู่แถวถนนสุโขทัยจ้าาา เอาเลย มาเลยผู้เดียว เป็นการมาพัก
กทม. ครั้งแรก ไปอยู่หอพักแถวสวนอ้อย นั่งรถเมล์เขียว ที่ตอนนั้น
ราคายังแบบ สามบาทหรือหว่า ถูกมาก.. ที่เที่ยวบ่อยสุดระยะนั้นคือ
เดินช๊อปที่อนุเสาวีรย์... ได้ไปออกกอง มีโฆษณามีสัตว์ใหญ่ยี่ห้อนึง
คนไม่พอไปร่วมเป็นเอ๊กตร้ากับเค้าด้วย ได้รู้ว่า แม่ม แก้วเบียร์
ที่เห็นฟองฟูๆ นั้นคือน้ำยาล้างจานซันไลค์ 55+ ก็สนุกดี 
แต่. . . . สังคมแบบนี้ ใสๆ ซื่อๆ แบบเราอยู่ยากจริงๆ 
มันเหมือนแก่งแย่งแข่งขันกันเกินไป . . แทงข้างหลังได้แทง
คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด อีนี่ ไม่ไหวจ้าาา เป็นอันดับฝัน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 

ปี 4 ฝึกงานปีสุดท้าย  --> ก็ยังทำเกี่ยวกับโฆษณาอยู่
แต่ไปย้ายไปฝึกที่สถานีข่าวสีฟ้าที่หนึ่งแถวบางนา
ก็ชอบมากเหมือนกัน ได้ไปออกกอง ได้ลองเขียนคริ๊ป ตัดต่อทีวี . . 






แต่ตอนที่ฝึกงานจบ แผนกที่เราฝึกยังไม่มีตำแหน่งงานว่าง . . 
เราซึ่งค่อนข้างยึดติดกับที่นี่พอสมควร พี่ๆ ที่น่ารักในนั้น ก็เลย
ให้ลงไปทำที่ห้องออกอากาศก่อน . . . . ทำตั้งแต่ยังไม่ได้รับใบปริญญา . .



เป็นอันว่า . .  ฝึกงานเรียบร้อย ได้งานเรียบร้อย และ เรียนจบใน 4 ปี
พร้อมเพื่อนเรียบร้อย . . . ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี . . .  



ต่อมา . . เราโดนชักชวนให้ย้าย มาอยู่อีกช่อง แถวถนนพระอาทิตย์
ก็คิดอยู่นานว่าจะย้ายดีไหม แต่โดนแม่กดดัน เพราะที่ใหม่เค้าดูโอเคกว่า
เดือนแรกที่ย้าย เค้าหาคนมาทำแทนยังไม่ได้ อีนี่ ต้องควบสองกะ
แบบสุดยอดมาก แทบจะคิดว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์ไปแล้วก็ว่าได้
คือ อยู่บางนา กะกลางคืน แล้ว มาต่อ ถนนพระอาทิตย์กะเช้า . . .
อยู่อย่างนั้น ช่วงกลางคืนพอจบข่าวเที่ยงคืนต้องขอพี่ๆ
เค้าไปแอบงีบหลังตู้ทีวีด้านหลังนั่น..แล้วค่อยตื่นมาเป็นช่วงๆ
ตอนข่าวต้นชั่วโมง . . คือ ไม่งั้นอีนี่ ไปทำงานกะเช้าของอีกที่ ไม่ไหวจริงๆ . . . 



ข้อดีของการทำงานสองที่คือ ได้เงินเดือนสองเท่า 5555+
ย้ายมาอยู่ถนนพระอาทิตย์ก็ดี ตอนนั้นอยู่หอหญิงด้านหลัง
เซเว่นตรงสวนสันติชัยปราการ มันก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่ง
ทำงานเป็นกะหรรษา บางวันเลิกเที่ยงคืน อีนี่เดินกลับหอเจอผีหลอก
บางวัน เลิกหกโมงเช้า อีนี่ไม่ง่วง นั่งเมล์ไปเดินตลาดแถวเทเวศน์




แล้วยังริอาจเลี้ยงหนูด้วยนะ 2 ตัว แล้วเป็นสองตัวที่อยู่ด้วยกัน
แต่ดันไม่ถูกกันจร้าาาาา  เฮ้อออ ปวดกะบาลกะมันมาก...
พอสองตัวจากไป จากนั้นก็เลยเลิกเลี้ยงสัตว์มาจนถึงบัดนี้...





เรื่องมันยังไม่จบขร่ะ . .  ทั้งๆ ที่ตอนนั้น รถก็ยังไม่มีขับ
เครื่องซักผ้าก็ไม่มีใช้  นั่งซักมือตากเอาก็ได้ บ่ ยั่น. .
ทุกอย่างในชีวิต มันก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่สุดท้าย
ก็มีเหตุให้มันพลิกผลันอีกรอบจนได้ . . . เหตุผลแรกคือ
บริษัทตอนนั้น เริ่มจะง่อนแง่นแระ มีการจ่ายเงินเดือนเลทเป็นอาทิตย์ก็มี
กับสอง . . เลิกกะผู้ค่ะ 555+ แล้วผู้คือ ทำงานเกี่ยวเนื่องกัน
คือเค้าจะต้องคุมงานรวมๆ ในห้องที่เราทำงานอยู่  ยังต้องเจอหน้ากันตลอด
แบบเลี่ยงไม่ได้ . . พออยู่ตรงนั้น มันเหมือนพายเรือในอ่าง เลิกไม่สำเร็จสักที
จนสุดท้ายเลยตัดสินใจลาออกค่ะ ออกแบบเปลี่ยนงานเปลี่ยนที่พัก
ย้ายหนีไปเลย (พูดเหมือนย้ายไกลมากเรยนะหล่อนจากถนนพระอาทิตย์
มาแค่ปิ่นเกล้านี่เอง 55+)  สุดท้ายก็สำเร็จค่ะ ที่บอกสำเร็จคือเลิกกะผู้สำเร็จ เหอๆ


ส่วนงาน . . ก็เปลี่ยนอีกครั้ง  รอบนี้ เปลี่ยนมาทำงานเกี่ยวกับออกแบบกราฟิก
คือจะบอกว่า . . ไอ้โปรแกรมพวกนี้ ตัวเดียวที่เคยเรียนคือ ออกแบบสื่อการสอนเบื้องต้น
ซึ่งตอนนั้น มันสอนรวมมาก โฟโต้ช็อป แฟลช แพจเมคเกอร์ บลาๆๆ 
สอนแบบให้รู้ว่ามันใช้เครื่องมียังไง อะไรเท่านั้นเอง .. แล้วเราก็ไม่ได้เก่งมาด้วย
เป็นการหางานที่ลุ้นมาก สมัครไปหลายที่มาก คือแทบจะหว่านเลยก็ว่าได้
แต่สุดท้าย มันรอดค่ะ . . .  ณ ตอนนั้น บริษัทที่เราไปทำเป็นบริษัท
ที่ขายงานเกี่ยวกับ Ecommerce และ Website มันเลยทำให้เราได้
ทำการออกแบบเว็บและสิ่งพิมพ์เพิ่มมาด้วยพร้อมๆ กัน . .








สุดท้ายก็เลยยึดอาชีพนี้ มาจวบจนปัจจุบัน
อันที่จริง ตอนแรก คุยกะแม่ไว้ว่า อยากเรียนต่อ
แต่สุดท้ายมันก็ทำงาน ไหลมาเรื่อยๆ จนที่อยาก
เรียนต่อคือ. . ไม่อยากแล้ว . .เปลี่ยนไปเรียนอาชีพ
แทนได้ไหม ตอนนี้ . . อยากเย็บผ้า ทำขนม
ทำอาหารบลาๆ อะไรแบบนี้เป็นมาก เผื่อตกงาน
จะได้ออกไปค้าขาย ใช้ชีวิตอยู่แบบพอมีพอกิน
และไม่มีหนี้สินไม่มีโรคเรื้อรัง แค่นี้ ก็พอใจแล้ว . .





บางที . . เราก็ไม่ต้องไปคิดหรอก ว่าชาติที่แล้ว
เราเคยทำกรรมอะไรมาบ้าง . . ไม่ต้องไปตามหาด้วย




เพราะที่จริงแล้ว . . . กรรม ที่เห็นชัดที่สุด
มันก็คือการกระทำ ณ ปัจจุบัน ของเรานี่แหละ
อยากให้อนาคตเป็นแบบไหน . .ก็ทำมัน ณ ปัจจุบันนี้ให้ดี
ใช้ชีวิตอย่างมีสติแล้วกรรมดี มันก็จะย้อนกลับมาหาเราเอง
โดยไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวหรือหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆเลย..



แฮร่ . . ทำไมยิ่งพิมพ์ยิ่งเหมือนด่าตัวเอง
ให้สำนึกยังไงก็มะรู้อะนะ . .เหอๆ  เอาเป็นว่า
กรรมสะท้อนยอกย้อนชีวิตนังหนอน ก็จะประมาณนี้อะนะ
กรรม จากการกระทำโดยตั้งใจในวันนั้น . . กลายมาเป็นชีวิตหนอน
นังหนอนลั้ลลาในวันนี้ . . 555+ เขียนละเอียดโคตรๆ แล้วล่ะ
หวังว่าตอนแก่กลับมาอ่านอีกที คงจะฮาพุงแตก
จนลืมแก่ไปเลยล่ะเด้อออ . . กร๊ากกกก




จบขร่ะ . . 
ขอบคุณที่ติดตาม




|
|

|
|
|
|

|
|

|
|
|
|
|
|

|
|
|
|
|

|
|
|
|
|

|
|
|

|
|
|

|
|
|

|
|
|

|
|
|
V


แต่เดี๋ยว . . . ขอแปะ ไว้อีกนิด . . 

Note: นอกเรื่อง ในสมัยก่อน ผู้เฒ่าผู้แก่บ้านหนอน
จะมีปู่คนนึง จำไม่ได้ว่าเป็นญาติทางไหน แม่บอกว่า
เค้าเป็นหมอครู แบบหมอขวัญนาค หมอเป่าคางทูม นั่งทางใน
อะไรแบบนั้นด้วย . . พอมีคนในเครือญาติ เกิดใหม่คนนึง
เค้าก็จะบอกว่า . . คนนี้อ่ะ เป็นใครมาเกิด อย่างหลานหนอน
เค้าบอกเป็นยายมาเกิด . .



ตอนหนอน แม่บอก.. ปู่เคยพูดไว้ว่า
หนอนอ่ะ เป็นพี่สาวยายมาเกิด จำไม่ได้แล้ว
ว่าชื่ออะไร . . พอแม่บอกเรา เราก็แบบ. .
จริงดิแม่ . . แล้วก็ถามกลับไปว่า . .




แล้วพี่สาวยายที่ว่าอ่ะ . . มีผัวไหมแม่ ?

แม่ตอบทันทีว่า . . มีเซ่ . . แล้วยาย อะก็นิสัยเหมือนแกรเด๊ะ
วันๆ ชวนแต่หมู่กินเหล้า ลั้ลลา งานบวชนี่รำอยู่หน้าเล้ยยย . .



บู้วววๆๆๆ . . . . แม่คอดมั่ว . .
ลูกสาวไม่เคยไปรำหน้างานที่ไหนสักหน่อย
เป็นอันว่าจบการนอกเรื่องแต่เพียงเท่านี้ เครนะ . . 55+


บันทึก Diary โดย ตัวหนอนกิ๊วๆ



Create Date : 20 กรกฎาคม 2563
Last Update : 27 กรกฎาคม 2563 23:24:32 น. 23 comments
Counter : 1606 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณเริงฤดีนะ, คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณทนายอ้วน, คุณhaiku, คุณtoor36, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณกะว่าก๋า, คุณSweet_pills, คุณauau_py, คุณtuk-tuk@korat, คุณปีเตอร์ วิรุฬพัฒน์ นามแฝงครับ


 
ไม่ได้ติดตามหรอกคร่า ยาวไป แฮร่
แปะโหวตจองที่ก่อนละกันโนะ
ไว้ค่อยๆมาอ่าน อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน





โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:9:38:45 น.  

 
แปะ Vote ก่อนย้อนขึ้นไปอ่านนะคะ

อืม..เป็น Short story ของน้องหนอน
อ่านเพลิน..ตั้งแต่เล็กจนโต
ไม่เห็นมีกรรมอะไรมากมาย
แต่สะท้อนเรื่องราวลำดับชีวิตมาเป็นตัวหนังสือ
ให้เพื่อนบล็อกอ่าน..ยาวๆ
(ช่างจดช่างจำเสียจริงๆ)


มีคุณแม่เป็นครู..ได้ซึมซับระเบียบวินัยในตัวเอง
และไฝ่ดี(ในตัวเราเอง..โดยไม่รู้ตัว)


แม่พี่อ้อก็เป็นครูภาษาไทยที่ดุมาก
และเก่งมาก..
จึงคาดหวังสูงว่าลูกต้องเก่ง..
เวลาสอนการบ้านพี่อ้อสมัยประถมนี่..
น้ำตาหยดแหมะๆลงสมุดเป็นหลักฐาน เลย
เพราะแม่ตี แต่ห้ามส่งเสียงร้อง..

ฮา..(จะมีบ้านไหนเหมือนไหม)
มันทำให้เราตั้งใจ อึด และอดทน..ม๊าก
(ต่อทุกสถานการณ์ในชีวิต..เมื่อเติบใหญ่)



โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:10:02:58 น.  

 
คุณแม่อยากให้หลากจำค่ะ

น้องหนอนเลยจดจำได้..
ว่าต้องละเอียดรอบคอบมาจนทุกวันนี้..


แต่น้องหนอนน่ารักนะคะ
รูปสมัยเรียนดูสดชื่น..มีชีวิตชีวา


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:10:22:27 น.  

 
อ่านจบแระ คอดเหนื่อย



โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:10:51:49 น.  

 

แวะมาอ่านอรรถประวัติของน้องหนอนค่ะ
ยาวววว..อ่านเพลินเจริญใจ

ชีวิตมีรสชาดดีจัง
วัยเรียนเป็นวัยที่สนุกสนาน..
นึกย้อนไปให้มีความสุข



โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:11:04:22 น.  

 
อ้าวเฮ้ยยยย ลืมส่งการบ้านเลยยยยยยยย
วันพระใหญ่แล้วหรอ ผมจะรู้ได้ไงว่าเมื่อไหร่วันพระ 5555

เดี๋ยวทำของตัวเองแพ้บ เดี๋ยวมาเม้นท์ใหม่นะพี่


โดย: จันทราน็อคเทิร์น วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:11:15:33 น.  

 
อ่านเพลินจนน่าเอาไปทำละครเลยแหละ
จากที่เคยเลี้ยงหนู ตอนนี้จะพัฒนาไปเลี้ยงแมวแล้ว 555
มีความสามารถรอบด้าน งานที่ทำก็สนุก ... ชีวิตก็น่าจะโอเคแล้วเนอะ

แต่ ... หนอนบอกยัง ๆ ๆ 555
ชีวิตยังอีกยาวไกล นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นเอ๊งงงง



โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:11:21:18 น.  

 
อุ๊ย น่ารักตะมุตะมิมากเลย
เลี้ยงแมวน่ารักกว่าเลี้ยงหนูมากมาย 555


โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:11:52:49 น.  

 
มาตามว่า ผมอัพเรียบร้อยแว้วววว
ดูปฏิธินที่โต๊ะเห็นมีจุดสีเหลืองๆ ใส่แว่นดูอ้าวววว รูปพระนี่หว่า 5555

ผมว่า ไม่มีอะไรน่าเวรกรรม เท่าระบบการแนะแนวของประเทศไทย
ตอนเรียนชั่วโมงแนะแนวคือเวลานอน หรือไม่ก็หนีไปเตะบอลอยู่หน้าเสาธง
แบบประเมิณที่ารย์แนะแนวชอบเอามาให้ทำ เชื่อได้มากกว่า หมอดูนิดเดียว.... - -''

มามีประโยชน์ก็ตอน ม.6 คนสอนเป็นครูฝึกสอน
แต่ดีมาก เอาโควต้ามาบอก โทรถามการสมัคร ถามผล ส่งใบสมัครให้
หาเพื่อนมาบรรยายให้ฟังมา แต่ละคณะเรียนอะไร จบไปทำอะไร
ผมเข้ามหาลัยได้ก็เพราะจารย์เค้านั่นแหละ พอรู้ว่าสมัครโครงการนี้ก็รีบเอาหนังสือมาแนะนำให้ไปอ่าน ลองทำข้อสอบ เพราะถ้าติดโครงการนี้ หมายถึงเป็นหน้าตาของโรงเรียน เพราะ เอา 1 คน 1 คณะ ใน 1 จังหวัด


ส่วนเรื่องยายกลับมาเกิดอะไรนี่ พี่เคยเล่าไปแล้วในบล๊อกไหนซักอัน ที่มีเรื่องแม่กับครอบครัว
ลืมป่าว 555555


โดย: จันทราน็อคเทิร์น วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:11:59:21 น.  

 
พี่ก๋าค่อยๆนั่งอ่านลงมาเรื่อยๆจนจบครับ
น้องหนอนเป็นคนเรียนเก่งนะครับ
แต่เส้นทางการเรียนจะสวนทางกับเส้นทางการสอนของคุณแม่เสมอ 555

วันนี้ที่เราเป็น
ก็คือผมจากสิ่งที่เราเป็นในวันก่อน
ถ้ามองย้อนกลับไป
ก็ไม่มีประสบการณ์ไหนที่ไม่สำคัญเลยนะครับ
มันสำคัญทั้งหมด
และหล่อหลอมให้เราเป็นเราในวันนี้อย่างแท้จริง




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:12:12:51 น.  

 
เอาเปียกมาเลี้ยงน้องก็ดีนะ
เพราะแมวตัวเมียน่าจะมีสัญชาตญาณเพศแม่ เข้ากับลูกแมวได้ดีกว่า
ส่วนอีเป๊ง ถ้าหง่าวมากนักก็จับทำหมันซะเลย 555



โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:13:38:13 น.  

 
เรื่องราวที่เกิดขึ้นคล้ายๆกันครับ

นิสิตปี 1 คณะวิทยาศาสตร์ เอกเคมี ม.นเรศวร รุ่น 1 เรียนได้เทอมเดียวก็รู้ตัวว่าไม่รอดแน่ ต้นๆเทอมสองทำเรื่องขอดรอปเรียนเพื่อจะมาเอ็นใหม่ ฝ่ายทะเบียนไม่ให้ดรอปโดยไม่บอกเหตุผล เลย "ลาออกก็ได้วะ" ฮ่าๆๆๆๆ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:13:38:49 น.  

 
พูดถึงการชิงธง .... ได้กลิ่นน้ำมันมะพร้าวที่ทาตัวเลยอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:14:11:43 น.  

 
อ้อ ... มะช่ายรุ่นพี่ปีนเสานะ น้องปี 1 นี่แหละปีน ฮ่าๆๆๆๆ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:14:18:59 น.  

 
โห เล่าได้อร่อย... คุณหนอนน่าตาน่ารักเนาะ อยู่สายงาน
ด้านนี้เอง ถึงว่าทำงานที่บ้านได้ช่วงโควขวิด.

เดาเอานะ เนชั่นกับบ้านพระอาทิตย์

หมดเป๋าครับ ตื่นเช้าไปเลยเยี่ยมเพื่อน ๆ เยอะ 555


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:14:45:24 น.  

 
ก้อนไขมันนี่
เวลามา มาง่าย
แต่เวลาไป ไปยากจริงๆ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:15:16:52 น.  

 
พอๆ กันเลยครับ เจอครูไม่ดี สมองมันปิดการเรียนรู้เหมือนกัน

เอาเข้าจริงๆ แนะแนวบางทีผมก็รู้สึกว่า ครูแนะแนวมันทำลายเด็กได้เลยนะ ถ้าแนะไปในทางไม่ดี หลายๆ ครั้งการแนะไม่ได้เป็นไปในทางบวกเลย

ต้องถือว่าเรียนเก่งเลยนะ มีสอบเทียบด้วย ไม่ธรรมดา สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์ด้วยล่ะนะ ตามตัวไม่ได้เลย

ทำที่ใหม่ได้เงินเยอะขึ้นมันรู้สึกดีจริงๆ ชีวิตมีสีสันดีครับ เรื่องงาน ตอนนี้ผมมาคิดๆ ดูแล้ว อะไรก็ได้ ที่ทำแล้วได้เงินเยอะๆ แล้วก็สบายใจ อันนี้ดีที่สุด แต่มันหายากครับ 555




จากบล็อก
มันเคยมีคนงอน เลยต้องดักคอไว้ก่อนครับ 555


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 20 กรกฎาคม 2563 เวลา:22:23:38 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับน้องหนอน



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 กรกฎาคม 2563 เวลา:7:14:15 น.  

 
น้องหนอนนั่งเงียบๆริมสระเกือบเที่ยงคืน
เป็นพี่ต๋าเจอต้องมีสะดุ้งรถราเกือบล้มบ้างเหมือนกันค่ะ

เมื่อถึงจุดที่ต้องตัดสินใจในแต่ละช่วงชีวิต
ขณะที่เลือกก็เหมือนเป็นความกล้าในจุดนั้นเหมือนกันนะคะ
เพราะเราไม่รู้อนาคตว่าเลือกแล้วจะเป็นยังไงต่อ

ถึงวันนี้เรายังไม่เห็นภาพในอนาตตชัดเจน
แต่การทำปัจจุบันนี้ให้ดี ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
พี่ต๋าเห็นด้วยกับน้องหนอนค่ะว่ากรรมดีก็จะย้อนกลับมาหาเราเอง

................................

ขอบคุณน้องหนอนแวะตรวจการบ้าน
ขอบคุณกำลังใจนะคะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 21 กรกฎาคม 2563 เวลา:8:44:29 น.  

 
คงไม่ทันกันมั๊งครับ ตอนที่ออกมายังเป็นปีหนึ่งไม่เต็มปีเลยครับ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 21 กรกฎาคม 2563 เวลา:13:13:07 น.  

 
เก่งมากค่ะ เขียนได้ยาวมาก ^___^


โดย: auau_py วันที่: 21 กรกฎาคม 2563 เวลา:13:47:37 น.  

 
มิน่าเล่า น้องหนอนเขียนเรื่องให้อ่านในบล็อกแก้ง สนุ๊ก สนุก


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 21 กรกฎาคม 2563 เวลา:13:48:33 น.  

 
อยากเย็บผ้า ทำขนม
ผมก็อยากไปเรียนเหมือนกันคับ


โดย: ปีเตอร์ วิรุฬพัฒน์ นามแฝงครับ วันที่: 24 กรกฎาคม 2563 เวลา:22:56:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BlogGang Popular Award#20


 
nonnoiGiwGiw
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2563
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
20 กรกฏาคม 2563
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add nonnoiGiwGiw's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.