Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 
19 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
Nepal ตอน 27 โอมมณี ปัทเมหุม

เสียงเพลงสวดนุ่มเย็นกระทบโสตประสาทพวกเราตั้งแต่ ซุ้มขายบัตร ‘โอม มณี ปัทเมหุม’ เป็นเพลงสวดศาสนาพุทธของทิเบต ทำนองออกจีน ๆสวดวนไปวนมาอย่างนี้แบบแผ่นเสียงตกร่อง เพลงนี้จะวนเวียนตามเราไปเรื่อยๆ ตลอดการท่องเที่ยวในเมืองบักตะปูร์

สภาพเมืองบักตะปูร์ สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย สมกับค่าเข้า 10 ดอลล่าร์ บักตะปูร์ก็เป็นมรดกโลกเช่นเดียวกับปาตัน

เมืองบักตะปูร์เป็นอดีตราชธานี หนึ่งใน 3 ราชธานี ก่อนที่จะรวมเป็นประเทศเนปาลทุกวันนี้ ปาตัน กาฐมาณฑุ และบักตะปูร์เคยเป็นรัฐอิสระแยกจากกัน
บักตะปูร์มีกลิ่นอายของความเก่าแก่ ดั้งเดิม มากกว่ากาฐมาณฑุ และปาตัน เพราะ ‘ไกลปืนเที่ยง’ ซ่อนอยู่ในหุบเขา เข้าถึงได้ยากกว่า

อันนี้ว่าตามเขา พวกเราไม่มีปัญญาแยกว่าที่ไหนเก่ากว่ากันหรอก ดูที่ไหนก็เก่าไปหมด

เมื่อเดินเข้าไปในจตุรัสราชวังของบักตะปูร์ ก็จะพบว่าวัด และโบราณสถานกระจายอยู่ไม่หนาแน่นเป็นชุมชนแออัดอย่างปาตันและกาฐมาณฑุ ทั้งนี้ไม่

ใช่ว่าราชธานีแห่งนี้ขี้เกียจหรือมีทุนน้อยกว่าที่อื่น แต่เป็นเพราะแผ่นดินไหวในปี 1934 ถล่มสิ่งก่อสร้างทิ้งไปจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้เราจึงพบว่าจตุรัสปูอิฐเป็นพื้น ดูโล่งและสบายตา ทำให้นักท่องเที่ยวไม่เกิดอาการเมาหรือเลี่ยนโบราณสถาน

สถานที่สำคัญที่ต้องไปดูก็คือพระราชวังแห่งนครบักตะปูร์ ทางเข้าก็ไม่ใช่ธรรมดา หากเป็นทวารทอง (Golden Gate) หรือชุนโดกา (Sun Dhoka) ทวารทองแห่งนี้โด่งดังมากในฐานะผลงานทางศิลปะอันยิ่งใหญ่ สร้างขึ้นในปี 1753 โดยพระเจ้าจัย รันจิต มัลละ (Jaya Ranjit Malla)

กรอบทวารลงทองแดง เป็นรูปเทพเจ้าต่างๆ ตัวทวารทำจากอิฐเคลือบ ซุ้มประตูเป็นทอง มีช้าง และสิงห์ประดับอยู่ 2 ข้างของทวารทอง



เมื่อเราเดินผ่านชุนโดกาเข้าไป จะเป็นลานพิธีของพระราชวัง และเมื่อลอดทวารเตี้ย ๆ เข้าไปอีก 2 ชั้น จะเข้าสู่ตะเลจูโฉก (Taleju Chowk) คำว่าโฉกนี้ แปลว่าลานนั่นเอง

พวกเราสายตาไม่อยู่สุข ไอ้ที่เขาชวนให้ดู ก็ดูบ้างไม่ดูบ้าง ไอ้ที่เขาไม่ดูกัน เราก็ชอบดูนัก เราสังเกตเห็นว่าตัวอาคารมีรูสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดเท่าอิฐบล็อคก้อนเล็ก ๆ อยู่เป็นระยะ ๆ เอาไว้ทำอะไร เอาไว้แอบดูข้างในหรือ

ว่าแล้วก็ไปส่องดู มืด… ไม่เห็นอะไร หรือจะเป็นท่อน้ำทิ้ง ตายละไม่ใช่ว่าไอ้ที่ไปส่องๆ กันน่ะ มันเป็นห้องน้ำนะ

พี่เจบอกว่าการสร้างอาคารสมัยโบราณ จะมีไม้เสียบไว้เพื่อช่วยพยุงอิฐที่ก่อไว้ พอสร้างเสร็จก็ดึงไม้ออกเลยเป็นรูอยู่อย่างนั้น

ตะเลจูโฉกนี้เป็นจุดสุดท้ายที่ให้คนที่ไม่ใช่ฮินดูเข้า ทางด้านในที่มีลานตะเลจู และลานกุมารีซึ่งเป็นลานศักดิ์สิทธิ มีทหารยามเฝ้าอยู่

ถ้ากล้าเดินเข้าไปดู ทหารยามเขาก็กล้ายิง ครั้นจะปลอมตัวเป็นฮินดูก็ดูไม่เข้ากับเผ่าพันธุ์ หน้าหมวย หน้าตี๋อย่างนี้น่าจะเป็นพวกฝ่าหลุนกงเสียล่ะมากกว่า อย่างพี่ปุ๊กับพี่น้อย พอจะกล้อมแกล้มหลอกเขาได้ แต่ก็ไม่กล้าอยู่ดี เสียดายงบประมาณค่ากระสุนของเขา

ทหารยามเขาก็ใจดี ยอมให้โผล่หัวเข้าไปดูได้ เมื่อโผล่เข้าไปแล้วควรมองไปทางทิศใต้ (จะรู้ไหมนี่ ว่าทิศไหนทิศใต้) เพื่อหาตำหนักเทพตะเลจู (Taleju God House) ตัวตำหนักตกแต่งประดับประดา แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง งดงามมาก

พอมีเรื่องต้อง ‘เสนอหน้า’ เข้าไปดูอย่างนี้ ก็ต้องอิจฉาพี่ก้อด ที่แข้งขายาวกว่าคนอื่น มีโอกาสเห็นได้มากกว่าอยู่หน่อย

หลังจากโผล่หัวเข้าไปครบทุกคนแล้ว ศิวะก็พาพวกเราเดินต่อไปยังชุนดะรีโฉก (Sundari Chowk) ซึ่งเป็นลานสรงน้ำของพระเจ้าบักตะปูร์ ปัจจุบันเป็นที่ทำการของตำรวจ

ลานสรงน้ำแห่งนี้ต่างจากลานสรงน้ำแห่งอื่น เพราะไม่มีสิ่งก่อสร้างใด ๆ ล้อมรอบ ตัวบ่อใหญ่มาก มีเทวรูปหินหลายรูป มีบันไดลงไปสู่สระน้ำด้านล่าง ที่กลางบ่อมีพญานาคศักดิ์สิทธิ ชูเศียรขึ้นมา พญานาคทั้งสูงทั้งใหญ่

ที่สระน้ำนี้มี ‘ก๊อกน้ำ’ ทำเป็นรูปช้าง หรือสิงห์ก็ไม่รู้ ดูปนๆ กันอยู่ สามารถลงไปถ่ายรูปคู่กับก๊อกน้ำที่ว่านี้ก็ได้ ส่วนในสระน้ำก็มีน้ำอยู่สีเขียวจัด มองไม่เห็นก้นสระ จึงเดาไม่ถูกว่าน้ำลึกหรือไม่ น้ำไม่ได้ถูกระบาย คงไม่สะอาดนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเน่าเหม็น ไม่มีขยะลอยฟุ้งอย่างสระน้ำที่ปาตัน

ในสมัยโบราณ สระน้ำแห่งนี้คงสวยงามมาก น้ำในสระคงใสแจ๋วน่าว่ายน้ำเล่น สายลมเย็นพัดเอื่อย ๆ

นอนแช่น้ำ จิบเครื่องดื่มเย็น ๆ คงเป็นความสุขที่หาใดเปรียบ…ไปถึงไหนแล้วนี่ ตื่นเถอะ ได้เวลาจากพระราชวังแห่งนี้ไปดูอย่างอื่นบ้างแล้ว

พวกเราย้อนกลับทางเดิม โผล่กลับออกมาทางทวารทอง พอพ้นทวารทองมา จะเห็นอาคารที่หลงเหลืออยู่ของพระราชวัง หลังจากแผ่นดินไหวในปี 1934 อาคารที่สำคัญคือ วัง 55 พระแกล (55 Windows Durbar)



อาคารแห่งนี้สร้างในศตวรรษที่ 18 อยู่ทางด้านขวาของทวารทอง ตัววังเป็นอิฐแดง ๆ ประกอบด้วยหน้าต่างไม้แกะสลัก ยังค้นไม่พบว่าทำไมต้องมีหน้าต่าง 55 บาน น้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้ไม่ได้หรือไง แต่ถ้าบริษัท Microsoft มาขอร่วมอนุรักษ์ คงเพิ่มหน้าต่างเป็น 95,98 หรือไม่ก็ 2000

ส่วนทางด้านซ้ายของทวารทองเป็นอาคารสีขาว หน้าตาดูใหม่ขึ้นมาเยอะเลย ปัจจุบันเป็นหอศิลป์แห่งชาติ (National Art Gallery) ทางเข้ามีหนุมาน และนรสิงห์ – พระวิษณุในปางสิงหาวตาร ยืนอยู่คนละข้าง อย่างเดียวกันกับ

ที่วังประตูหนุมานที่กาฐมาณฑุ พวกเราไม่ได้เข้าไปดูข้างในเพราะวันนี้ปิดทำการ

พวกเราคงไม่ถูกกับ Art Gallery สักเท่าไหร่ ไม่ได้ดูเลยสักแห่ง แต่ถ้าเปิด พวกเราคงมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องเข้าไปดูหอศิลป์อีกแน่ ๆ

อาคารแห่งนี้สร้างในสมัยรานา ประมาณศตวรรษที่ 19 สมัยรานาที่ว่านี้ เป็นสมัยที่กษัตริย์แห่งราชวงศ์ศาห์ มีฐานะเป็นเพียงกษัตริย์ในนาม อำนาจที่แท้จริงตกอยู่ในกำมือราชวงศ์รานา

เหตุการณ์ ‘กังฉินครองเมือง’ เกิดขึ้นเมื่อปี 1846 นายทหารชื่อ จังก์ บะหะดูร์ รานา (Jung Bahadur Rana) ฉวยโอกาสระหว่างที่มีการประชุมในกต (Kot – คลังสรรพาวุธ) จัดการสังหารหมู่เชื้อพระวงศ์ และขุนนางตงฉินเสียให้สิ้นซาก แต่ยังไว้พระชนม์ชีพของกษัตริย์ไว้ แล้วตัวเองก็ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวบอำนาจเอาไว้หมด แถมยังตรากฎหมายว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สืบทอดทางสายเลือดส่งต่อให้ลูกหลานได้อีก

แหม…ทำอย่างกะเป็นตัวแทน Amway หรือ A.I.A อย่างนั้นแหละ

ราชวงศ์รานาปกครองเนปาลอย่างเผด็จการ จนกระทั่งในวันที่ 18 ก.พ. 1951 พระเจ้าตรีภูวัณ ก็ทรงล้มล้างราชวงศ์รานาได้ บัลลังก์เนปาลก็กลับมาเป็นของราชวงศ์ศาห์โดยสมบูรณ์

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***

มาถึงตอนนี้ windows ไปไหนต่อไหนแล้ว คิดดูแล้วกันว่าเรื่องนี้โบราณแค่ไหน ยังใช้ windows รุ่นโบราณอยู่เลย

พอมาอ่านเรื่องที่ตัวเองค้นคว้ามาเมื่อแปดเก้าปีก่อน แล้วตกใจค่ะ นี่ฉันเคยตั้งอกตั้งใจค้นคว้าหาความรู้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ



Create Date : 19 กรกฎาคม 2553
Last Update : 19 กรกฎาคม 2553 22:13:01 น. 0 comments
Counter : 1025 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.