Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
 
 
23 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
Nepal ตอน 56 ไต่ภูผา หาสาระ

มองลงไปเบื้องล่าง บ้านเรือนและโรงแรมเรียงตัวกันอยู่ห่างๆท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี เราเห็นเกสท์เฮาส์น่ารักหลายแห่ง ปลูกดอกไม้สวยสด มีเก้าอี้สนามให้พักนั่งเล่นจิบกาแฟในสวนดอกไม้ด้วย เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างยิ่ง ถ้าแค่ผ่านมา และอาศัยแค่ซุกหัวนอนมันจะไปได้เรื่องอะไร

ศิวะพาพวกเราเดินไปบนถนนที่ถึงแม้จะมิได้ปูด้วยกลีบกุหลาบก็เป็นถนนหินมั่นคงเดินสบายเท้าไปยัง Annapurana Guest House

ทางเข้าเป็นชั้นสองของเกสท์เฮาส์ ล่วงพ้นประตูเข้าไปก็จะพบกับห้องอาหารเลย ส่วนห้องพักมีทั้งบนชั้นสองถัดจากห้องอาหาร และชั้นล่าง ที่ชั้นล่างมีสนามหญ้าหน้าห้องพัก มีเก้าอี้สนามให้นั่งเล่นด้วย บรรยากาศดีมาก

ห้องพักที่นี่ดีมาก ห้องหับสะอาดสะอ้าน ผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม เป็นสีขาวจริงๆเสียที ห้องน้ำมีอยู่ในตัวอาคารเลยสะอาดพอใช้ มีชักโครกด้วย ส่วนห้องอาบน้ำมีอยู่ที่ชั้นล่างนอกตัวอาคาร แต่ที่เริ่ดหรูเอามากๆก็คือ มีห้องระดับ VIP ที่มีห้องน้ำ Built in อยู่ในห้องพักเลย พี่น้อยกับพี่ป้อม และพี่เจกับพี่ก้อดได้พักห้องคู่แบบ VIP ที่ชั้นล่าง เป็นอันว่าพี่เจนอน(แต่ไม่ตาย) ตาหลับแล้ว คืนนี้เหมาะแก่การส่ง Fax เสียจริง ๆ

พี่ซิป พี่ป๋อ และพี่ปุ๊ได้ห้องพักที่ไม่มีห้องน้ำที่ชั้นบน แต่มีหน้าต่างสองด้าน มีวิวเป็นภูเขา มองลงไปเห็นทุ่งหญ้าสวยงามมาก บีม พิมและพี่อ้อที่อยู่ข้างๆได้ห้องที่มีหน้าต่างเพียงด้านเดียว ห้องน้ำก็ไม่มี เลยอยากจะขอเปลี่ยนกับสามหนุ่ม พี่ซิปเลยตาเขียวใส่

หนุ่มๆ ไม่ยอมแลกห้องด้วยเด็ดขาด เพราะพวกเขาไม่เคยได้ห้องพักดีๆ ลย ไม่เคยได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน มองไปทางไหนก็เจอแต่กำแพงราวกับถูกจับขังคุก พอวันนี้จะได้ห้องดีๆกับเขาบ้าง สามสาวยังมีหน้ามาขอเปลี่ยนอีก

เก็บข้าวเก็บของแล้ว เราก็ออกมารับประทานอาหารกลางวันกันที่ห้องอาหารของเกสท์เฮาส์ ไม่มีอีกแล้วโฉวเหมี่ยนจากนรกขุม 18 มีแต่อาหารอร่อย ๆ มีคุณภาพ ทั้งซุป พิซซ่าทูน่า เฟรนซ์ฟราย และถึงจะมีข้าวผัดก็ไม่ใช่ข้าวผัดวิญญาญไก่ แต่เป็นข้าวผัดรวมมิตรที่มีบัฟติดมาด้วย ซึ่งพวกเราที่กินเนื้อได้ไม่รังเกียจเลยจนนิดเดียว

กินข้าวเสร็จแล้วหลายคนสมัครใจหลบไปนอนพัก เดินไม่เหนื่อยนักก็จริง แต่คงเป็นเพราะเดินลงเร็วไปหน่อย เลยปวดหัว ส่วนคนที่ไม่มีอาการมึน ก็ออกไปเดินเล่นและถ่ายรูป แถวๆ เกสท์เฮาส์มีวิวสวยนักแถมยังมีวัดเล็ก ๆ ให้ไปเยี่ยมชมด้วย

พวกเรากลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อตามศิวะไปเยี่ยมชมโครงการพื้นที่อนุรักษ์อันนะปุรณะ (Annapurana Coversation Area Project หรือ ACAP) ที่ทำการของ ACAP ตั้งอยู่บนชะง่อนหินด้านหลังของหน่วยสุขภาพ เดินลงจากที่พักของเราไม่ไกล

ระหว่างทางไป ACAP เราก็พบกับพี่ๆกลุ่มที่เราพบที่บักตะปูร์ กำลังนั่งพักอย่างสบายอารมณ์ที่เกสท์เฮาส์แห่งอื่น เราหยุดแวะทักทาย ต่างคนต่างก็พร่ำบ่นถึงความยากลำบากระหว่าง Trekking คุยกันครู่เดียวก็โบกมือลา อวยพรให้โชคดีกันทั้งสองฝ่าย

เรามาทันเวลาฉายสารคดีของ ACAP พอดี ห้องฉายสารคดีเป็นห้องประชุมมีโต๊ะขนาดนั่งล้อมได้สัก 20 ที่เหนือห้องประชุมมีพระบรมสาทิศลักษณ์ของพระเจ้าพิเรนทราและพระราชินีไอศวรา เช่นเดียวกับสถานที่ราชการอื่น ๆ ทั้งสองพระองค์ดูพระทัยดี และมีเมตตามาก

โทรทัศน์สำหรับฉายวีดีโอสารคดี ขนาดเล็กแค่ 14 นิ้ว นั่งไกลหน่อยก็แทบมองไม่เห็นอะไร วันนี้มีคนมาเยี่ยมชมที่ทำการของ ACAP มากจนที่นั่งไม่พอ หลายคนต้องยืนดู

สารคดีของ ACAP บอกให้เรารู้ว่า เนปาลประสบปัญหาขยะที่มากับการท่องเที่ยว ไหนจะกระดาษชำระ ห่อคุ้กกี้ และขยะที่ย่อยสลายยากถูกทิ้งเกลื่อนกลาดระหว่างทางเดินเขา ระบบสาธารณสุขที่ไม่ได้มาตรฐาน ปัญหาเรื่องน้ำดื่มเป็นพิษ และ ACAP ก็ได้ให้ความรู้แก่เจ้าของโรงเตี๊ยมต่างๆในการสร้างส้วม การทำหลุมขยะ ทำให้ชะลอความรุนแรงของปัญหาไปได้บ้าง

สารคดีเป็นภาคภาษาอังกฤษ สาระก็มากแถมไม่มีซับไตเติลไทย ต้องสารภาพว่ามีบางคนหลับไปแล้ว ในตอนท้ายของสารคดี พระเจ้าพิเรนทราทรงตรัสถึงโครงการ ACAP ด้วย เหมือนว่าเราได้เข้าเฝ้าแล้วยังไงยังงั้น

ดูสารคดีจบแล้ว พวกเราก็ออกมาชมวิวกันนอกที่ทำการ ด้านนอกมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์อยู่บนหน้าผา เป็นจุดชมวิว และถ่ายภาพที่ดีมาก สามารถมองเห็นอันนะปุรณะเซาท์ หิอุนจุลี มัจฉาปูชเร และหุบเขาโมดีโขลา (Modi Khola) หนังสือท่องเที่ยวว่าเอาไว้อย่างนี้ แต่เรามองไม่เห็นชัดนัก

หน้าผาไม่มีการล้อมรั้วกั้น ใครกลัวความสูงก็ออกจะแสยงยอกอยู่ไม่น้อยเมื่อไปยืนอยู่แถวนั้น เวลาจะถ่ายรูปก็เลยต้องถอยเข้ามาในแผ่นดินมากหน่อยไม่กล้ายืนริมผา

ศิวะบอกว่าจะเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับที่นี่ก็ได้ แต่เราผ่านความทุกข์ระทมมาหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องเสียเงินตอนนี้

ออกจากที่ทำการของ ACAP แล้วเราก็ยังไม่กลับที่พัก ศิวะพาพวกเราไปพิพิธภัณฑ์ของชนเผ่ากุรุง เดินไปไม่ไกลก็ถึง
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นบ้านแบบโบราณที่จำลองชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่ากุรุงไว้ ค่าเข้าชมคนละ 30 รูปี คิดเป็นเงินไทยเพียง 18 บาทเท่านั้น



ภัณฑารักษ์หรือเจ้าของพิพิธภัณฑ์เสียก็ไม่รู้เป็นคุณยายแก่ๆเดินออกมาเก็บเงินเสร็จก็กลับไปทำงานของแกต่อ อยากดูอะไรก็ดูกันเอง แกไม่อธิบายให้ฟัง

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ดูไม่เป็นทางการ ด้านหน้ายังมีกองฟืนที่ผ่าค้างเอาไว้อยู่เลย มีเปลเด็ก พร้อมเจ้าหนูตัวน้อยแก้มแดงจนแทบปรินั่งเล่นรอแม่อยู่ด้วย

ศิวะเปิดไฟ พาพวกเราเข้าพิพิธภัณฑ์ (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือบ้านของคุณยาย) เดินเข้าไปแล้วอึดอัดเพราะเพดานเตี้ย ส่วนพื้นบ้านเป็นดินอัดจนแน่น

สิ่งที่จัดแสดงก็คือข้าวของเครื่องใช้ประจำวันที่ทุกวันนี้ชาวบ้านก็ยังใช้กันอยู่ ถ้วย ชาม คนโท หม้อน้ำ อาวุธ เสื้อผ้า เตียงนอน กังหันน้ำจำลอง เปลเด็กจำลอง ที่เด็ดก็คือร่มไม้ไผ่สานที่คล้ายปีกกระด้งของกระหัง เวลาใช้ก็เอาสวมหัวบังได้ทั้งตัว ไม่มีใครบอกได้ว่ากระหังได้ประดิษฐ์ปีกตามแบบร่มของชาวกุรุงหรือไม่

“ดูทำไมเนี่ย เดินผ่านมาก็เห็นถมไป เสียดายเงิน เปลืองเวลา” พิมบ่น

“แค่สิบแปดบาทเองพิม” พี่อ้อว่า

เออพิมก็ลืมไป ที่จริงแล้วการมีพิพิธภัณฑ์เป็นสิ่งดี ทำให้มนุษย์รู้จักรากเหง้าของตัวเอง เมื่อเวลาผ่านไปลูกหลานก็ยังพอมีภาพอดีตเหลือไว้ให้ภาคภูมิใจ

ไหนๆก็มาถึงบ้านเขาแล้ว มาทำความรู้จักกับชาวกุรุงกันเสียหน่อย ชาวกุรุงเป็นชนภูเขาที่มักจะตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่เขาระดับกลาง ประกอบอาชีพทำไร่และเลี้ยงสัตว์ และมักจะลงไปสมัครเป็นทหารกุรข่าด้วย

ชาวกุรุงมีโหนกแก้มสูงเป็นญาติๆกับชาวทิเบตเลยดูออกจีนๆ ไม่เหมือนแขก พวกเขานับถือศาสนาพุทธ จะเห็นได้ว่ามีรูปของพระพุทธเจ้าประดิษฐานไว้บูชา เหมือนที่บ้านเรามีพระพุทธรูปบนหิ้งพระหรือในห้องพระ

พิพิธภัณฑ์เล็กนิดเดียว ข้าวของก็ไม่ได้มากมายนัก ใช้เวลาชมอยู่ไม่นานพวกเราก็กลับกัน ขากลับเมื่อยนัก ด้วยว่าต้องปีนกลับ

กลับถึงที่พักหลายคนก็ควักขนมมากิน พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว เสบียงยังเหลืออยู่เลย กินเสียให้หมด กะว่าพรุ่งนี้กลับถึงแน่นอน

ก่อนจะรับประทานอาหารเย็น พวกเราก็ต้องอาบน้ำกันก่อน วันนี้แสนจะสบาย ใช้ห้องน้ำในห้องพักได้ด้วย แต่ช้าก่อน…

เฮ้อ…มันควรจะสบายอยู่หรอก ถ้าไอ้น้ำเย็นที่เราฝากเอาไว้เมื่อวานนี้ มันจะไม่มาตามเราเจอในวันนี้ แถมวันนี้มันมาของมันฝ่ายเดียว ผลักไสน้ำร้อนไปเสียลิบโลก ไม่ให้อยู่เห็นใจพวกเราเลย

น้ำร้อนของที่นี่ต้มด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ แต่เมื่อวานนี้มีฝนตก วันนี้แสงแดดก็อายท้องฟ้า เราก็เลยไม่มีน้ำร้อนอาบ

พวกเราต้องทนอาบน้ำทั้งที่หนาวยะเยือก ยามที่น้ำกระทบผิวกายช่างบาดเนื้อตัวเสียนี่กระไร ขนลุกจนตุ่มขนพองไปหมด พิมคิดถึงน้ำร้อนเมื่อวานจับใจ ทีเมื่อวานล่ะก็ร้อนแทบสุก แหม…อยากได้น้ำร้อน น้ำร้อนก็มา อยากหาน้ำเย็น น้ำเย็นก็มา แต่มากันคนละวัน

เรื่องสระผมเป็นอันว่าต้องลืมไปเสีย แต่คนที่ลืมเรื่องอาบน้ำไปด้วยก็ได้แก่พี่ป๋อ ไม่ว่าเพื่อนๆจะขอร้อง กราบกราน ขับไล่ ให้ไปอาบน้ำอย่างไร พี่ป๋อก็ไม่ยอม เขาว่าอากาศเย็น ไม่เหม็นหรอก ไม่อาบน้ำสักวันจะเป็นไรไป เอ่อ… เช้าก็ไม่อาบทีนึงแล้วนะ

น่าสงสัยว่าศิวะจะนำถุงนอนไปทำความสะอาดหลังจากจบทริปนี้หรือไม่ สงสารคนที่ต้องใช้ถุงนอนต่อจากพี่ป๋อจริงๆ จะเหม็นและคันเพียงใดกันหนอ
วันนี้เป็นวันสบายๆ ตกค่ำเราก็รับประทานอาหารและคุยกันถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา เสียหัวเราะฮาๆดังเกรียวกราว แต่ใครจะหัวเราะได้เหมือนต้นฉบับเท่าพี่เจ

หลังจากนั้นแล้วใครจะอยู่คุยกันต่อ หรือเล่นไพ่ก็ตามใจ ใครที่ยังมึน ๆ อยู่ก็หลบไปนอนก่อน ใครรู้สึกป่วยนิดก๋ขอพาราเซตจากพี่อ้อ ทริปนี้พวกเรากินพาราเซตกันอย่างกับกินขนมหวาน แล้วเรื่องราวในวันนี้ก็จบลงอย่างราบรื่นเพียงเท่านี้

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***

ขอหมายเหตุแบบเศร้าสลดว่า หลังจากเรากลับมาจากเที่ยวเนปาลไม่นาน ก็เกิดเรื่องเศร้าสลดกับราชวงศ์เนปาลค่ะ



Create Date : 23 สิงหาคม 2553
Last Update : 23 สิงหาคม 2553 22:47:07 น. 2 comments
Counter : 930 Pageviews.

 
อ๊ะ..ทิ้งท้ายแบบชวนรู้มาก ไม่รู้ข่าวเลยค่ะ ราชวงศ์เนปาลมีอะไรฤา?

เขียนละเอียดดีค่ะ ถ้ามีรูปประกอบอีกนิดจะได้ปะคะ แหะๆ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:11:13:51 น.  

 
ดีใจคุณสาวไกด์ใจซื่อแวะมาเยี่ยมเยียน

ข่าวราชวงศ์เนปาล เป็นข่าวนานมากแล้วค่ะ ประมาณ 9 ปี พอๆกับที่คนเขียนไปเที่ยวเลย

เป็นเรื่องการสังหารหมู่โดยมกุฎราชกุมารทิพเพนทรา

มีหนังสือ และสารคดีเล่าเรื่องนี้อยู่หลายเล่ม หลายเรื่องเชียวค่ะ

ค่อนข้างหดหู่ค่ะ

เฮ้อ...ทำไมเราถึงมีรูปน้อยอย่างนี้นะ จะพยายามนะคะ


โดย: ชัชชมนต์ วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:21:08:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.