|
Nepal ตอน 12 ปศุปตินาถ
รถตู้พาพวกเราเดินทางต่อไป อากาศภายนอกค่อนข้างร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แอร์ก็ไม่มี (แอร์กี่ก็ไม่มีนะ สาว ๆ ทริป นี้ ยังเอ๊าะกันอยู่ทุกคน) ตั้งแต่อาหารเช้ามา เรายังไม่ได้ดื่มน้ำกันเลย สภาพตอนนั้นเกือบจะแห้งตายอยู่แล้ว เลยขอให้รถแวะจอดข้างทางเพื่อซื้อน้ำดื่ม
ในฐานะที่พิมรับหน้าที่เป็นเหรัญญิก พิมก็ต้องรับหน้าที่สาวใช้ไปด้วยโดยปริยาย ต้องลงจากรถไปเสี่ยงภัยให้รถใหญ่น้อยที่ผ่านไปผ่านมาเห็นสะโพกเป็นที่จอดรถ โดยมีพี่ก้อดที่แสนดีตามลงไปช่วยหิ้วน้ำดื่มด้วย
พี่ก้อดกับพิมเข้าร้านขายของชำแถว ๆ นั้น เห็นมีน้ำอัดลมชนิดกระป๋องขายด้วย ก็ตั้งใจซื้อไปฝากเพื่อน แต่พอรู้ราคาแล้ว ก็เก็บรูปีไว้ดีกว่า น้ำอัดลมชนิดขวดแค่ 12 รูปี อย่างกระป๋องปาเข้าไป 40 รูปี เพราะเป็นสินค้านำเข้า อ่านฉลากออกรู้เรื่องโดยไม่ต้องใช้ล่ามราวกับโกหก เพราะมันอ่านว่า ผลิตโดยบริษัทไทยน้ำทิพย์
พี่ก้อดตัดสินใจดื่มโค้กชนิดขวดเพียงคนเดียว คนที่รอในรถไม่ได้ดื่มโค้กเย็นเจี๊ยบ อยากไม่ลงมาด้วยนี่ ก็ต้องดื่มน้ำแร่ ของตาย ไปตามระเบียบ
เห็นร้านนี้เขามีหลอดกาแฟด้วย พิมเลยเอ่ยปากขอหลอด 10 อันครบคนเสียเลย ลุงคนขายเขาเบิ่งตาฉงนว่าทำไมเรียกร้องมากมายอย่างนั้น แต่แกไม่ว่าอะไรฉีกถุงหลอดใหม่เอี่ยมหยิบหลอดมานับ 10 อัน แต่ดั๊นวางไว้บนโต๊ะ แล้วมันจะสะอาดได้ยังไง
ถึงเวลาคิดเงิน หลอด 10 อันนั้น แกขายในราคา 4 รูปี พี่ก้อดบอกว่านึกแล้วเชียว ไม่มีทางให้ฟรี ๆ หรอก
หลอดกาแฟเนปาลคุณภาพแย่มาก ต้องจับด้วยความทะนุถนอมประหนึ่งเป็นเด็กทารกแรกเกิดก่อนกำหนด มิฉะนั้นหลอดจะบี้แบน และแหลกราญ
Tip : ควรพกหลอดกาแฟมาเนปาล ด้วย ไม่ต้องซื้อก็ได้ จิ๊กมาจากร้าน Mc Donald จะได้หลอดแข็งดีมีคุณภาพ ดูดแล้วมีความสุข ไม่เครียด ไม่หงุดหงิด
กลับขึ้นรถมาได้ พี่ก้อดก็ถามหาทิชชู่ชนิดเปียก เอามาบรรจงเช็ดแว่นกันแดดด้วยความร้าวรานใจ ล้างไม่ออก...ล้างไม่ออก เชื่อเถอะว่าความสกปรกยังฝังแน่นอยู่ Wet One อาจช่วยให้กลิ่นดีขึ้นบ้าง สกปรกน้อยลงบ้าง แต่ยังสกปรกอยู่แน่นอน
ตัวพี่ก้อดไม่ได้ตกท่อหรือกองขยะไปหรอก แต่ก่อนจะขึ้นรถ แว่นกันแดดสุดเท่ห์ของพี่ก้อดหล่นปุ๊ลงทั้งในท่อและกองขยะ เพราะเป็นท่อที่มีขยะลอยอืดเต็มไปหมด ไม่ใช่ขยะธรรมดาเสียด้วย มันคือกองขยะสุดโสโครกอันเลื่องชื่อแห่งนครกาฐมาณฑุ ถ้าไม่ติดว่าแว่นกันแดดแพง พี่ก้อดคงทิ้งอย่างไม่ใยดีแล้ว
พี่ก้อดต้องเสียเวลาคีบแว่นมาทิ้งไว้บนรถก่อน แกยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรกับแว่นกันแดดของแกดี
Tip : การถือ Official Passport ไม่สามารถป้องกันการทำแว่นกันแดดตกท่อ หรือกองขยะได้ เอ...เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย ไม่เกี่ยวใช่ไหม อย่ากอดอกสิพี่ก้อด
ใช้เวลาไม่นานนักรถก็พาพวกเรามาถึงปศุปตินาถ เส้นทางดีตามมาตรฐานเนปาล คือไม่ขรุขระมากนัก แต่ฝุ่นกับควันนี่ขาดไม่ได้
ทางเข้าไปปศุปตินาถ มีร้านค้าขายสีฝุ่นที่ใช้ในเทศกาลปีใหม่ของเนปาล เทศกาลนี้อยู่ในช่วงเดียวกันกับสงกรานต์บ้านเรา ของเราสาดน้ำกัน ของแขกเขาสาดสีใส่กัน สีฝุ่นที่วางขายสีจัดจ้าน มีสารพัดสี ดูแล้วมีชีวิตชีวามาก แต่ถ้าโดนสาดใส่ น่าจะล้างออกลำบาก
การเดินเข้าไปชมปศุปตินาถ ไม่ต้องอาศัยเรี่ยวแรงขึ้นเขาสูงชันอย่างสวยมภูวนาถ ค่อยยังชั่วหน่อย
ปศุปตินาถเป็นวัดฮินดูแท้ ๆ สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระศิวะ ปศุปติ หรือปศุบดี คือ พระศิวะในอวตารเทพแห่งเวไนยสัตว์ มีลึงค์เป็นสัญลักษณ์ เป็นเทพเจ้าที่อำนวยพรให้ลูกดก ช่างเป็นปฏิปักษ์กับคุณมีชัย
วัดนี้ไม่อนุญาตให้คนนอกศาสนาฮินดูเข้า เราทำได้เพียงมองวัดจากเชิงเขาฝั่งตรงข้าม
ปศุปตินาถตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบาคมาตี แนวแม่น้ำมีเชิงตะกอน (Ghat) วางเรียงราย ขณะที่เราไป แขกเขาก็กำลังทำพิธีเผาศพกันอยู่ ที่จริงแล้วจะมาตอนไหน ก็คงเจอ เพราะเขาเผากันที่นี่ทุกวัน
เห็นวิธีการเผาของเขาแล้วก็อดกลัวไม่ได้ เพราะเขาเผากันเห็นจะ ๆ บนเชิงตะกอน ที่เอาฟืนสุม ไม่มีเตาเผาอย่างบ้านเรา
ศพจะถูกมัดตราสังข์ด้วยผ้าสีเหลือง พวกเราไม่กล้าเข้าไปดูใกล้ ๆ ว่าเขามัดแน่นหนาเพียงใด และทำพิธีอะไรกันบ้าง แค่นี้ก็สยองนักหนาแล้ว ต้องรีบเผ่นข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้ามให้เร็วที่สุด ถึงจะอยากรู้อยากเห็นแค่ไหน เรื่องนี้ก็ต้องขอผ่าน
ควัน และขี้เถ้า ฟุ้งกระจาย มาจากศพทั้งนั้น เผาเสร็จแล้วทำอย่างไรต่อ เถ้ากระดูกที่เหลือก็จะถูกโปรยลงสู่แม่น้ำบาคมาตี ซึ่งเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิที่ไหลไปบรรจบกับแม่น้ำคงคา
สภาพ (สิ่งที่เรียกว่า) แม่น้ำบาคมาตีที่พวกเราเห็น แทบไม่มีน้ำเหลือติดอยู่เลย จะเรียกว่าคลองก็ดูจะให้เกียรติมากเกินไป จะให้ไหลไปรวมกับแม่น้ำคงคาด้วยเนี่ยนะ
สมการข้อนี้คิดให้สมองแหกก็หาคำตอบไม่ได้ว่าจะทำได้อย่างไร
ศิวะอธิบายให้ฟังว่า เชิงตะกอนที่นี้เขามีแบ่งเกรดกันด้วย ต้น ๆ น้ำใกล้ ปศุปตินาถ เป็นเชิงตะกอนของราชวงศ์ ถัดจากนั้นจะเป็นเชิงตะกอนระดับ VIP ท้ายแถวถึงจะเป็นเชิงตะกอนของคนเดินดินกินโรตี
ศิวะเล่าต่อไปว่า ที่นี่ก็เหมือนกับแม่น้ำคงคาในอินเดีย ที่มี เรือนพักรับรอง (รับรองว่าตายชัวร์) เป็นตึกเอาไว้นอนรอความตาย พอตายสนิทดีแล้วก็เผาได้เลยไม่ต้องขนย้ายศพให้ยุ่งยาก ค่าที่พักไม่ต้องเสีย แต่อาจทำบุญได้ตามกำลังศรัทธา
ส่วนค่าเผาศพ 1,200 รูปี ไม่มีพลัสนั่นพลัสนี่ ไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม คิดเป็นเงินไทยตกประมาณ 720 บาท นับว่า ประหยัดดี ไม่ยุ่งยากเหมือนจัดงานศพบ้านเรา
พิธีศพของชาวฮินดูในเนปาลต้องทำให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมงนับตั้งแต่สิ้นชีวิต ดังนั้นรถขนศพจะได้รับสิทธิพิเศษมาก
ศิวะเล่าว่าที่นี่รถประเภทแรกที่รถคันอื่นต้องหลบให้คือ รถดับเพลิง ลำดับต่อมาคือรถพยาบาล จากนั้นก็เป็นรถขนศพนี่แหละ ไม่เลือกว่าเป็นศพใคร ยากดีมีจนเพียงไร อันดับสี่ถึงจะเป็นรถของพระมหากษัตริย์หรือราชวงศ์
ที่เชิงเขาฝั่งตรงข้ามปศุปตินาถ พวกเราพบฤาษีหลายรูป เห็นเด็กๆ เรียกว่า บาบา ผมเป็นสังกะตังยาวเฟื้อยเลื้อยลงดิน หนวดเคราเฟิ้ม ชาตินี้ไม่เคยรู้จักมีดโกน ฤาษีพวกนี้เขาเต็มใจต้อนรับนักท่องเที่ยว เขาชอบใจมากที่ฝรั่งรุมขอถ่ายรูป
*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***
แอบกระซิบว่าตอนต่อไปติดเรตค่ะ อิอิ
Create Date : 02 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 3 กรกฎาคม 2553 13:15:10 น. |
|
1 comments
|
Counter : 2503 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Ezy-SeaHill วันที่: 5 กรกฎาคม 2553 เวลา:9:31:39 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ
ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ
งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ
|
|
|
|
|
|
|
|