Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 
8 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 

Nepal ตอน 17 วัดกฤษณะ แห่งปาร์ตัน

หลังจากนั้นศิวะก็พากลับมายังดะระบาร์สแควร์ที่พวกเราละเลยไปเพราะเห็นแก่กินมื้อกลางวัน ที่จตุรัสมีวัด และโบราณสถานเต็มไปหมด เหมาะแก่การถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

โบราณสถานเต็มจตุรัส ให้แยกว่าวัดไหน เป็นวัดไหน ต้องบอกว่าไม่มีปัญญาจริง ๆ ถ้าคุณศิวะเขาหลอก หรืออธิบายผิด พวกเราก็ไม่มีทางรู้ได้ ที่จริงแล้วถ้าไม่ขี้เกียจดูแผนที่ก็พอจะรู้เรื่อง

วัดที่มีเรื่องพอจะให้เขียนถึงได้หน่อยก็คือวัดกฤษณะ หรือคริชนะมันดีร์ (Krishna Mandir) วัดนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระกฤษณะ ซึ่งเป็นอวตารหนึ่งของพระนารายณ์ หรือพระวิษณุ วัดนี้ไม่อนุญาตให้คนนอกศาสนาฮินดูเข้า พวกเราทำได้เพียงเดินดูรอบ ๆ วัดเท่านั้น

พระกฤษณะเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก ปรัชญา นักปกครอง และครูที่ดี เรื่องราวของพระกฤษณะจะปรากฏอยู่ในมหากาพย์มหาภารตยุทธ ที่คนเนปาลเขาเรียกว่ามหาบารัต บนกำแพงวัดแห่งนี้ก็สลักเรื่องราวของมหากาพย์มหาภารตยุทธไว้

พระกฤษณะเป็นคนเลี้ยงวัวหรือโคบาล เพราะฉะนั้นเราจะเห็นภาพพระกฤษณะขี่วัว และที่ลืมไม่ได้ก็คือต้องเป่าขลุ่ยด้วย

ศิวะบอกว่าพระกฤษณะทรงเจ๋งมาก มีชายาได้ถึง 1,600 นาง น่าทึ่ง แต่ไม่น่าเอาอย่าง

1,600 คน คุณพระ ! จะทำมาหากินอย่างไรถึงจะเลี้ยงไหว มิต้องไปขายยาบ้ากันล่ะหรือ

ถ้ากลับกันให้ภรรยาหาเลี้ยงน่าจะดี ปิดประตูจนได้เลย แค่แต่ละนางจ่ายค่าส่วยคนละ 100 บาทต่อเดือน คุณสามีก็จะมีเงินเดือนปาเข้าไป 160,000 บาทแล้วนะ หักค่าประกันสุขภาพแล้วก็ยังเหลือพอใช้ถมไป

แต่ 1 ปีมีแค่ 365 – 366 วัน คิดง่าย ๆ 350 วัน อีกสิบกว่าวันเอาไปประกอบภารกิจอย่างอื่น หรือพักผ่อนบ้าง ต้องใช้เวลาถึง 5 ปีเชียวนะถึงจะไปเยี่ยมภรรยาครบทุกคน

20 ปี จะเจอสามี 4 – 5 หน อย่างนี้เป็นม่าย หรือขึ้นคาน ก็ไม่ต่างกันนักหรอก

ผ่านเรื่องปัญหาครอบครัวไปเถอะ กลับมาที่จตุรัสอีกที สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตก็คือ เสาสูงที่มีรูปปั้นของกษัตริย์ คล้าย ๆ กับสฟิงซ์ที่มีหน้าเป็นฟาโรห์ของอียิปต์ เสาแบบนี้มีอยู่ทั่วไปในเนปาล ที่ปาตันนี้มีเสาสลักรูปพระเจ้าสิทธินรสิงห์มัลละ (Siddhi Narasingha Malla) ทรงภาวนาอยู่

พิมถามศิวะว่า ใครกันบ้างอยู่บนเสา เขาก็อ้ำอึ้ง จำไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็น King องค์หนึ่ง อยากรู้ก็ต้องเปิดหนังสืออ่านเอาเอง

ศิวะเขาคงบ่นอยู่ในใจว่า พิมจะเป็นผู้หญิงอยากรู้ไปถึงไหน คำถามพวกนี้มันออกข้อสอบหรืออย่างไร ถึงได้อยากรู้นัก
อีกที่ที่ควรเข้าไปชมก็คือพระราชวังปาตัน ที่นี่มี Royal Bath หน้าตาดูดีกว่าสระน้ำที่เราเพิ่งดูมา แต่ก็ไม่มีน้ำอีกเหมือนกัน

พระราชวังนี้ ปัจจุบันมีส่วนที่ถูกจัดไว้เป็น Art Gallery ค่าเข้าชมคนละ 120 รูปี ถึงตอนนี้หลายคนงอแง ไม่อยากเข้าไปดูอีกแล้ว เพราะเอียนศิลปะแบบเนปาลเต็มทีแล้ว เงินแค่ 72 บาทไทย ก็อยากเก็บไว้หยอดกระปุก



ปรากฏว่าวันนี้เป็นวัน Electricity Holiday หรือวันหยุดสำหรับไฟฟ้าไม่มีไฟ ก็เป็นอันว่ามองไม่เห็น สีหน้าพี่ก้อดแช่มชื่นอย่างเห็นได้ชัด แกดีใจมากที่ไม่ต้องถูกบังคับให้ดูวัตถุโบราณอีกแล้ว

ในเนปาล ทรัพยากรต่าง ๆ มีจำกัด จนต้องมี Holiday สำหรับสิ่งต่าง ๆ Electricity Holiday นี่บ่อยเชียว บางทีก็ Water Holiday Milk Holiday ก็ยังมีเลย อะไรขาดแคลนก็ Holiday ขัดตาทัพกันไปก่อน

ได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า (ตามอย่างฮินดูเขาสักหน่อย) ว่าอย่าได้ Holiday กันเลยยามเรายังอยู่ในเนปาล

เมื่อไม่ได้ดูก็ไม่ต้องเสียเงิน แค่ถ่ายรูปในลาน เจ้าหน้าที่เขาไม่ว่าอะไร ศิวะอธิบายให้ฟังว่าแท่นที่เห็นอยู่กลางลานนั้น คือที่ประกอบพิธีบูชายัน (อืม…บูชากันยันเลย) ตัดหัวแพะเลือดสาดกันในสมัยโบราณ

ศิวะยืนยันแน่นหนาว่าไม่มีการบูชายันคนเลยจริง ๆ (น่าจะให้ใช้หัวเป็นประกันด้วย) จะเชื่อศิวะดีไหมล่ะ เขาเคยเกิดในสมัยโบราณหรืออย่างไร ต่อให้มีการบูชายันด้วยคนจริง ๆ ใครเลยจะรู้ได้

มาถึงตอนนี้เวลาก็บ่ายคล้อยไปมากแล้ว สมควรไปกันได้เสียที ที่จริงแล้วปาตันมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ถ้าดูจากแผนที่ จะรู้ว่ายังมีอีกหลายแห่งที่เรายังไม่ได้ไปดู เราเพียงแต่เดินรอบ ๆ ดะระบาร์แสควร์เท่านั้น เมืองเขาเบ้อเริ่มเทิ่ม มีวัดทั้งพุทธ และฮินดู เทวาลัย แถมสวนสัตว์ และศูนย์อพยพชาวทิเบตอีกด้วย ถ้าจะดูให้หมดคงต้องใช้เวลาหลายวัน

ชมวัดแค่นี้หลายคนยังแทบทนไม่ได้ พี่ป้อมบอกว่าเบื่อเต็มที อยู่บ้านยังไม่ค่อยได้เข้าวัดเลย กลับบ้านไปพี่ป้อมคงไม่เข้าวัดอีก เพราะหมดโควต้าประจำปีแล้ว

จบจากทัวร์เมืองปาตัน โปรแกรมสำหรับวันนี้ก็ยังไม่จบ รถตู้พาพวกเราไปส่งใกล้ ๆ กาฐมาณฑุดะระบาร์แสควร์ การเข้าชมที่นี่ไม่มีการเก็บค่าผ่านประตู
ระหว่างทางที่เดินไปชมดะระบาร์สแควร์มีโปสการ์ดวางขาย ราคาเพียงใบละ 8 รูปี ไม่ต้องเสียเวลา และน้ำลายต่อราคาด้วย

Tip : ควรซื้อโปสการ์ดที่กาฐมาณฑุดะระบาร์แสควร์ เพราะ (คาดว่า)ราคาถูกที่สุดแล้วในเนปาล ประหยัดได้ใบละ 2 รูปี เกือบ 5 สลึง เงินที่ประหยัดได้ อาจนำไปก่อร่างสร้างตัวจนเป็นเศรษฐีได้ในอนาคต

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2553
0 comments
Last Update : 8 กรกฎาคม 2553 21:12:18 น.
Counter : 888 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.