Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
 
 
21 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
Nepal ตอน 54 สาวน้อยแห่งทาดาปานี

หน้าเกสท์เฮาส์มีโต๊ะ เก้อดอี้จัดวางให้นั่งพัก บรรยากาศดี มีหญิงสาวคาดว่าเป็นชาวไต้หวัน กำลังเขียนไดอารี่อย่างสบายอารมณ์ เธอเก่งมากที่มาเที่ยวแค่ตัวคนเดียว มีคนนำทางมาด้วยอีกหนึ่งคน

เรานั่งเล่นอยู่ไม่ได้นาน ก็ต้องย้ายเข้าไปในห้องอาหารแทน เพราะอากาศเย็นมาก ห้องอาหารของเกสท์เฮาส์ไม่ใหญ่นัก โต๊ะก็มีไม่มาก แต่มีโต๊ะสีเหลี่ยมตัวใหญ่ให้นั่งล้อมวงกินข้าวได้สัก 20 คน ด้วย พวกเรามากันตั้ง 10 คน ก็ต้องรีบไปจับจองมุมหนึ่งของโต๊ะตัวนี้

อีกมุมหนึ่งของโต๊ะมีฝรั่ง 4 – 5 คน กำลังคุยกันสนุกสนานและเจริญอาหารมาก ทั้งๆ ที่อาหารตรงหน้าของพวกเขาดูไม่อร่อยเอาเสียเลย เป็นข้าวมีกับข้าวเป็นผักใบเขียวคล้ายๆ ผักโขมต้มใส่มาในถาดทองเหลือง น่าจะเป็นอาหารพื้นเมือง แถมยังเป็นอาหารมังสวิรัติด้วย แค่เห็นพวกเราก็รู้ว่าไม่มีทางถูกปากพวกเราแน่ๆ แต่ฝรั่งพวกนี้เรียกเติมข้าวอยู่หลายรอบ หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ไม่ได้ส่ออาการว่าถูกบังคับให้กิน พวกเขาช่างลุย และอยู่ง่ายกินง่ายเสียจริง นี่เป็นข้อดีที่คนไทยควรเอาอย่าง (แต่เราก็ไม่ได้เอาอย่าง)

ศิวะบอกว่าเกสท์เฮาส์แห่งนี้จัดได้ว่าดีและดังในย่านนี้ อาหารก็อร่อยเหมาะสมกับลิ้นของพวกเรา นับว่าโชคดีมากที่จองได้ที่พักที่นี่
อากาศหนาวนัก ก็ต้องแก้หนาวด้วยซุปร้อนๆ ซุบที่ฮิตมากๆ ยามนี้คือ Noodle Soup หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้ม ที่ไม่มีเนื้อหรือผักร่วมชามด้วยเลย

พิโธ่เอ๋ย ข้ามฟ้ามาตั้งไกล ผลสุดท้ายก็กลับมาตายรัง คาชามไวไวนี่เอง
หลังจากห่างหายเหมือนโกรธกับอาหารทะเลมาหลายวัน จนเราเริ่มอุปาทานว่ากำลังจะขาดไอโอดีนจนเป็นโรคคอหอยพอกอยู่นั้น ที่นี่ก็มีอาหารทะเลให้กิน จะอะไรเสียอีกล่ะก็ทูน่ากระป๋อเอามาทำ พิซซ่าทูน่า แซนวิชด์ทูน่าหรือข้าวผัดทูน่า ก็พอจะช่วยแก้โรคคิดถึง ‘สมบูรณ์โภชนา’ ไปได้บ้าง

“พิมนี่อะไรน่ะ ลาซักน่า พิมรู้จักไหม” พี่ป๋อถามพิม กะว่าไอ้ ‘ลาซักน่า’ นี้ต้องเป็นอาหารพื้นเมืองแน่ ๆ เลย พิมอ่านหนังสือมาเยอะอาจจะรู้ก็ได้

“ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยิน ไหนเอาเมนูมาดูซิ” พิมรับเมนูมาจากพี่ป๋อ แว่บเดียวพิมก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“พี่ป๋อ พิมว่ามันคือลาซานย่านะ ฮ่ะๆๆ”

“เดี๋ยวก็ได้กินลานซักผ้าหรอก” พี่ก้อดว่า

‘LASAGNA’ ก็พิมพ์ถูกแล้วนี่ เอาเถอะถึงพี่ป๋อจะหน้าแตก แต่ลาซานย่าก็ไม่ทำให้ปากแตก สั่งก็ได้วะ

“บีมเอา Sneaker Roll” บีมสั่งเมนูแปลก ๆ บ้าง

“เราว่ามันเป็นของหวานนะบีม มันต้องเป็น Sneaker ห่อแป้งมาแหงๆ เลย” พิมแย้ง แต่บีมมั่นใจตัวเองเกินกว่าจะเชื่อพิม

แล้วเป็นไงล่ะ พอ Sneaker Roll มาถึง มันเป็นเปาะเปี๊ยะไส้ Sneaker จริงๆ น่ะสิ แต่…อร่อยชะมัด

“เห็นไหมล่ะ บอกไม่เชื่อ” พิมว่าพลางตัก Sneaker Roll ใส่ปาก
“แล้วกินไหมล่ะ ถ้าเราไม่สั่งจะรู้ไหมว่ามันอร่อย” บีมลำเลิกเสียเลย ก่อนจะสั่ง Noodle Soup มากินกันตาย เลิกแล้วเมนูแปลก ๆ

เมนูบังเอิญอย่าง Sneaker Roll กลายเป็นเมนูเด็ดที่ต้องสั่งซ้ำ บางครั้งเรื่องที่เราไม่ตั้งใจจะทำ กลับให้ผลดีเกินกว่าที่เราคาดหมายไว้มากนัก

ความบังเอิญอีกอย่างหนึ่งคือ เราพบตัวละครน่ารักๆ ช่วยสร้างสีสันให้กับทริป ‘สาวน้อยแห่งทาดาปานี’

สาวน้อยหน้าตาคมขำ ผิวคล้ำอย่างคนพื้นเมือง ผมยาวรวบเป็นมวยหลวมๆ ไว้ด้านหลัง ร่างแบบบาง หากคล่องแคล่ว คอยเสิร์ฟอาหารดูแลให้ลูกค้าได้รับความสำราญจากมื้ออาหารมากที่สุด



สาวน้อยคนนี้คล้ายพี่อ้อมาก ทั้งๆ ที่พี่อ้อขาวอวบ หากรอยยิ้มที่เป็นมิตร และจริงใจเหมือนกันกับพี่อ้อราวกับใช้แม่พิมพ์เดียวกัน

“พี่อ้อ เมื่อ 15 ปีก่อน พ่อพี่อ้อเคยมาเที่ยวเนปาลหรือเปล่า” ว่าเข้านั่น 15 ปีแห่งความหลัง พอรู้ว่าสาวน้อยคนนี้อายุ 15 ปี พี่เจก็ถามพี่อ้อแบบนี้ เล่นแรงนะ

15 ปีก่อน พี่อ้อก็เป็นวัยรุ่นแล้ว เป็นวัยอลวน เหมาะสำหรับการใจแตกได้พอดี ว่าไม่ได้ ถ้าพี่อ้อจะเลือกหนีมาใจแตกถึงเนปาล ก็สมัยนั้นยังไม่มี Center Point นี่

“สมัยเป็นวัยรุ่นพี่อ้อเคยมาเที่ยวแถวนี้หรือเปล่า” พิมถาม
พี่อ้อคงอยากจะบ้าตาย กรรมใดหนอที่ทำให้ต้องมาคบค้าสมาคมกับคนเพี้ยน ๆ พวกนี้

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องอำกัน สาวน้อยแห่งทาดาปานีเป็นเพียงพี่น้องร่วมโลกกับพี่อ้อเท่านั้น แต่เธอก็น่ารักไม่น้อยไปกว่าพี่อ้อ เราเรียกเธอว่าน้องสาวพี่อ้อก็แล้วกัน หรือจะให้เรียกว่าลูกสาว พอได้อยู่นา

น้องสาวพี่อ้อเห็นกิ๊ปหนีบผมของพี่อ้อแล้วชอบมาก กิ๊ปอันโตสีสด ใช้หนีบผมหนานุ่มของพี่อ้อให้เป็นมวยได้ไม่มีรุ่ยร่าย พี่อ้อเลยยกให้น้องสาวเป็นที่ระลึกเสียเลย น้องสาวพี่อ้อดีใจมาก ถามว่าพี่อ้ออยากจะแลกกิ๊ปของพี่อ้อกับอะไรไหม พี่อ้อก็ว่าไม่แลกหรอก ให้ฟรี ๆ โถ…ของแค่นี้ ให้น้องสาวได้อยู่แล้ว

พี่เจเห็นแล้วเสียดาย น่าจะขอแลกนะพี่อ้อ ดูอย่างเสื้อของพี่เจ ยังมีพ่อค้าขอแลกกับช้างไม้โขลงเบ้อเริ่ม แต่พี่เจไม่อยากได้เลยไม่ได้แลกมาด้วย

น้องสาวพี่อ้อเป็นคนร่าเริง ชอบคุยกับลูกค้าด้วยหน้าตาที่แย้มยิ้มเบิกบาน รอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบ คือยิ้มทั้งปากและตา ยิ้มแท้ๆ ไม่ใช่แสยะยิ้ม จะพูดอะไรก็แล้วแต เธอจะลงท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะ นี่แหละจุดเด่นของเธอ เสียงหัวเราะแบบสองจังหวะ
“….ฮาๆ”

คาดว่าเป็นเพราะเธอหัวเราะบ่อย จบประโยคที ก็ฮาๆ ที ถ้าหัวเราะมากกว่า 2 จังหวะ ก็จะทำให้เหนื่อยเกินไป

ลักษณะการหัวเราะของเธอคงเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษและบรรพสตรี สังเกตจากครอบครัวของเธอหัวเราะแบบนี้กันทุกคน
คุยอะไรด้วย ครอบครัวนี้เขา ฮาๆ ต่อท้ายหมด เออ…ดีเหมือนกันนะ หัวเราะแบบนี้เหมาะกับบนที่สูงที่มีอากาศเบาบาง พวกเราเลย ร่วม ฮาๆ ไปกับน้องสาวพี่อ้อด้วยเลย

Tip : หัวเราะบนภูเขา แค่ ‘ฮาๆ’ ก็พอ กะทัดรัด ได้ใจความ และไม่เหนื่อย …ฮาๆ

น้องสาวพี่อ้อบอกว่าเธอไม่ได้เรียนหนังสือ โตมาก็ช่วยครอบครัวดูแลเกสท์เฮาส์แห่งนี้ แต่เธอก็พูดภาษาอังกฤษได้ดี สามารถสื่อสารกับนักท่องเที่ยวได้อย่างสบาย เสียอยู่อย่างเดียว ที่เป็นปัญหาของเธอ และคนเนปาลส่วนใหญ่ นั่นคือเธอออกเสียงตัว ‘F’ ไม่ได้ ออกมาเป็นตัว ‘P’ เสียหมด

อย่าง ‘Five’ เวลาไปซื้อของ พวกเราจะได้ยินเป็น ‘ไพน์’ คำนี้ดูจะสร้างความเดือดร้อนให้น้อยกว่า คำว่า ‘Finish’ ของน้องสาวพี่อ้อ

สาวน้อยจะคอยถามลูกค้าว่า รับประทานอาหารเสร็จหรือยัง แต่เสียงแหลมเล็กของเธอว่าอย่างนี้ “เพนนี้ส…ส”

แตกฮือสิ หูของพิม พี่ก้อด และพี่เจ พร้อมใจกันคิดอกุศล

ก่อนจะเก็บชามเธอก็จะถามว่า “เพนนี้ส…ส”

ตัวใครก็ตัวมัน อย่าให้เธอเก็บไปได้ก็แล้วกัน …ฮาๆ

เธอค่อนข้างจะกังวลที่พวกเรากินอาหารไม่หมด เราต้องย้ำว่าอร่อยแล้ว แต่ปริมาณอาหารมากจนกินไม่หมด อย่าเสียใจไปเลย พวกเรา เพนนี้ส…ส แล้วจริงๆ ฮาๆ

ในค่ำคืนที่เหน็บหนาวและเหงาหงอย พวกเราคลายเหงาด้วยการเมาท์แตก ถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาในทริปนี้ แต่เราเลิกหัวเราะด้วยวิธีเก่าๆแล้ว เหลือแค่ ฮาๆ เท่านั้น นอกจากนี้เราก็เล่นไพ่กัน วงไพ่ประกอบด้วย พี่เจ พี่ป้อม พี่ปู และพิม โดยพี่ป้อมมีพี่หน่อยเป็นกองเชียร์ และพิมมีพี่ก้อดเป็นโค้ช

หลังจากนั้นพวกเราก็ทยอยกันไปเข้าห้องน้ำนอกเกสท์เฮาส์ เข้าเสียให้เสร็จก่อนเข้านอน จะได้ไม่ต้องลำบากจุดเทียนมาเข้าตอนกลางคืน
พอถึงตอนจะแปรงฟัน แล้วจะแปรงกันได้อย่างไร เพราะไม่มีน้ำสะอาดและอ่างล้างหน้าให้ เราก็เลยต้องนั่งยองๆ แปรงฟันกันที่หน้าเกสท์เฮาส์ด้วยน้ำแร่ราคาแสนแพง

แล้วเราก็แยกย้ายกันไปนอนอย่างสงบสุข ยกเว้น

“คร่อก...ฟี้ คร่อก…ฟี้” เสียงดังปานเข้าไปฟังในโรงหนังระบบ THX

“พิม ได้ยินไหมพิม” พี่อ้อถามพิมที่ยังไม่หลับ ส่วนบีมเป็นไข้หลับไปแล้ว โชคดีเสียจริง

“ได้ยินสิพี่”

เป็นอย่างที่พี่อ้อคิด กำแพงไม้บาง ๆ ไม่สามารถกางกั้นเสียงกรนสุดคลาสสิกของพี่ซิปได้ เคลมประกันเถอะพี่ซิป ถึงเวลาแล้วจริงๆ

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***

เรื่องนี้นานเสียจน Center Point ได้ไปจากสยามเสียแล้วค่ะ แล้วย้ายวิกมาอยู่ที่ Central World บริเวณโรงภาพยนตร์เมเจอร์เดิม ตอนนี้ยังปิดอยู่ แต่อีกไม่นานคงเปิดใหม่นะคะ

ป่านนี้สาวน้อยแห่งทาดาปานี แต่งงานมีลูกไปแล้วมั้งเนี่ย


Create Date : 21 สิงหาคม 2553
Last Update : 21 สิงหาคม 2553 22:47:52 น. 0 comments
Counter : 606 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.