Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 
15 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 

Nepal ตอน 24 Mountain Flight ในม่านเมฆ

8 เม.ย. 2544 เช้าวันนี้พวกเราต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อไปให้ทัน Mountain Flight รอบ 7.00 น.

ที่ต้องเลือกรอบเช้าขนาดนี้ก็เพราะ ท้องฟ้าจะแจ่มใส ไร้เมฆหมอกบดบัง แดดก็ไม่จ้า จนบดบังทัศนียภาพของเทือกเขาหิมาลัยให้หม่นหมองลง

ถึงเวลานัด รถตู้ของคุณศิวะก็มารับ แต่เจ้าตัวไม่ได้มาด้วย ส่งผู้ช่วยไกด์เป็นเด็กชาย อายุประมาณ 12 ขวบ มาดูแลพวกเรา เมื่อกลับจาก Mountain Flight ท่านไดเร็คเตอร์ใหญ่ถึงจะมารับหน้าที่ต่อ

Mountain Flight คือเที่ยวบินที่พานักท่องเที่ยวขึ้นไปโฉบผ่านเทือกเขาหิมาลัย เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความงามของเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสารคนละ 99 – 109 ดอลล่าร์สหรัฐแล้วแต่สายการบิน

พวกเรากำชับให้ศิวะหาที่นั่งข้างหน้าต่างให้ได้ เพื่อจะได้ชมความงามของหิมาลัยให้เต็มที่ ศิวะบอกว่าเขา Guarantee Window Seats รับประกันติดหน้าต่างทุกที่นั่ง

คุณไดเร็คเตอร์ ของเราท่าทางจะเส้นใหญ่ไม่เบา

รถตู้พาพวกเราไปส่งที่สนามบินตรีภูวันก่อนเวลาพอสมควร เมื่อเราเอาตั๋วเครื่องบินไปรับ Boarding Pass เขาก็ให้ Magic Mountain Flight Profile เป็นแผนภาพคร่าว ๆ แสดงภาพยอดเขาแต่ละยอดว่าชื่ออะไรบ้าง ลักษณะรูปทรงเป็นอย่างไร ความสูงเท่าไหร่ เพื่อใช้ประกอบในการชมเทือกเขาหิมาลัย ถ้าไม่มีเอกสารนี้ รับรองว่าไม่มีทางแยกออกว่ายอดไหนเป็นยอดไหน เพราะขาวติดกันเป็นเทือกไปหมด

หลังจากนั้นก็ไปจ่ายค่าภาษีสนามบินสำหรับเที่ยวบินในประเทศคนละ 165 รูปี ก็เป็นอันว่าเข้าไปนั่งรอเตรียมขึ้นเครื่องบินได้

ก่อนจะผ่านเข้าห้องพัก จะมีเจ้าหน้าที่ รปภ. ของสนามบิน ตรวจร่างกายผู้โดยสารก่อนว่าไม่ได้พกพาวัตถุมีภัยขึ้นเครื่องไปด้วย

เขาแยกห้องตรวจเป็น 2 ห้อง ตามเพศ โอ้ใคงจะตรวจละเอียดมาก ถึงกับต้องให้รปภ. หญิงตรวจผู้โดยสารหญิงโดยเฉพาะ

ที่ไหนได้ พอเข้าไปแล้ว พี่แขกก็ถามแค่ว่า พกไม้ขีดไฟ หรือไฟแช็คมาด้วยหรือไม่ ถ้าตอบว่าไม่ ก็ปล่อยเข้าห้องพักแต่โดยดี ไม่มีการล้วงควักหาหลักฐานกันอย่างละเอียด แล้วจะแยกห้องตรวจทำไมกัน ผู้ชายพูดกับผู้หญิงไม่ได้หรือไงกัน

ที่เขาตรวจพอผ่าน ๆ นี้อาจเป็นเพราะพวกเรามีหน้าตาที่น่าเชื่อถือก็ได้ นั่นคือหน้าตาดูหมดไฟแล้ว

การที่ต้องระมัดระวังเรื่องไม้ขีดไฟและไฟแช็ค ก็เพราะเขากลัวว่ามันจะขึ้นไปตูมตามข้างบน เมื่อเจอกับความกดอากาศสูง (แปลก… เขาไม่ยักกะถามว่านำระเบิดขึ้นมาด้วยหรือเปล่า) เฮ้อ…นี่ก็เสี่ยงตายอีกวาระหนึ่ง
ก็ดีไปอย่าง เผาเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่บนฟ้า ประหยัดได้ 1,200 รูปี

ในห้องพักผู้โดยสาร มีนักท่องเที่ยวรอขึ้น Mountain Flight จำนวนมาก ที่เนปาลนี้มีสายการบินในประเทศให้บริการ Mountain Flight หลายสายการบินด้วยกัน แต่ละสายการบิน ก็ผลัดกันเวียนขึ้นเวียนลงตลอดเวลา ผู้คนถึงได้แน่นหนานัก

สายการบินที่ศิวะจองให้พวกเรา ชื่อ Mountain Airline ชื่อของสายการบินนี้ดูธรรมดามาก โลโก้ก็เช่นกันเป็นแค่รูปภูเขา ไม่มีจุดเด่นอย่างสายการบินอื่น

Budha Airline โลโก้เป็นมือพนม ไปกับสายการบินนี้มีพระนำ สายการบิน Yeti นี่ยิ่งเด็ดใหญ่ โลโก้เป็นรูปเท้าเยตีอันเบ้อเริ่ม ถ้าขึ้นเครื่องของสายการบินนี้ จะถูกเหยียบ (ตื้บ) ก่อนลงจากเครื่องไหมนี่

ไหนว่าคนเนปาลเขาถือนักถือหนาเรื่องเท้า ว่าเป็นของต่ำ อย่าได้เที่ยวไปยืนเอาเท้าไปทางอาหารที่ชาวเนปาลกำลังกินอยู่ หรือยกขึ้นมาพาดโน่น พาดนี่ เพราะไม่สุภาพ นี่ถึงขนาดยกมาเป็นโลโก้แปะบนเครื่องบินหรา พอเครื่องบินเหินฟ้า ไอ้เท้าทั้งอันก็บินวนเวียนเหนือหัวคนทั้งเมือง

ผู้อ่านคงสงสัยว่าอันว่าเยตีนี้มันเป็นตัวอะไรหว่า เยตีคือมนุษย์หิมะ ไม่ใช่ชนิดน่ารัก มีมนุษยสัมพันธ์ดีแบบ Big Foot ในหนังฝรั่ง หากเป็นชนิดน่ากลัว โหดเหี้ยม โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ก็มันไม่ใช่มนุษย์นี่นา

เยตีจะอยู่บนภูเขาสูง เดินไปเดินมาบนผืนหิมะ ล่าจามรี และคอยแง่ง ๆ ใส่มนุษย์ผู้บุกรุก

เยตีจะมีจริงหรือไม่ ก็ยังเป็นข้อกังขาอยู่ แบบเดียวกับที่ครั้งหนึ่ง หมีแพนด้าเคยเป็นสัตว์ลึกลับในตำนาน

บ่อยครั้งที่นักปีนเขาพบรอยเท้าที่เชื่อว่าเป็นรอยเท้าของเยตี ‘เขาว่า’ รอยเท้าของเยตีเป็นรูป วงรียาวกว่า 1 ฟุตและกว้างมาก มีหัวแม่เท้ายื่นออกมาอย่างชัดเจน มีตำนานเล่าต่อ ๆ กันมาถึงเสียงร้องโหยหวน หินและกิ่งไม้ที่ลอยใส่นักท่องเที่ยว ทำให้หลาย ๆ คนเชื่อว่าเยตีมีอยู่จริง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ยังมีข่าวว่าพบขนเยตี 2 – 3 เส้น อดสงสัยไม่ได้ว่า ก็เยตีทั้งตัวยังไม่เจอ ยังไม่ได้สัมผัสเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ไอ้ขนที่เก็บมาได้เป็นของเยตีจริง ๆ

รายงานข่าวไม่ได้ระบุว่า ขนเยตีเป็นสีอะไร !

แอบแว่บไปดูเยตีพอควรแล้ว กลับมาที่ Mountain Flight กันดีกว่า เหลียวมองรอบๆ ห้องพักผู้โดยสาร คนหลายชาติ ต่างภาษามารวมตัวกันที่นี่ เพื่อทำตามความฝันของตนเอง

ฝรั่งหลายคนมาพร้อมกับอุปกรณ์การไต่เขา (Mountaineering) และแต่งตัวแบบเดียวกับที่เห็นในภาพยนตร์เรื่อง Vertical Limit เขาคงจะนั่งเครื่องบินไปลง Base Camp ก่อนปีนขึ้นยอดเขาสูง ส่วนพวกนักท่องเที่ยวชั้นสามัญ แค่ได้บินไปเวียนแถว ๆ เทือกเขาหิมาลัยให้เป็นบุญตา ก็แต่งตัวมาธรรมดา ไม่ต้องมิดชิดมาก เพราะอากาศไม่เย็นนัก

พวกเราเห็นนักท่องเที่ยวสูงอายุชาวญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่ อายุคงไม่ต่ำกว่า 60 – 70 ปี ดูแข็งแรง แจ่มใส มารอขึ้น Mountain Flight เหมือน ๆ กับเรา เห็นแล้วก็ทึ่งว่าชรากันถึงเพียงนี้แล้ว ทำไมถึงได้เก่งกล้าสามารถมาเที่ยวประเทศที่ออกจะกันดารสักหน่อย ต้องลุยสักนิดได้ ไม่ใช่สบาย ๆ เลย

ใครจะไปรู้ว่าตอนขึ้น Trekking อาจจะพบคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายพวกนี้เดินแซงเราอยู่ก็ได้

เรานั่งสัปหงกรออยู่ที่พักอยู่นาน ก็ยังไม่เห็นมีใครเรียกขึ้นเครื่อง พี่เจเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าขึ้นเครื่องได้หรือยัง เพราะได้เวลาแล้ว ก็ได้ความว่าเครื่องบินดีเลย์แน่นอน รอบ 6.00 น. ยังบินอยู่เลย รอไปเถอะ ประมาณ 8 โมง คงได้ขึ้นเครื่อง

เฮ้อ…แล้วจะรีบมาทำไมกัน ว่าแล้วก็แอบไปงีบต่อดีกว่า

งีบได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็เรียกพวกเราขึ้นเครื่อง เครื่องบินดีเลย์ น้อยกว่าที่คิด พวกเราได้ขึ้นเครื่องเวลาประมาณ 8 โมงเช้า

เดินออกจากอาคารไป ก็ต้องขึ้นรถบัสเล็กไปที่เครื่องบินอีกที ตัวเครื่องบินตกแต่งเป็นรูปเทือกเขาหิมาลัย พวกเราหลายคนต้องขอถ่ายรูปกับเครื่องบินก่อน เพื่อเป็นหลักฐานว่าเราได้ขึ้นไปดูเทือกเขาหิมาลัยจริง ๆ

เครื่องบินลำเล็กนิดเดียว เวลาจะขึ้นเครื่อง แอร์โฮสเตสจะกันให้ก้าวขึ้นบันไดทีละคน ถ้าขึ้นทีละหลายคนเกรงว่าบันไดจะถล่ม เครื่องบินอาจคว่ำได้



เข้าไปในเครื่อง ถึงได้รู้ว่าทำไม้ ทำไม ศิวะถึงกล้า Guarantee Window Seats ชนิดเอาหัวเป็นประกัน ตัดเอาไปบูชายันได้ไม่ต้องเกรงใจ ก็เครื่องบินลำน้อยนี้มีที่นั่งแค่ 15 ที่นั่ง 2 ฝั่งมีเก้าอี้ข้างละตัว อยู่ติดหน้าต่างหมด ยกเว้นแถวสุดท้ายมี 3 ที่นั่ง แต่ก็เว้นเก้าอี้ตัวกลางไว้ ไม่มีใครนั่ง

ตอนได้ Boarding Pass เห็นว่าได้ที่นั่งแถว A และ C พวกเราก็คิดว่าแหม ศิวะนี่เยี่ยมมาก พวกเราไม่ต้องนั่งแถว B เลย สายการบินก็เข้าใจเล่น เว้นที่แถว B เอาไว้เป็นทางเดิน

เรามากัน 10 คน ก็เกือบจะเหมาเที่ยวบินแล้ว ที่จริงก็พอจะคุยโวได้ว่า เราเหมาเครื่องบินชมเทือกเขาหิมาลัยกันมาแล้ว ส่วนผู้โดยสารอื่น ก็แค่ขอติดเครื่องบินมาด้วยเท่านั้นเอง

น้องแอร์โฮสเตส สวยน่ารักดี ตากลมโต คมเข้ม เด่นตามชาติพันธุ์ นุ่งส่าหรีสีฟ้าสด แต่หนุ่ม ๆ ติว่าอวบไปหน่อย
พอผู้โดยสารประจำที่เรียบร้อย เธอก็แจกสำลีเอาไว้อุดหู เพราะหูจะอื้อได้

ระหว่างบินขึ้น สำลีของเธอไม่ใช่อย่างที่ปั้นกลม ๆ พลาสเจอร์ไรซ์มาอย่างดี แต่มาเป็นขยุ้มให้ผู้โดยสารฉีกแบ่งเองตามความพอใจ และพอเพียงแก่รูหู จะปั้นแต่งใส่หูของตนอย่างไรก็แล้วแต่ความชอบ

น้องแอร์เธอแจกทอฟฟี่ให้คนละเม็ดด้วย เผื่อกินกันคลื่นไส้ เป็นยี่ห้อที่ขายเฉพาะในเนปาล พี่ปุ๊แกะชิมแล้วบอกว่า มีกลิ่นเครื่องเทศด้วย รสชาติพิกล สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย ทอฟฟี่นี้อาจช่วยเร่งให้อาเจียนได้สะดวกยิ่งขึ้น

พี่ซิปที่ชอบสะสมถุงอาเจียนของสายการบินต่าง ๆ เป็นงานอดิเรก ควานหาถุงอาเจียนจากที่ใส่ของหลังพนัก หยิบมาแล้วต้องซุกกลับที่เดิม ถุงอาเจียนเป็นชนิดผ่านการใช้งานมาอย่างช่ำชอง เคยเก็บอาเจียนไว้บ้างหรือเปล่าก็บอกไม่ถูก ให้เพื่อนๆ หาดู ก็ได้แบบรีไซเคิลเหมือนกันหมด เป็นอันว่าสะสมขาดไปสายการบินหนึ่งก็ช่างเถอะ ไม่ถึงกับเสียชาติเกิด

ในที่สุดเครื่องบินก็ออกจากรันเวย์ แล้วบินไต่ระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเรารู้สึกมึน ๆ อยู่บ้างเหมือนกัน หลับตาสักนิดดีกว่า

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***

เรื่องของ yeti ลองอ่านจาก wikipedia ดูนะคะ
//en.wikipedia.org/wiki/Yeti




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2553
0 comments
Last Update : 15 กรกฎาคม 2553 21:30:35 น.
Counter : 3190 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.