Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 
16 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 

Nepal ตอน 25 เห็นแล้ว…หิมาลัย

ลืมตามาอีกที ภาพที่ปรากฏอยู่นอกหน้าต่างคือเทือกเขาหิมาลัยที่มีหิมะปกคลุมจนขาวโพลน ตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม แว่บหนึ่งเรารู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับสรวงสวรรค์

คนที่นั่งข้างหน้าต่างที่ติดกับเทือกเขาหิมาลัยก็มองได้ถนัด ส่วนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ต้องชะเง้อชะแง้เอา น้องแอร์บอกว่าอย่ากังวล ทุกคนได้ดูเท่าเทียมกันแน่นอน เพราะเครื่องบินจะวนกลับให้ผู้โดยสารอีกข้างหนึ่งได้ดูบ้าง



น้องแอร์ขนสวย เอ๊ย…คนสวยจะคอยเดินมาชี้ให้ดูว่า เทือกเขาไหน เป็นเทือกเขาไหน เครื่องบินลำเล็กมาก เตี้ยก็เตี้ย เธอต้องย่องไปย่องมาอยู่บนเครื่องบิน

เครื่องบินบินโฉบไปใกล้ภูเขามาก จนรู้สึกเหมือนได้สัมผัสอากาศด้านนอกเลยจริง ๆ (แต่ถ้าสัมผัสจริง ๆ ก็คงตาย) ความงามของหิมาลัย ทำให้ทุกคนลืมความกลัวที่ว่าเครื่องบินจะเฉี่ยวชนภูเขา หรือเครื่องจะขัดข้อง จนทำให้พวกเรา ‘ถึงที่’ และ ‘คาที่’ ได้โดยสิ้นเชิง

พอบินมาถึงตำแหน่งที่มองเห็นเอเวอร์เรสต์ ได้ชัดเจน น้องแอร์ก็จะมาตามผู้โดยสารให้เข้าห้องนักบินทีละคน เพื่อไปมองภาพเอเวอร์เรสต์ให้ซาบซึ้งตรึงใจ

ภาพจากหน้าต่างข้างเครื่องบินที่ว่าสวยแล้ว มาเห็นภาพที่กระจกหน้าของเครื่องบิน ยิ่งงดงามเหนือคำบรรยาย

นักบินจะคอยชี้ให้ดูว่ายอดเขาเอเวอร์เรสต์ อยู่ตรงไหน ภาพยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก มีแสงสีทองของดวงอาทิตย์ฉาบฉายอยู่ จะตรึงตราอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป ลืมเมื่อไหร่ก็ควักรูปถ่ายมาดูก็แล้วกัน



ใครที่คิดว่าไม่ต้องมาถึงเนปาล ไม่ต้องขึ้น Mountain Flight ก็ได้ อาศัยดูจากภาพที่เพื่อนถ่ายมาหรือจากโปสการ์ดก็ได้ ต้องขอบอกว่าไม่เหมือนกัน เพราะแตกต่างที่ความรู้สึกอิ่มเอมเต็มตื้นในหัวใจ ที่ต้องสัมผัสด้วยตาตนเองถึงจะรู้ซึ้งได้

พวกเราตื่นเต้นกันมาก รอยยิ้มเปี่ยมสุขระบายเต็มใบหน้าของทุกคน แต่นักบินกับแอร์โฮสเตสคงเซ็งน่าดู บินวนไปวนมาอยู่อย่างนี้วันละตั้งหลายรอบ และบินอยู่อย่างนี้ตาปี ตาชาติ

อุตส่าห์บินสูงมาดูยอดเขาสูงเยี่ยมเทียมฟ้านี้แล้ว น่าจะมาทำความรู้จักกับเอเวอร์เรสต์กันหน่อย

เอเวอร์เรสต์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก คือสูงถึง 8,848 M. หรือ 29,028 Feet ยอดเขานี้ตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่างทิเบต และเนปาล อยู่ทางตะวันออกของประเทศเนปาล

ชื่อเอเวอร์เรสต์นี้ ได้มาจากชื่อนายพลนักสำรวจชาวอังกฤษ George Everest

แต่คนเนปาลเขาเรียกยอดเขานี้ว่าสการ์มาถา (Sagarmatha) แปลว่ายอดเขาพระสมุทร ชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติกษัตริย์สการ์ผู้ฆ่าปีศาจตามตำนานฮินดู และเพื่อให้โลกรู้ว่าเนปาลเป็นอาณาจักรฮินดู

ส่วนชื่อทิเบตของ Everest คือ โซโมลุงกะมา (Chomolungma) แปลว่าพระแม่เจ้า แม่วัว หรือเขาสูงที่ไม่สามารถปีนป่ายได้

ที่จริงแล้วนักทำแผนที่ในอดีตได้พยายามค้นหาชื่อของยอดเขานี้ในภาษาท้องถิ่น เพื่อใช้แทนชื่อยอดเขา 15 ที่เรียกกันในเวลานั้น หาแล้วก็หาไม่พบ จึงตั้งชื่อว่า Everest แทน

ก็อย่างนี้แหละ ของที่พยายามหา จะหาไม่พบ เอาไว้ไม่อยากหาก่อน มันจะโผล่ขึ้นมาเอง

เอเวอร์เรสต์เป็นยอดเขาที่นักปีนเขาทั่วโลกอยากพิชิต ถึงแม้จะรู้ว่าอัตราส่วนคนไป 4 คน จะได้กลับมา 3 คน อีก 1 คนจะได้ไปเกิดใหม่ ส่วน 3 คนที่รอดมาไม่รับประกันว่าจะได้อวัยวะกลับมาครบ ข้อมูลนี้ได้มาจากพี่เจ จริงเท็จประการใด พี่เจจะเป็นรับผิดชอบ

เครื่องบินพาเราวนดูเทือกเขาหิมาลัยจนจบตามโปรแกรมแล้ว ก็เริ่มบินกลับ น้องแอร์ก็เริ่มเดินแจกของที่ระลึก เป็นประกาศนียบัตร ว่าเราได้มา Magic Mountain Flight แล้ว เว้นช่องว่างให้ไปใส่ชื่อกันเอาเอง

ก็ไม่รู้ว่าควร’ยืดตรงไหน เพราะเราไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรเลย นอกจากยอมเสี่ยงตายขึ้นเครื่องบินเท่านั้นเอง



ของแจกอีกอย่างหนึ่งคือโปสเตอร์รูปเครื่องบินของ Mountain Airline กำลังบิน โดยมีภาพเทือกเขาหิมาลัยอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้น้องแอร์ยังมีเสื้อยืดที่ระลึกมาขาย เป็นรูปคล้าย ๆ โปสเตอร์ที่แจก ด้านหลังเขียนว่า ‘The day I conquered Everest’ ราคาตัวละ 8 ดอลล่าร์

ทั้งเที่ยวบินไม่มีใครบ้าจี้ซื้อ นอกจากพิมที่กะเอาไปใส่ให้ยืด ใช่แล้วล่ะ มันต้องยืดอยู่แล้ว เพราะมันเป็นเสื้อยืด อย่าย้วยด้วยก็แล้วกัน

เครื่องบินพาพวกเรามาส่งยังท่าอากาศยานโดยสวัสดิภาพ หน้าตาของทุกคนยังยิ้มแย้ม แจ่มใส ปลาบปลื้ม และเปี่ยมสุข Mountain Flight นี้เป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุดยอด คุ้มค่ากับเงินที่ต้องกัดฟันจ่ายไป

ต้องนับว่าพวกเราโชคดีมากที่ทัศนะวิสัยดีพอที่จะเห็นภูเขาชัดเจน ถ้าโชคร้ายท้องฟ้าไม่เป็นใจ มองไม่เห็นเทือกเขา ทางสายการบินจะคืนเงินให้ แต่นักท่องเที่ยวคงอารมณ์ค้างน่าดู

ขาเข้าสนามบิน พวกเราเดินเข้าอย่างสมเกียรติ พอตอนออกเขาต้อนให้ออกประตูหลัง ประตูไม้สูงใหญ่ โทรมๆ ความรู้สึกเหมือนเพิ่งถูกปล่อยออกจากคุก ให้อารมณ์คล้าย ๆ โรงหนังบางโรงในกรุงเทพ ฯ ขาเข้าหน้าโรงตกแต่งสวยงาม แต่ทางออกโทรมสุดขีด เป็นกำแพงเก่า ๆ สียังไม่เรียบเสมอกันเลย

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***

พอกลับมาอ่านตอนนี้อีกที ถึงเพิ่งจำได้ว่าของที่ระลึกจากการไปดูหิมาลัยมีหลายอย่าง

ว่าแต่…มันหายไปไหนหมดล่ะเนี่ย ตอนนี้ที่ยังเห็นอยู่มีแค่เสื้อยืด (ที่ยังไม่ย้วยนัก) เท่านั้นค่ะ นานๆทีก็เอาใส่แก้คิดถึง




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2553
3 comments
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 22:52:00 น.
Counter : 1016 Pageviews.

 

อิจฉาคนได้เที่ยวจังเลยพี่พล

 

โดย: ส้มจุก IP: 127.0.0.1, 118.173.150.99 17 กรกฎาคม 2553 12:35:44 น.  

 

เขาว่ากันว่าเสี่ยงตายจิงๆๆนะ เพราะไม่มีค่าประกันชีวิตให้อ่า เจี๊ยบยังไม่มีโอกาสไปเลย แง่มๆๆๆ

 

โดย: ชัชชมนต์ ตัวจริง IP: 82.194.62.20 18 กรกฎาคม 2553 11:54:29 น.  

 

ส้มจุก : ไปตั้งนานแล้วล่ะ ^ ^ เดี๋ยวนี้ให้ไปลุยๆแบบนี้ก็ไม่ไหวแล้วค่ะ

เจี๊ยบ : 555 เพิ่งนึกกลัวเหมือนกันอ่ะ

 

โดย: ชัชชมนต์ 18 กรกฎาคม 2553 15:46:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.