Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 
20 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 

Nepal ตอน 28 โอมมณี ปัทเมหุม…โอมมณี ปัทเมหุม ๆๆๆ

หลังจากเลี้ยวลดสู่อดีตกาลพอสมควรแล้ว ก็ขอเชิญท่านผู้อ่านกลับมาสู่โลกปัจจุบัน เดินไปพร้อม ๆ กับพวกเราต่อไป

ภายนอกพระราชวัง มองไปรอบ ๆ ก็จะเห็นวัดสำคัญอีกหลายวัด ซึ่งล้วนแล้วแต่ถูกแนะนำในหนังสือสารคดีทั้งนั้น แต่พวกเราก็ไม่ได้ใช้เวลาพินิจพิเคราะห์เดินดูให้ทั่ว ๆ อาศัยถ่ายรูปอยู่ห่าง ๆ ก็พอแล้ว ตามประสาคนไทย ถ้ามีให้ ช็อปปิ้งสิ ถึงไหนถึงกัน

หลังจากนั้นพวกเราก็เปลี่ยนไปเดินเล่นในตรอกเล็ก ๆ ชื่อ เตามาดีโดล (Taumadi Tole) ที่นี่มีร้านค้าขายของที่ระลึก และร้านอาหารมากมาย เสียงเพลงสวด ‘โอม มณี ปัทเมหุม’ ดังคลอเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ตลอดเวลา จนพวกเราเริ่มฮัมตามได้แล้ว กะใจจะไม่เปลี่ยนม้วนเลยนะ

เมื่อเดินผ่านตรอกไปจะเป็นจตุรัสเตามาดี (Taumadi) ที่มีสถานที่สำคัญอีกหลายแห่ง อย่างวัดเนียตะโปลา (Nyatapola Temple) สูง 30 เมตร หรือ 98 ฟุต เป็นศาสนสถานที่สูงที่สุดในเนปาล สร้างขึ้นในปี ค.ศ 1702 โดยพระเจ้าภูปฎินทรา มัลละ หลังคามี 5 ชั้น มีเสาไม้สลักค้ำอยู่ ตัววัดตั้งอยู่บนฐานเขียง 5 ชั้น ตรงกลางมีบันไดยาว สองข้างของบันไดเป็นรูปปั้นหินขนาดใหญ่


รูปจาก wikipedia ค่ะ ข้อมูลเพิ่มเติมเชิญที่ //en.wikipedia.org/wiki/Nyatapola

รูปปั้นมีทั้งหมด 5 คู่ คู่ที่อยู่เหนือกว่า ก็จะมีพลังมากกว่าคู่ที่อยู่ค่ำกว่า 10 เท่า ชั้นล่างสุดเป็นนักมวยปล้ำ ที่มีพลังมากกว่าคนธรรมดา 10 เท่า ชั้นต่อมาเป็นช้าง ก็จะมีพลังมากกว่านักมวยปล้ำอีก 10 เท่า

สองชั้นต่อมาดูไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร แต่ชั้นบนสุดคือเทพแห่งเนียตะโปลา หรือสิทธิลักษมี (Siddhilaksami) ซึ่งเป็นเทวีในลัทธิตันตระ ที่วัดแห่งนี้มีเสาค้ำลงสี 108 เสา แสดงภาพเทวีในปางต่าง ปางอะไรบ้างก็ช่างเถอะ พวกเราไม่ยอมตะกายขึ้นไปดูแล้ว ถ่ายรูปก็ไม่ถ่ายด้วย เพราะทั้งสูง ทั้งชัน นางแบบ นายแบบ และช่างภาพพร้อมใจกันขี้เกียจ สุดท้ายก็แค่ถ่ายไกล ๆ เอาวัดเป็นแบ็คกราวน์

ช่วงที่เรามาเที่ยวกันนี้ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่ตามประเพณีของเนปาลแล้ว ตรงกับสงกรานต์ของเราพอดีราวกับนัดกันไว้ ที่บักตะปูร์นี้จะมีเทศกาลบิสเกตจัตรา (Biskit Jatra) กินเวลานานหนึ่งสัปดาห์

ในเทศกาลนี้จะมีการอัญเชิญเทพเบยรัพ (Bhairav) หรือไภรพ อวตารภาคดุร้ายของพระศิวะ กับพระชายา บาดระกาลี (Bhadrakali) หรือภัทรกาลี อวตารภาคดุร้ายของพระอุมา ขึ้นราชรถแห่รอบเมือง ตามปกติแล้วเทวรูปนี้จะประดิษฐานอยู่ที่วัดกาซบิชวะนาถ (Kasi Bishwanath Temple) ที่ตั้งอยู่เป็นมุมฉากกับวัดเนียตะโปลา

เราได้เห็นเขากำลังจัดเตรียมราชรถกันอยู่ มีคันใหญ่ และคันเล็ก แต่ยังไม่มีการเชิญรูปปั้นเทพเจ้ามาประทับ

เมื่อแห่แหนกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีการยกเสาศิวลึงค์ (อย่านึกว่าจะหนีพ้น) ประดับด้วยธง เสาที่ว่านี้สูง 25 เมตร หรือ 82 ฟุต ให้ชาวบ้านเล่นชักคะเย่อกัน เพื่อให้โชคดีมีสุขกันตลอดปี

ช่วงที่มีเทศกาลพวกเราคงกำลังเดินเขากันอยู่ ถ้าเรามาในช่วงเทศกาลพอดี ก็น่าจะได้เห็นอะไรเด็ด ๆ สนุก ๆ อีกมาก แต่ก็คงโกลาหลอลหม่านวุ่นวาย คนก็เยอะ เบียดเสียด ยัดเยียดไปหมด อาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้ พวกเรายิ่งมีดวงเดินทางไม่ค่อยราบรื่นอยู่ด้วย

โบราณสถานในจตุรัสเตามาดี ไม่มีโอกาสได้ต้อนรับพวกเรา เพราะเราแว่บเข้าร้านอาหาร หาข้าวกลางวันกินกันอีกแล้ว ร้านอาหารที่คุณศิวะลากพวกเราเข้าไปอยู่กลางจตุรัส เป็นร้านเล็ก ๆ น่ารักมาก ดูโบราณกลมกลืนกับวัดแถว ๆ นั้น ร้านนี้มีระเบียงตั้งโต๊ะให้นั่งกินอาหาร และชมวิวจตุรัสไปด้วย

พลิกเมนูไปมา ก็พบรายการอาหารเดิม ๆ มี ข้าวผัดไก่ กับบะหมี่ผัดไก่เป็นพื้น เราก็สั่งกันอยู่ 2 อย่างนี่ละ แถมด้วยมันฝรั่งทอดมากินเล่น แกล้มกับน้ำแร่

พอสั่งอาหารเสร็จ พี่ก้อดก็เผ่นออกจากร้านไปเลย สงสัยเจ้าที่ที่นี่แรง เอ๊ย..พี่ก้าออกไปช็อปปิ้งเพราะแน่ใจว่าร้านอาหารใช้มาตรฐานเดียวกันในการประกอบอาหาร

ส่วนพิมก็ลงไปดูของที่ระลึกบ้าง ยังไม่วายไปต่อโปสการ์ดอีก ให้พ่อค้าแขกเขาด่าเอาว่า “โปสการ์ดนี่ใครเขาต่อกันมาดาม ราคา 10 รูปีเท่ากันทั้งประเทศ”

ก็ฉันนี่ไงยะถามได้ อย่างไรก็ตามเขาให้โอกาสซื้อ 100 แผ่น เอาไปแผ่นละ 7 รูปี

พิมไม่บ้าจี้ด้วยหรอก จะซื้อมาปูเป็นวอลล์เปเปอร์ หรือไงกัน ที่ต่อนี่ก็ต่อเอามันส์ ต่อได้ก็ซื้อ ต่อไม่ได้ก็ไม่เห็นจะแคร์ การต่อราคาโปสการ์ดเป็นแค่แบบฝึกหัดในการต่อราคาสินค้าเท่านั้นเอง

พี่เจชักจะทึ่งกับความเป็นลูกคุณช่างต่อของพิม ไดอะล็อกในการต่อก็ไม่มีอะไรมาก พูดซ้ำไปซ้ำมาแค่นี้เอง “Can you give me any discount? If you give me any discount, I will buy you more” พี่เจบอกว่าจะขอจดเอาไปให้คุณแม่ใช้เวลาไปช็อปปิ้ง เมืองนอกบ้าง

พวกเราได้พบคนไทยที่มาเที่ยวที่นี่ เป็นพี่ผู้หญิงมากับเพื่อนอีกแค่ 2 – 3 คน ทริปของเขามีไปอุทยานแห่งชาติจิตวันด้วย แต่ไม่มี Mountain Flight อย่างพวกเรา พี่เขาอดบ่นถึงเรื่อง Trekking ไม่ได้ว่าคนที่เคยไปล้วนแล้วแต่บ่นว่าเหนื่อย และไม่ได้สวยอย่างที่คิด

ระหว่างที่เราคุยกับเขาอยู่นั้น พี่ซิปไม่อยู่ด้วย พอพี่อ้อเล่าให้พี่ซิปฟังว่าคนไทยที่ได้พบบ่นว่าไปเดินเขา แล้วแสนจะทรมาน พี่ซิปที่ถูกบังคับให้มาเที่ยวตั้งแต่ต้นก็ถามว่า “เขาเป็นคนแบบไหน แบบพิม หรือบีม”

“แบบบีม” คำตอบชัดถ้อยชัดคำจากพี่อ้อ

ฟังแล้วพี่ซิปก็สลด ขนาดคนชนิดดูอึด และลุยอย่างบีมยังออกปากขยาดแขยงกับการ Trek เลย พวกเรายังจะมีหน้ากล้าขึ้น Trek กันอีกหรือนี่…เฮ้อ…

ได้เวลาพอสมควรคนที่หนีไปเที่ยวนอกร้าน ก็กลับมานั่งกินข้าวทันเวลาพอดี

พวกเราเริ่มสังเกตว่าพี่ป้อม กับพี่ป๋อสั่งอาหารเหมือนกันโดยมิได้นัดหมายมาแทบทุกมื้อ ขนาดนั่งห่างกันคนละมุมโต๊ะ ลอกข้อสอบกันไม่ได้ ยังสั่งเหมือนกันเลย

แต่การสั่งของ 2 คนนี้เป็นชนิดหลบข้อถูก วันแรกที่โบดะนาถแฝดคนละฝาคู่นี้สั่งข้าวผัดไก่ รสชาติทำใจลำบาก หันไปเห็นหมี่ผัดไก่ของเพื่อนน่ากินดี วันนี้เข็ดเลยเปลี่ยนเป็นหมี่ผัดไก่แทน ปรากฏว่าได้มาเป็นมาม่าผัดที่ลวกเส้นนานไปหน่อยจนเละ ไม่ต้องออกแรงเคี้ยว แค่หมี่ถูกลิ้นก็ละลายแล้ว ในขณะที่ข้าวผัดอร่อยพอดี ไม่แข็งกระด้าง ไม่เละตุ้มเป๊ะ

เพื่อน ๆ เลยคิดเทคนิคในการสั่งอาหารได้ว่าเราแค่สั่งไม่เหมือนกับพี่ป้อมกับพี่ป๋อ ก็รับรองว่าอาหารอร่อยแน่นอนแล้ว

‘โอม มณี ปัทเมหุม’ เพลงประจำเมืองเปิดขับกล่อมพวกเราตลอดมื้ออาหาร

อาหารร้านนี้รสชาติแค่พอใช้ได้ แต่ราคาค่อนข้างแพง คงคิดค่าวิวรวมไปแล้ว ดูเหมือนอะไรต่อมิอะไรในบักตะปูร์นี้ออกจะแพงไปเสียหมด ราคาของความสะอาดช่างมีมูลค่าสูงเสียเหลือเกิน

หมดภาระหน้าที่กับอาหารกลางวัน ศิวะก็พาไปชมไฮไลท์อีกจุดหนึ่งของบักตะปูร์ ได้แก่ตลาดเครื่องปั้นดินเผา (Pottery Market) หม้อและเครื่องปั้นดินเผาสารพัดแบบ ที่เป็นเทวรูปก็มี เป็นรูปสัตว์ก็มาก ถูกตากไว้เต็มถนน เวลาเดิน หรือถ่ายรูปต้องระวังไม่ให้ไปเตะหม้อเขาแตกกระจุย

ที่นี่เราได้เห็นช่างปั้นหม้อ ที่กำลังปั้นหม้อกันอย่างขะมักเขม้น การปั้นหม้อนี้เป็นการปั้นแบบเดี่ยว ไม่ใช่แบบคู่ผสมมีเพลงประกอบอย่างภาพยนตร์เรื่อง Ghost

พี่ป้อมถูกใจกองหม้อ และเครื่องปั้นดินเผานี้มาก ถึงขนาดต้องถ่ายรูป ‘ชายหนุ่มกลางดงหม้อ’ เอาไปเป็นที่ระลึก

ส่วนพี่ก้อดได้เวลาทำหน้าเบื่อโลกอีกวาระหนึ่ง ที่นี่มันน่าดูตรงไหน…หม้อเมืองไทยมันไม่มีให้ดูกันหรืออย่างไร ไม่เห็นจะต่างกับจตุจักรสักเท่าไหร่ พี่ก้อดเลยชวนเพื่อน ๆ และเร่งให้ศิวะพากันไปให้พ้นหม้อ

จากตลาดเครื่องปั้นดินเผามา พวกเราก็ไปเดินดูของทีระลึกกันหน่อย ระหว่างที่เดิน ก็จะได้ยินเพลงสวด ‘โอม มณี ปัทเมหุม’ ดังตลอดเวลา เดินไปตรงไหนของบักตะปูร์ก็ได้ยิน อยากรู้นักว่าถ้าเข้าส้วมแล้วจะได้ยินไหม

แล้วทัวร์บักตะปูร์ก็จบลง บทสวด ‘โอม มณี ปัทเมหุม’ ซ้ำไปซ้ำมา ตามไปส่งเราถึงรถ ลาก่อนบักตะปูร์ เมืองโบราณ ที่สวยงาม สะอาด และแพง

ที่จริงแล้วยังมีที่ที่ควรไปอีก อย่างคือ วัดชังกูรนารายัน (Changu Narayan) ซึ่งเป็นมรดกโลกด้วย อยู่ทางด้านเหนือของบักตะปูร์ วัดนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระนารายณ์ หรือพระวิษณุ แต่พวกเรามีเวลาไม่มากนัก ต้องรีบเดินทางไปนะกอร์กต (Nagarkot) โปรแกรมการชมวัดชังกูรนารายันเลยเป็นอันต้องพับไป

ลูกทัวร์ทั้งหลายก็เฉย ๆ ไม่มีใครงอแงขอจะไปให้ได้ เพราะถ้าอยากไปก็ต้องไปเอง แล้วหาทางขึ้นนะกอร์กตเองด้วยก็แล้วกัน

คุณศิวะนี่ก็ลำเอียงใช่เล่น ทีวัดของพระศิวะล่ะก็พาไป พอเป็นวัดของพระวิษณุบ้าง กลับข้ามไปเสียเฉย ๆ ถ้าเขาชื่อวิษณุ หรือนารายณ์ พวกเราคงได้ไปวัดนี้แล้ว

หลังจากนั้นเราก็นั่งรถเดินทางไปนะกอร์กตที่พักของเราในคืนนี้ต่อ ระหว่างทางศิวะก็พบคนรู้จักอีกแล้ว เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นหนึ่งในขบวนการหน้าม้าของศิวะด้วยหรือเปล่า ญาติมิตรเยอะเหลือเกินพ่อคนนี้

ศิวะบอกว่าเจ้าหล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา เรียกเป็นภาษาเนปาลว่า ‘ได๋’ แปลว่าน้อง เออ…เก๋ดีเหมือนกัน

ศิวะเล่าต่อไปว่าบ้านเกิดของเขาก็อยู่แถว ๆ นี้เอง เขาเองก็เป็นเด็กบ้านนอก ต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนสารพัด รายละเอียดชีวิตของศิวะที่สามารถนำไปออกรายการฝันที่เป็นจริง เพื่อแลกรถเข็นได้หนึ่งคัน คงต้องขอฟังจากพี่อ้อ เพราะมีพี่อ้อตั้งใจฟังอยู่คนเดียว

ทางไปนะกอร์กตคดเคี้ยวมาก เลี้ยวรถแต่ละที คนขับต้องบีบแตรนำไปก่อน รถเราบีบ รถฝั่งตรงข้ามก็บีบ จะมารำคาญกันไม่ได้ ท้ายรถบรรทุกจะเขียนไว้เลยว่า ‘Horn Please’ ควรจะแปลเป็นไทยว่า ‘หอนเถอะ’

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***
เข้าใจแล้วใช่มั้ยคะว่าทำไมถึงตั้งชื่อตอนอย่างซ้ำซากว่า ‘โอมมณี ปัทเมหุม’ ตอนอยู่ในบักตะปูร์ เพลงนี้วนไปเวียนมา จนไล่ออกจากสมองไม่ได้เชียวค่ะ




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2553
0 comments
Last Update : 20 กรกฎาคม 2553 23:25:03 น.
Counter : 959 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.