Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 
1 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 

Nepal ตอน 11 สวยมภูวนารถ

รถตู้พาพวกเราลัดเลาะไปตามถนนแคบนิดเดียว ถ้าเป็นแถวบ้านเรา คงถูกเรียกว่าตรอกหรือซอย วันนี้กาฐมาณฑุเข้าสู่สภาวะปกติ ทั้งวุ่นวาย และยุ่งเหยิง รถราแล่นขวักไขว่ไปหมด ไหนจะคนที่เดินส่ายอาด ๆ อย่างไม่กลัวรถอีก

แต่ที่ทำให้สติสัมปชัญญะหลุดลอยได้มากที่สุดก็คอ เสียงแตรรถ คุณแม่ชอบเสียงแตรหรือไงคะ บีบกันอยู่นั่นแหละ

แตรที่นี่เสียงดังมาก เกิน 180 เดซิเบลแน่นอน เสียงก็ไม่เพราะ ฟังดูท้องถิ่นมาก ยิ่งแข่งกันบีบ ยิ่งเขย่าขวัญสั่นประสาทคนฟัง

ทางไปสวยมภูวนาถวิบากอย่างไม่น่าเชื่อ นี่ขนาดเป็นทางยอดนิยมเพื่อไปวัดสำคัญยังไม่ได้รับการปรับปรุงเลย อย่างนี้ต้องเชิญท่านอดีตนายก ฯ บรรหารมาลงเลือกตั้งที่กาฐมาณฑุเสียแล้ว

ทางขึ้นสวยมภูวนาถเป็นทางแคบ รถน่าจะผ่านได้ทีละคัน แต่เขาก็ยังขับสวนกันได้ สีรถงี้แทบจะแลกกัน ทางชันมาก คนขับรถก็ไม่ตื่นเต้นอะไร ขับกันอย่างนี้ทุกวันอยู่แล้ว แต่คนนั่งนี่สิเครียดไปหมด อยู่ในเนปาลมีที่ให้ทิ้งชีวิตมากเหลือเกิน

ในที่สุดพวกเราก็มาถึงสวยมภูวนาถอย่างปลอดภัย สำรวจดูแล้วว่าอวัยวะทุกส่วนอยู่ครบ หัวใจที่ตกไปที่ตาตุ่มระหว่างเดินทาง เราก็รูดกลับเข้ามาอยู่ที่อกเรียบร้อยแล้ว

สถูปสวยมภูวนาถเป็นสถูปพุทธเก่าแก่ อายุไม่ต่ำกว่า 2,500 ปี ในตำนานได้กล่าวไว้ว่านี่คือจุดกำเนิดของเทือกเขากาฎมาณฑุ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพื้นที่ระหว่างเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขามหาบารัต (อ่านให้ไทยหน่อย ก็มหาภารตะ) ตอนล่างเป็นทะเลสาบ ที่เกาะกลางทะเลสาบ เกิดมีดอกบัวสีฟ้า และในดอกบัวนั้นก็มีเปลวไฟนิรันดร์แห่งพระพุทธประดิษฐานอยู่ ผู้ที่มีความศรัทธาต่างก็มาจาริกแสวงบุญที่นี่

พระมัณชูศรีซึ่งในปัจจุบันได้รับการนับถือให้เป็นเทพเจ้าแห่งการเรียนรู้ก็ได้ทรงจาริกมาที่นี่ และทรงมีพระประสงค์ให้การจาริกของผู้แสวงบุญได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น

ว่าแล้วก็ทรงลงดาบตัดภูเขามหาบารัต ทำให้น้ำไหลออกไปจากทะเลสาบจนหมด ก่อให้เกิดหุบเขาอันอุดมสมบูรณ์คือ หุบเขากาฎมาณฑุ ส่วนเนินเขาสวยมภูวนาถ และสถูปก็คือเกาะดอกบัวนั่นเอง ส่วนโตรกโชบาร์ (Chobar) ซึ่งเป็นทางออกของแม่น้ำบาคมาตีสู่หุบเขากาฎมาณฑุ ก็คือเส้นทางที่พระมัณชูศรีลงดาบเพื่อตัดเขา

ตำนานยังกล่าวต่อไปอีกว่า พระมัณชูศรีทรงปลิดพระเกศาให้กลายเป็นต้นไม้ ส่วนเหาก็กลายเป็นลิงที่อาศัยอยู่ที่นี่
คุณพระช่วย ลิงหน้าตาน่าเอ็นดู เชื่องๆ ที่มีอยู่เต็มเขามีบรรพบุรุษเคยเป็นเหามาก่อนหรือนี่ !

ใครที่มีลูกมีหลานเลี้ยงเหาไว้บนหัว อย่ากลุ้มใจไปเลย เด็กของท่านกำลังพยายามอนุรักษ์ลิงอยู่เท่านั้นเอง

ทางเดินขึ้นองค์สถูปมี 2 ทาง ทางแรกต้องขึ้นบันได 300 ขั้น ผ่านป่าเขียวขจี (ที่เคยเป็นผม) และฝูงลิงน้อยน่ารัก (ที่เคยเป็นเหา) ส่วนอีกทางสบายขึ้นหน่อยด้วยการนั่งรถไปครึ่งทาง แล้วขึ้นจากอารามทิเบตที่อยู่ด้านหลัง

พวกเราอยากดูเหา เอ๊ยอยากดูลิงก็เลยเลือกทางแรก ที่จริงแล้วตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่ามีทางขึ้น 2 ทาง คุณศิวะเขาพาไปทางไหน ก็ตามเขาไป
ก่อนจะขึ้นสถูปต้องจ่ายเงินค่าเข้าก่อน สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปต้องจ่ายค่าเข้าชม 50 รูปี ต่อคน แต่ถ้ามาจากประเทศที่อยู่ในกลุ่ม SAAAC จะจ่ายเพียง 30 รูปีเท่านั้น

พิมยังหวังว่าจะได้ลดราคาบ้างเลยถามคนขายบัตรว่าประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ว่าด้วยหรือไม่ คนขายบัตรคงไม่คุ้นกับชื่อประเทศเราเท่าไหร่ ส่วนพิมก็เพิ่งได้ยินชื่อกลุ่มประเทศนี้เป็นครั้งแรก ปรากฏว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มประเทศแถวเอเซียใต้ มีอินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ กับอีกหลายประเทศที่ออกแขก ๆ

ที่จริงแล้วน่าจะให้พี่ปุ๊แยกตัวไปซื้อบัตร ดูเผิน ๆ พี่ปุ๊ก็คล้ายแขกอยู่นา ถ้าเขาไม่ตรวจพาสปอร์ตน่าจะพอหลอกเขาได้

ขึ้นมาถึงเหนื่อยก็เหนื่อยอยู่ แต่คุ้มมาก เพราะมองลงไปจะเห็นวิวหุบเขากาฎมาณฑุค่อนข้างชัดเจน ถ้าหมอกน้อยกว่านี้ก็จะดี แต่ถึงอย่างไรก็ยังสวยอยู่นั่นเอง

สถูปสวยมภูวนาถก็มีดวงตาพระพุทธเจ้าเขียนอยู่ ถ่ายเฉพาะดวงตาไปก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือสวยมภูวนาถ

องค์สถูปสีขาวโพลน เป็นสัญลักษณ์ของธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีปล้องไฉนสีทองอร่าม 13 ชั้น อยู่เหนือองค์สถูป เป็นสัญลักษณ์แทนระดับธรรม 13 ขั้น ก่อนบรรลุพระนิพพาน มีฉัตรที่อยู่สูงสุดแทนการนิพพาน

เช่นเดียวกับสถูปพุทธอื่น ๆ ที่นี่มีธงภาวนาปลิวไสวอยู่รอบองค์สถูป และที่ฐานสถูปก็มีวงล้อภาวนาให้ผู้เลื่อมใสหมุน อย่าลืมต้องวนขวาเท่านั้น
ด้านหลังของสถูปมีเทวรูปพระแม่คงคา (Gonga) และเทวีจะมุนา (Jamuna) พิทักษ์ไฟนิรันดร์อยู่ในกรงทอง



นอกจากนี้ยังมีเจ้าแม่ชิตะลาไม (Shitala Mai) เป็นยักษี ที่กลายมาเป็นผู้พิทักษ์เด็ก ศิวะบอกว่าชาวบ้านนิยมมาบูชาเจ้าแม่ โดยเฉพาะในวันพฤหัสเพื่ออวยพรให้เด็ก ๆ แข็งแรง วันที่เราไปเป็นวันเสาร์ ถึงกระนั้นก็มีคนรอเข้าแถวบูชายาวเหยียด ลูกเล็กเด็กแขกเต็มไปหมด

วัดนี้เป็นวัดพุทธแต่ก็มีเทวาลัยของเทพฮินดู ศิวะบอกว่าในเนปาล พุทธ และฮินดูแยกกันไม่ออก ในความเชื่อของชาวฮินดู ศาสนาพุทธถือเป็นสาขาหนึ่งของฮินดู พระพุทธเจ้าเองก็เป็นฮินดูมาก่อน

พิมขี้เกียจเถียงกับศิวะ เรื่องศาสนาใครเชื่ออย่างไรก็เป็นเรื่องของคนนั้น พูดมากไปรังแต่จะสร้างความแตกแยก อีกอย่างหนึ่ง ให้เถียงเป็นภาษาอังกฤษ พิมก็ไม่ถนัดนักหรอก

ที่พิมรู้มานั้น ในสมัยพุทธกาล เมื่อพุทธศาสนาเฟื่องฟูกลายเป็นศาสนายอดนิยมสำหรับคนทุกวรรณะ พวกฮินดูกลัวว่าชาวบ้านจะเปลี่ยนศาสนากันหมด เขาจึงแต่งเรื่องว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารหนึ่งของพระนารายณ์ หรือพระวิษณุ เรียกว่า พุทธาวตาร นี่เป็นอุบายในการพยายามคุมกำเนิดพุทธศาสนานั่นเอง

อย่างนี้ต้องว่า ‘พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่สร้างพระเจ้า’

ด้านข้างของสถูปมีอารามพุทธ หรือกอมปา (Gompa) ประดิษฐานพระพุทธรูปแบบทิเบตที่แต่งเครื่องทรงงดงามมาก ประตูเข้าซุ้มคูหาเตี้ยนิดเดียว คนโบราณคงตัวเล็กมาก แน่นอนงานนี้พี่ก้อดเดือดร้อนบ้างเมื่อต้องก้มหัวเพื่อมุดเข้าไป



ในอารามมีตะเกียงน้ำมันเนยขนาดต่าง ๆ กัน ขายให้ผู้เลื่อมใสซื้อไปจุดบูชาพระพุทธองค์ คล้ายกับการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนของบ้านเรา แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีเซียมซีให้เขย่าอย่างวัดบ้านเรา

ที่สวยมภูวนาถนี้ มีศาลาให้ชาวบ้านนักพักผ่อน และรับประทานอาหารได้ พวกเราเห็นชาวบ้านเปิบ (หรือจะจกดี) ข้าวกันกับพื้น หกเรี่ยราด ดูแล้วสกปรกมาก

พี่ซิปเห็นแล้วทำใจไม่ค่อยได้ ทำหน้าเซ็งชีวิตเป็นระยะ ๆ ทำไมคุณภาพชีวิตถึงได้แย่อย่างนี้

ชาวบ้านเขาคงชินของเขาอย่างนั้น เห็นเขาก็กินข้าวท่าทางอร่อยดี บ้านนอกบ้านเราก็ไม่ต่างจากนี้สักเท่าไหร่

เราเห็นเด็กหญิงตัวน้อย อายุคงสัก 2 – 3 ขวบ ดูดน้ำจากถุงก๊อบแก๊บสีดำ เห็นแล้วก็ห่วงว่าน้ำไม่สะอาด ถึงน้ำสะอาด ก็ไม่น่าไว้ใจถุงอยู่ดี ปัญหาเรื่องน้ำไม่สะอาดนี้เป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับประเทศเนปาล มีเด็กมากมายที่ต้องเสียชีวิตก่อนวัยวันสมควรเพราะเรื่องนี้ ...เฮ้อ เศร้า

ที่จริงแล้ว ที่สวยมภูวนาถนี้ก็นับว่าสะอาดพอใช้ ไม่มีขยะเรี่ยราด ไม่มีของกินหน้าตาพิสดารขาย เพราะส่วนใหญ่ชาวบ้านเขาเตรียมมาเอง พวกเราเห็นไอติมแบบตัดที่ไม่ฮิตแล้วในกรุงเทพฯ ขายอยู่เจ้าหนึ่ง พอไปก้มดูในถังเล็กๆ ของเขาแล้วก็แอบแหยง

ไอติมสีขาวมีลายสีดำแทรกซึมเป็นจุดๆ จุดเบ้อเริ่ม ไอติมแบบดัลเมเชี่ยนอย่างนี้ ใครจะกล้ากิน เอ...หรือว่าสีดำพวกนั้นจะเป็นเม็ดแมงลัก ถึงไอติมจะสะอาดแต่มือคนขายก็สกปรกอยู่ดีนั่นแหละ

ชมโบราณสถาน และถ่ายรูปจนคิดว่าพอแล้ว พวกเราก็ลงมาจากเนินเขา คราวนี้เราลงอีกทางหนึ่ง ไม่ชันนักเพื่อลงมาชมพระพุทธรูปปางประทานน้ำให้โลก

พระพุทธรูปนี้ประดิษฐานอยู่กลางสระน้ำ ทรงยืนยกฝ่ามือ (จำไม่ได้ว่าข้างซ้าย หรือข้างขวา) ที่ฝ่ามือมีน้ำพุพ่นใส่ลูกโลกที่อยู่เบื้องล่าง

พวกเราไม่ค่อยตื่นเต้นกับพระพุทธรูปปางแปลกตานี้ เพราะบ้านเรามีแปลกกว่าอย่างปางซุปเปอร์แมนเหยียบลูกโลกยังมีเลย

หลังจากนั้นเราก็เดินขึ้นไปเนินเขาเตี้ย ๆ เพื่อไปชมเทวาลัยของเทพมัญชูศรี (เจ้าของเหา และผม) ระหว่างทางมีไซเตียะ (Chaitya) หรือเจดีย์ หน้าตาเหมือนๆ กับเจดีย์บ้านเรา และใช้ประโยชน์อย่างเดียวกัน คือเก็บอัฐ

ศิวะบอกว่าเดี๋ยวนี้ทางการห้ามสร้างเจดีย์เพื่อเก็บอัฐในกาฐมาณฑุเพิ่มแล้ว ใครที่มีความใฝ่ฝันว่าอยากเอากระดูกของตนเองมาเก็บไว้ที่นี่เพื่อให้ได้เห็นทิวทัศน์ของกาฐมาณฑุตลอดไป ก็คงต้องฝันสลายกลายเป็นขี้เถ้าไปก่อนนะ

ที่เทวาลัยของพระมัณชูศรี นอกจากจะมีชาวบ้านมาสักการะบูชาแล้ว ยังมีนักบวชท่านหนึ่งกำลังบวงสรวงเทพเจ้า หน้ากองไฟ ด้วยดอกไม้สีสดจัด จนเหมือนกับเป็นดอกไม้ปลอมย้อมด้วยสีย้อมผ้าอย่างดี ในมือก็ถือกระดิ่งเขย่า ปากก็พร่ำบ่นมนตราไปเรื่อย ๆ

เราสังเกตว่า ในเนปาลไม่มีการนำดอกไม้มาร้อยเป็นพวงมาลัย ทั้งอย่างธรรมดา และแบบเจ็ดสี เจ็ดศอก นี่ก็โอกาส ใครมีฝีมือมือด้านร้อยมาลัย น่าจะมาทำขายหรือเปิดสอนที่นี่

ถึงตอนนี้การชมสวยมภูวนาถก็ครบถ้วนกระบวนความ แต่โปรแกรมสำหรับเช้านี้ยังไม่หมด ต้องไปปศุปตินาถกันต่อ

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***

พูดถึงไอติมแบบตัด เดี๋ยวนี้บ้านเรากลับมาฮิตแล้วนะคะ ถือเป็นไอติมโบราณที่ขายตามสถานที่ท่องเที่ยวแนวเรโทร และตามงานโอท็อปต่างๆ

สำหรับภาพถ่ายขอส่ง link ไปที่บล็อกของคุณ Lop'ster ค่ะ ถ่ายรูปมาสวยเชียว

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=long-way&group=10




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2553
0 comments
Last Update : 1 กรกฎาคม 2553 20:35:13 น.
Counter : 856 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.