|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
โรคกลิ่นตัวเหม็น (Primary Trimethylaminuria) รหัส P2002-0507-01
ข้อมูลบทความโดย ศ.ดร. อำนวย ถิฐาพันธ์ เรียบเรียงโดย นางสาวจารุวรรณ ตันเยี่ยน
สัตว์โลกทุกชนิดรวมถึงมนุษย์ต่างก็มีกลิ่นตัวด้วยกันทั้งนั้น และกลิ่นตัวก็เป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของสัตว์แต่ละชนิดหรือคนแต่ละเชื้อชาติ เช่น สกั๊ง (skunk) มีกลิ่นเฉพาะตัวที่เหม็นรุนแรง ซึ่งกลิ่นนี้ถูกปล่อยออกมาเพื่อใช้ในการป้องกันตัว หมู (pig) ก็ปล่อยสาร pheromone ออกมาเพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามให้มาผสมพันธุ์ ชะมด (musk) ก็มีกลิ่นตัวเหม็นมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของสัตว์ชนิดนี้ กลิ่นตัวของทั้งคนและสัต์นั้นเกิดจากสารเคมีที่ร่างกายขับออกมาทางเหงื่อ น้ำลาย ลมหายใจและทางปัสสาวะ สำหรับในคนนั้น บางคนก็มีกลิ่นตัวหอมซึ่งนับว่าโชคดี เป็นที่ปรารถนาของสังคม แต่คนที่โชคร้ายคือคนที่มีกลิ่นตัวไม่สู้จะดีนัก และคนที่โชคร้ายและน่าสงสารที่สุดก็คือคนที่มีกลิ่นตัวเหม็น ซึ่งถ้าเป็นมากก็เรียกว่าเป็น โรคกลิ่นตัวเหม็น หรือ Primary Trimethylaminuria เพราะคนที่เป็นโรคนี้ นอกจากจะมีกลิ่นตัวเหม็นคล้ายกลิ่นปลาเน่าแล้ว ยังมีลมหายใจที่มีกลิ่นไม่พึงปรารถนาอีกด้วย ดังนั้น คนเหล่านี้จึงเป็นพวกที่ชาวบ้านเรียกว่า เป็นโรคกลิ่นปลาเน่า (Fish-Malodor Syndrome) และคนที่เป็นโรคนี้ก็เป็นคนที่น่าสงสารมากเพราะจะถูกสังคมรังเกียจ และยังส่งผลกระทบต่อการครองเรือนอีกด้วย ซึ่งบ่อยครั้งบุคคลเหล่านี้จะกลายเป็นคนซึมเศร้าหรืออาจคิดฆ่าตัวตายได้ ยกตัวอย่างเช่น วัยรุ่นสาวอายุ 20 ปี จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีกลิ่นตัวเหม็น เมื่อตอนอายุ 16 ปี และอาการเหม็นก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เคยไปปรึกษาแพทย์ก็ไม่รู้ว่าจะรักษาอย่างไร เพราะถึงแม้ว่าจะผ่าตัดทอนซิลและมดลูกออกไปแล้ว กลิ่นตัวก็ยังเหม็นเหมือนเดิม จึงรู้สึกกลุ้มใจมากเนื่องจากเป็นที่รังเกียจของสังคมและคนในครอบครัว จากตัวอย่างที่กล่าวนี้จะเห็นได้ว่าคนที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็นนั้นจะมีปัญหามากทั้งทางด้านสังคมและจิตใจ และถ้าไม่ได้รับการบำบัดดูแลอย่างถูกวิธีแล้วก็อาจจะทำให้คิดสั้น หรือเกิดปัญหาหย่าร้างระหว่างสามีหรือภรรยา และในที่สุดก็อาจคิดสั้นฆ่าตัวตายได้
โรคกลิ่นตัวเหม็นนั้นมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย เมื่อประมาณ 700 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตามหลักวิทยาศาสตร์ในแถบยุโรปมีอุบัติการณ์เกิดโรคนี้ไม่น้อยกว่า 1% และผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะประสบปัญหาดังกล่าวข้างต้นเกือบทุกราย สำหรับในประเทศไทยยังไม่ทราบอุบัติการณ์เกิดโรคนี้แน่นอน แต่ก็มีผู้ที่เป็นโรคนี้มาพบแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ อยู่เรื่อยๆ บางรายแพทย์ต้องให้ยากล่อมประสาท ยาคลายเครียดและยาแก้ความซึมเศร้าไปรับประทาน ซึ่งยาประเภทนี้นอกจากจะไม่ทำให้อาการของโรคทุเลาลงแล้ว กลิ่นตัวยังจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย ในวงการแพทย์เองก็ยังไม่ทราบว่าจะบำบัดรักษาโรคนี้อย่างไรดี มีคนที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็นหลายรายต้องหันไปพึ่งไสยศาสตร์ หมอพระ หมอผี แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ปัจจุบันทราบว่าอาการกลิ่นตัวเหม็นของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากสารเคมีที่ชื่อว่า TMA (Trimethylamine) ซึ่งได้มาจากอาหารบางชนิด สารตัวนี้จะระเหยได้ง่าย มีจุดเดือดเพียง 3องศา และสามารถส่งกลิ่นแพร่ไปได้ในปริมาณและความเข้มข้นซึ่งถึงแม้ว่าจะน้อยมาก แต่จมูกของคนเราก็สามารถรับกลิ่นได้ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป อาหารก็จะถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ (Bacteria) ที่มีอยู่มากบริเวณลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ แล้วเปลี่ยนไปเป็น TMA จากนั้น TMA ก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เข้าสู่ร่างกายไปถูกทำลายที่ตับ ในคนปกติตับก็จะใช้เอนไซม์ ชื่อ FMO3 เปลี่ยน TMA ให้เป็น TMA-O ซึ่งละลายน้ำได้ดีและไม่มีกลิ่นเหม็น และถูกกำจัดออกจากร่างกายทาง Body Secretions เช่น เหงื่อ น้ำลาย ปัสสาวะ เป็นต้น ส่วนคนที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็น FMO3 จะไม่ทำงานหรือทำงานไม่ได้อันเป็นเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม TMA ก็จะไม่ถูกทำลาย แล้วมันก็จะถูกขับออกมาทางเหงื่อ และปัสสาวะ ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว โรคกลิ่นตัวเหม็นนี้สามารถถ่ายทอดสู่ลูกหลานได้ทางพันธุกรรมโดยวิธี autosomal recessive transmission สำหรับการบำบัดและดูแลรักษาโรคกลิ่นตัวเหม็นนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ GENE THERAPY โดยขบวนการตัดต่อยีนส์ แล้วนำ FMO3 GENE ที่ตัดต่อได้ใส่เข้าไปในผู้ป่วย แต่ในขณะนี้เทคนิคหรือวิธีการนี้เพิ่งจะได้รับการพัฒนา ซึ่งคาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ก็น่าจะนำมาใช้ในการรักษาโรคผู้ป่วยกลิ่นตัวเหม็นได้
สำหรับการบำบัดรักษาในขณะนี้ทำได้ 3 วิธี คือ
1. ควบคุมอาหารโดยพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นแหล่งของ TMA เช่น ไข่แดง ตับ ถั่ว เนื้อสัตว์ สะตอ และทุเรียน เป็นต้น
2. ใช้ยา Flagyl (Metronidazole) และ Yakult หรือนมเปรี้ยว โดยรับประทาน Flagyl ขนาด 250 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และรับประทาน Yakult วันละ 2 ขวด เช้าและเย็น ซึ่งจะสามารถช่วยให้กลิ่นตัวเหม็นทุเลาลงได้ แต่ยังไม่หายขาด ต้องรับประทานเป็นช่วงๆ ตามความจำเป็น
3. ใช้ Copper Chlorophyllin ในขนาด 180 มก. ต่อวัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ซึ่งจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นพบว่า สามารถลดอาการเหม็นของกลิ่นตัวได้ไม่น้อยกว่า 7 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตาม ยาตัวนี้ยังไม่มีขายในประเทศไทย มันเป็นอาหารเสริมที่วางขายอยู่ทั่วไปในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
กล่าวโดยสรุป โรคกลิ่นตัวเหม็น เป็นโรคทางพันธุกรรม (genetic disease) เกิดจากการที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลง TMA ให้เป็น TMA-O ได้ ดังนั้น TMA จึงถูกขับออกมาจากร่างกายทุกๆ ทาง เช่น น้ำลาย เหงื่อ และปัสสาวะ เป็นต้น ส่วนการดูแลรักษานั้น ในขั้นต้นก็ต้องดูแลเรื่องสุขอนามัยของตนเองให้ดี ควบคุมอาหารโดยหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภท เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม ถั่ว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องพยายามหลีกเลี่ยงยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายเครียด ซึ่งจะทำให้กลิ่นตัวของผู้ป่วยโรคนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะยาประเภทนี้จะไปยับยั้งการทำงานของ FMO3 ซึ่งการทำงานของมันในผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว
ข้อมูลดีๆๆจาก ramaclinic.com
Create Date : 03 เมษายน 2551 |
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:10:13 น. |
|
8 comments
|
Counter : 1472 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ajjt IP: 124.120.95.191 วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:7:02:38 น. |
|
|
|
โดย: sirin IP: 210.213.26.178 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:11:42:35 น. |
|
|
|
โดย: สิริ IP: 58.9.188.114 วันที่: 19 เมษายน 2551 เวลา:1:29:01 น. |
|
|
|
โดย: วิธีที่ง่าย IP: 118.172.200.7 วันที่: 26 เมษายน 2551 เวลา:10:15:15 น. |
|
|
|
โดย: Apiwat IP: 124.120.160.168 วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:7:55:24 น. |
|
|
|
โดย: tookata IP: 171.96.176.21 วันที่: 29 มิถุนายน 2558 เวลา:12:09:22 น. |
|
|
|
โดย: artty2015 IP: 171.96.177.234 วันที่: 2 กรกฎาคม 2558 เวลา:17:33:08 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|