space
space
space
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
space
space
3 เมษายน 2551
space
space
space

โรคกลิ่นตัวเหม็น
โรคกลิ่นตัวเหม็น
(Primary Trimethylaminuria)
รหัส P2002-0507-01

ข้อมูลบทความโดย ศ.ดร. อำนวย ถิฐาพันธ์
เรียบเรียงโดย นางสาวจารุวรรณ ตันเยี่ยน

สัตว์โลกทุกชนิดรวมถึงมนุษย์ต่างก็มีกลิ่นตัวด้วยกันทั้งนั้น และกลิ่นตัวก็เป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของสัตว์แต่ละชนิดหรือคนแต่ละเชื้อชาติ เช่น สกั๊ง (skunk) มีกลิ่นเฉพาะตัวที่เหม็นรุนแรง ซึ่งกลิ่นนี้ถูกปล่อยออกมาเพื่อใช้ในการป้องกันตัว หมู (pig) ก็ปล่อยสาร pheromone ออกมาเพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามให้มาผสมพันธุ์ ชะมด (musk) ก็มีกลิ่นตัวเหม็นมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของสัตว์ชนิดนี้ กลิ่นตัวของทั้งคนและสัต์นั้นเกิดจากสารเคมีที่ร่างกายขับออกมาทางเหงื่อ น้ำลาย ลมหายใจและทางปัสสาวะ สำหรับในคนนั้น บางคนก็มีกลิ่นตัวหอมซึ่งนับว่าโชคดี เป็นที่ปรารถนาของสังคม แต่คนที่โชคร้ายคือคนที่มีกลิ่นตัวไม่สู้จะดีนัก และคนที่โชคร้ายและน่าสงสารที่สุดก็คือคนที่มีกลิ่นตัวเหม็น ซึ่งถ้าเป็นมากก็เรียกว่าเป็น “โรคกลิ่นตัวเหม็น” หรือ Primary Trimethylaminuria เพราะคนที่เป็นโรคนี้ นอกจากจะมีกลิ่นตัวเหม็นคล้ายกลิ่นปลาเน่าแล้ว ยังมีลมหายใจที่มีกลิ่นไม่พึงปรารถนาอีกด้วย ดังนั้น คนเหล่านี้จึงเป็นพวกที่ชาวบ้านเรียกว่า เป็นโรคกลิ่นปลาเน่า (Fish-Malodor Syndrome) และคนที่เป็นโรคนี้ก็เป็นคนที่น่าสงสารมากเพราะจะถูกสังคมรังเกียจ และยังส่งผลกระทบต่อการครองเรือนอีกด้วย ซึ่งบ่อยครั้งบุคคลเหล่านี้จะกลายเป็นคนซึมเศร้าหรืออาจคิดฆ่าตัวตายได้ ยกตัวอย่างเช่น วัยรุ่นสาวอายุ 20 ปี จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีกลิ่นตัวเหม็น เมื่อตอนอายุ 16 ปี และอาการเหม็นก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เคยไปปรึกษาแพทย์ก็ไม่รู้ว่าจะรักษาอย่างไร เพราะถึงแม้ว่าจะผ่าตัดทอนซิลและมดลูกออกไปแล้ว กลิ่นตัวก็ยังเหม็นเหมือนเดิม จึงรู้สึกกลุ้มใจมากเนื่องจากเป็นที่รังเกียจของสังคมและคนในครอบครัว จากตัวอย่างที่กล่าวนี้จะเห็นได้ว่าคนที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็นนั้นจะมีปัญหามากทั้งทางด้านสังคมและจิตใจ และถ้าไม่ได้รับการบำบัดดูแลอย่างถูกวิธีแล้วก็อาจจะทำให้คิดสั้น หรือเกิดปัญหาหย่าร้างระหว่างสามีหรือภรรยา และในที่สุดก็อาจคิดสั้นฆ่าตัวตายได้

โรคกลิ่นตัวเหม็นนั้นมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย เมื่อประมาณ 700 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตามหลักวิทยาศาสตร์ในแถบยุโรปมีอุบัติการณ์เกิดโรคนี้ไม่น้อยกว่า 1% และผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะประสบปัญหาดังกล่าวข้างต้นเกือบทุกราย สำหรับในประเทศไทยยังไม่ทราบอุบัติการณ์เกิดโรคนี้แน่นอน แต่ก็มีผู้ที่เป็นโรคนี้มาพบแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ อยู่เรื่อยๆ บางรายแพทย์ต้องให้ยากล่อมประสาท ยาคลายเครียดและยาแก้ความซึมเศร้าไปรับประทาน ซึ่งยาประเภทนี้นอกจากจะไม่ทำให้อาการของโรคทุเลาลงแล้ว กลิ่นตัวยังจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย ในวงการแพทย์เองก็ยังไม่ทราบว่าจะบำบัดรักษาโรคนี้อย่างไรดี มีคนที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็นหลายรายต้องหันไปพึ่งไสยศาสตร์ หมอพระ หมอผี แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ปัจจุบันทราบว่าอาการกลิ่นตัวเหม็นของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากสารเคมีที่ชื่อว่า “TMA” (Trimethylamine) ซึ่งได้มาจากอาหารบางชนิด สารตัวนี้จะระเหยได้ง่าย มีจุดเดือดเพียง 3องศา และสามารถส่งกลิ่นแพร่ไปได้ในปริมาณและความเข้มข้นซึ่งถึงแม้ว่าจะน้อยมาก แต่จมูกของคนเราก็สามารถรับกลิ่นได้ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป อาหารก็จะถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ (Bacteria) ที่มีอยู่มากบริเวณลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ แล้วเปลี่ยนไปเป็น TMA จากนั้น TMA ก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เข้าสู่ร่างกายไปถูกทำลายที่ตับ ในคนปกติตับก็จะใช้เอนไซม์ ชื่อ FMO3 เปลี่ยน TMA ให้เป็น TMA-O ซึ่งละลายน้ำได้ดีและไม่มีกลิ่นเหม็น และถูกกำจัดออกจากร่างกายทาง Body Secretions เช่น เหงื่อ น้ำลาย ปัสสาวะ เป็นต้น ส่วนคนที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็น FMO3 จะไม่ทำงานหรือทำงานไม่ได้อันเป็นเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม TMA ก็จะไม่ถูกทำลาย แล้วมันก็จะถูกขับออกมาทางเหงื่อ และปัสสาวะ ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว โรคกลิ่นตัวเหม็นนี้สามารถถ่ายทอดสู่ลูกหลานได้ทางพันธุกรรมโดยวิธี autosomal recessive transmission
สำหรับการบำบัดและดูแลรักษาโรคกลิ่นตัวเหม็นนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ GENE THERAPY โดยขบวนการตัดต่อยีนส์ แล้วนำ FMO3 GENE ที่ตัดต่อได้ใส่เข้าไปในผู้ป่วย แต่ในขณะนี้เทคนิคหรือวิธีการนี้เพิ่งจะได้รับการพัฒนา ซึ่งคาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ก็น่าจะนำมาใช้ในการรักษาโรคผู้ป่วยกลิ่นตัวเหม็นได้

สำหรับการบำบัดรักษาในขณะนี้ทำได้ 3 วิธี คือ

1. ควบคุมอาหารโดยพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นแหล่งของ TMA เช่น ไข่แดง ตับ ถั่ว เนื้อสัตว์ สะตอ และทุเรียน เป็นต้น

2. ใช้ยา Flagyl (Metronidazole) และ Yakult หรือนมเปรี้ยว โดยรับประทาน Flagyl ขนาด 250 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และรับประทาน Yakult วันละ 2 ขวด เช้าและเย็น ซึ่งจะสามารถช่วยให้กลิ่นตัวเหม็นทุเลาลงได้ แต่ยังไม่หายขาด ต้องรับประทานเป็นช่วงๆ ตามความจำเป็น

3. ใช้ Copper Chlorophyllin ในขนาด 180 มก. ต่อวัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ซึ่งจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นพบว่า สามารถลดอาการเหม็นของกลิ่นตัวได้ไม่น้อยกว่า 7 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตาม ยาตัวนี้ยังไม่มีขายในประเทศไทย มันเป็นอาหารเสริมที่วางขายอยู่ทั่วไปในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

กล่าวโดยสรุป “โรคกลิ่นตัวเหม็น” เป็นโรคทางพันธุกรรม (genetic disease) เกิดจากการที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลง TMA ให้เป็น TMA-O ได้ ดังนั้น TMA จึงถูกขับออกมาจากร่างกายทุกๆ ทาง เช่น น้ำลาย เหงื่อ และปัสสาวะ เป็นต้น ส่วนการดูแลรักษานั้น ในขั้นต้นก็ต้องดูแลเรื่องสุขอนามัยของตนเองให้ดี ควบคุมอาหารโดยหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภท เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม ถั่ว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องพยายามหลีกเลี่ยงยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายเครียด ซึ่งจะทำให้กลิ่นตัวของผู้ป่วยโรคนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะยาประเภทนี้จะไปยับยั้งการทำงานของ FMO3 ซึ่งการทำงานของมันในผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว

ข้อมูลดีๆๆจาก ramaclinic.com


Create Date : 03 เมษายน 2551
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:10:13 น. 8 comments
Counter : 1472 Pageviews.

 
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ


โดย: ajjt IP: 124.120.95.191 วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:7:02:38 น.  

 
เข้ามาอ่านครับ

เพิ่งทราบว่าการมีกลิ่นตัว ถือได้ว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง


โดย: กระต่ายไม่ขูดมะพร้าว วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:8:12:19 น.  

 
ขอบคุณสำหรับประโยชน์เหล่านี้ที่ให้มาค่ะจะนำไปใช้น๊ะคะ


โดย: sirin IP: 210.213.26.178 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:11:42:35 น.  

 
อยากทราบค่ารักษาและวิธีการรักษานะค่ะ


โดย: สิริ IP: 58.9.188.114 วันที่: 19 เมษายน 2551 เวลา:1:29:01 น.  

 
มีวิธีที่ง่าย และรับรองกำจัดกลิ่นตัวได้ผลดีมากรับรองได้ผลครับ 7 วันเห็นผลอยากทราบรายละเอียด mailมาที่ lakboon@yahoo.com ต้องการให้กับคนที่มีปัญหาจริงๆ ครับ


โดย: วิธีที่ง่าย IP: 118.172.200.7 วันที่: 26 เมษายน 2551 เวลา:10:15:15 น.  

 
ขอแนะนำให้ใช้แป้งJTน่ะครับ ใครใช้ก็บอกว่าดีจริงๆ ค้นหาในgoogle พิมพ์คำว่า แป้งJT หรือ แป้งสมุนไพรJT น่ะครับ



โดย: Apiwat IP: 124.120.160.168 วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:7:55:24 น.  

 
สาเหตุหลักของกลิ่นเต่าก็มาจาก เหงื่อค่ะ
ส่วนคราบเหลือง ก็มาจากเหงื่อค่ะ เหงื่อเมื่อเจอสารเคมีในโลออนก็เกิดปฏิกริยา ยิ่งเจอผงซักฟอกก็ยิ่งฝังแน่นค่ะ

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ช่วยในเรื่องลดเหงื่อ
ส่วนตัวก็เป็นคนมีกลิ่นเต่าค่ะ เพราะเป็นคนเหงื่อออกง่าย ตอนนี้หายแล้วค่ะ เพราะเลือกใช้ แป้ง FIC แป้งอ่อนโยนต่อผิว ลดเหงื่อได้ดี ดับกลิ่นดีมาก ต่อให้เหงื่อออกเยอะๆก็ไม่มีกลิ่นค่ะ

ใครสนใจก็เข้าไปดูเฟสเขาได้เรยค่ะ พิม FIC แป้งระงับกลิ่นกาย แค่นี้ก็เจอแล้วค่ะ


โดย: tookata IP: 171.96.176.21 วันที่: 29 มิถุนายน 2558 เวลา:12:09:22 น.  

 
ผมลองแล้วครับ แป้ง FIC ใช้ดีจริงๆครับ
ผมเป็นผช.ที่ไม่ค่อยดูแลตัวเอง แต่เรื่องกลิ่นตัวมันจำเป็นครับ กลัวไม่มีใครเข้าใกล้
ผมมีปัญหากลิ่นตัวแรงมานานมาก ผมใช้โลออนเกือบทุกยี่ห้อ สารส้มผมก็ใช้ แป้งตาเต่าผมก็ลอง พอมาเจอแป้ง FIC เห็นเด้งในเฟสบุ๊คผม ผมเลยสั่งซื้อมาลองครับ
อยากบอกว่า กลิ่นตัวผมเบาลงมาก และตอนนี้ก็ไม่มีแล้วครับ ถึงเหงื่อจะออกก็ตาม
อีกอย่าง เสื้อผ้าตรงรักแร้ ก็ไม่มีคราบเหมือนตอนใช้โลออนนะครับ
ของเขาดีจริงๆ ต้องลองครับ
อยากรู้รายละเอียด ก็เข้าเฟสบุ๊ค พิม FIC แป้งระงับกลิ่นกาย แค่นี้เองครับ


โดย: artty2015 IP: 171.96.177.234 วันที่: 2 กรกฎาคม 2558 เวลา:17:33:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

tanas251235
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space