การใช้ "สเต็มเซลล์" รักษาโรค
ใน ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความพยายามนำ เซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ มาทดสอบรักษาผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ทั้งในโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนโรงพยาบาลเอกชน ทำให้ทางแพทยสภาต้องออก ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในการบำบัดรักษาโรค มาควบคุม นพ.ดร.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะอนุกรรมการพิจารณาร่างข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่ง วิชาชีพเวช กรรม เกี่ยวกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด บอกว่า เซลล์ต้นกำเนิดมีคุณสมบัติสำคัญ คือ สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ กันได้หลายชนิด รวมทั้งสามารถแบ่งตัวสร้างเซลล์ใหม่ที่มีคุณสมบัติเหมือนเดิมได้อย่างไม่ จำกัด พบได้ทั้งในตัวอ่อน และในเกือบทุกอวัยวะของร่างกาย
)
หลายอวัยวะของคนที่เซลล์ตายไปจากภาวะต่าง ๆ แล้วร่างกายไม่สามารถสร้างเซลล์ปกติขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่เสียไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ทำให้มีโรคหลายชนิดที่ไม่สามารถรักษาหายได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด แผลจากเส้นเลือดตีบ โรคกระจกตา โรคลานประสาทตา โรคเบาหวาน โรคอัมพาต โรคพาร์คินสัน โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ โรคข้อเสื่อม โรคไตวาย โรคกระดูกผุ และโรคชราภาพอื่น ๆ
จากความก้าวหน้าเกี่ยวกับการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดทำให้เกิดความหวังในการ รักษาผู้ป่วยโรคเหล่านี้ และมีบางโรคที่งานวิจัยก้าวหน้าถึงขั้นมีการศึกษาในผู้ป่วยแล้ว ยิ่งสนับสนุนความสำคัญของงานวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด ในทางตรงข้ามก็มีผู้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดโดย ขาดพื้นฐานทางวิชาการและหลักฐานด้านความปลอดภัย จนมีประชาชนจำนวนมากที่อาจได้รับผลกระทบจากการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดใน อนาคต
สำหรับเซลล์ที่นำมาใช้มากที่สุด คือ เซลล์จากไขกระดูก ซึ่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังมีจำกัดว่า เป็นประโยชน์จริงหรือไม่ ถ้ามีประโยชน์เป็นเพราะอะไร มีความปลอดภัยเพียงใด เนื่องจากมีผู้ที่ขาดความรู้แต่สามารถหาเซลล์และผู้ป่วยที่ยินยอมมาทดลองได้ ง่าย ผลที่ตามมา คือ มี รายงานการทดลองการรักษาที่ไม่มีมาตรฐานที่ดี ข้ามขั้นตอนทดสอบประสิทธิภาพในสัตว์ หรือไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ถูกตีพิมพ์เพิ่มขึ้น และรายงานเหล่านี้มักถูกใช้ในการอ้างอิงโดยแพทย์หรือนักวิจัยที่ขาดความรู้ เพื่อทำการศึกษาในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นในช่วง 2-3 ปีนี้จะเห็นรายงานลักษณะนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มที่จะมีการใช้ในทางที่ผิดเพื่อหารายได้
การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ เป็นแนวทางการรักษาที่น่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการแพทย์ เพราะเกี่ยวข้องกับโรคที่มีความสำคัญ มีผู้ป่วยจำนวนมาก จำเป็นต้องมีแผนการใน การดูแลและควบคุมระดับประเทศ ปัญหาสำคัญในขณะนี้ คือ มีหลายแห่งในประเทศที่นำสเต็มเซลล์ไปหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยไม่ถูก ต้องตามหลักวิชาการสากล มีการโฆษณาเกินจริง ทำให้ผู้ป่วยที่ขาดความรู้หลงเชื่อ นอกจากจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมากแล้ว ยังไม่ได้ผลหรือเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ ในระยะสั้นอาจนำรายได้เข้าประเทศ แต่ระยะยาวเมื่อชื่อเสียงของประเทศไทยเสียไปจะทำให้เกิดผลเสียต่อความน่า เชื่อถือของประเทศด้านการบริการทางการแพทย์โดยรวม ดังนั้นถ้าควบคุมให้ดีได้มาตรฐาน มีหลักวิชาการสามารถตรวจสอบได้ ก็สามารถเป็นจุดขายเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่มุ่งเป็นศูนย์กลางการรักษา พยาบาลในภูมิภาคได้
อย่างไรก็ดีการนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ประโยชน์ในผู้ป่วยที่ได้ผลจริงยังมี ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ผลการรักษาโรคหัวใจแสดงว่าเซลล์ต้นกำเนิดอาจมีประโยชน์อื่น ๆ อีก ซึ่งถ้าศึกษาให้ดีในสัตว์ทดลอง เพื่อทำความเข้าใจกลไก หาทางคัดเลือกเซลล์ที่มีประโยชน์สูงสุด ก็อาจให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพดีพอที่จะเป็นการรักษามาตรฐานได้ และเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกและรกอาจใช้เป็นส่วนประกอบของการรักษาปกติหลาย อย่างได้ ทั้งนี้ประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่าย ความเสี่ยงของคนไข้ จะเป็นปัจจัยตัดสินว่าการรักษาใดจะถูกนำไปใช้กว้างขวางขึ้น และมีโอกาสมากที่จะได้ผลที่มีนัยสำคัญทางสถิติ และกลายเป็นการรักษาทั่วไป ด้วยข้อมูลปัจจุบันการปลูกถ่ายกระจกตาจากเซลล์ต้นกำเนิดกระจกตาน่าจะกลาย เป็นการรักษามาตรฐาน ส่วนการรักษาแผลเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคกระดูก จะเป็นการรักษามาตรฐานต่อเมื่อแสดงให้เห็นประสิทธิภาพจนเป็นที่ยอมรับว่าได้ ผลมากเพียงพอ โรค อื่น ๆ อย่างน้อยประมาณ 3 ปีจึงจะกลายเป็นการรักษามาตรฐาน
(สนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ หน่วยสื่อสารความรู้และขับเคลื่อนสังคม //www.hsri.or.th; 02-951-1286-93 ต่อ 121 , 135 , 145)
Create Date : 23 สิงหาคม 2551 |
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:37:26 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1688 Pageviews. |
|
|
|