space
space
space
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
space
space
4 เมษายน 2551
space
space
space

การปัสสาวะรดที่นอนในเด็ก
เด็กที่มีอาการปัสสาวะรดที่นอนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะแต่ส่วนน้อยอาจมีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะหรือระบบประสาทที่ควบคุมได้ โดยทั่วไปควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและตรวจปัสสาวะหาความผิดปกติเหล่านี้ หากตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติ คือมีอาการปัสสาวะรดที่นอนที่ไม่พบสาเหตุทางกาย ควรปฏิบัติ ดังนี้ หรืออาจจะลองปฏิบัติตามนี้ก่อนไปพบแพทย์ดูก่อนก็ได้

พ่อแม่ควรทราบว่าปัญหาปัสสาวะรดที่นอนเป็นภาวะที่พบได้บ่อย คือประมาณร้อยละ 15 ของเด็กอายุ 5 ปี ยังปัสสาวะรดที่นอน และในจำนวนนี้จะหยุดปัสสาวะรดที่นอนได้เอง ร้อยละ 15 ต่อปี เด็กไม่อยากให้ตนเองปัสสาวะรดที่นอนเหมือนกัน แต่เขาไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ จึงไม่ได้เป็นความผิดของเด็ก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการลงโทษโดยไม่เหมาะสม ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากปัญหาด้านจิตใจ แต่เด็กอาจได้รับผลกระทบทางจิตใจจากการปัสสาวะรดที่นอน ได้แก่ ความรู้สึกอับอาย ขาดความมั่นใจในตัวเอง วิตกกังวล และปัญหาด้านสังคม เป็นต้น




คำแนะนำในการช่วยเหลือเด็กที่ปัสสาวะรดที่นอนโดยทั่วไปประกอบด้วย

1. การจูงใจให้เด็กต้องการควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนด้วยตนเอง ด้วยการพูดถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นตามมา เช่น พ่อแม่รู้สึกดีใจ เด็กสามารถไปนอนนอกบ้านหรือเข้าค่ายกับเพื่อนได้โดยไม่ต้องกังวลใจ รวมทั้งความรุ้สึกมั่นใจในตนเอง เป็นต้น แต่โดยทั่วไปเด็กมักต้องการหยุดปัสสาวะรดที่นอนเองอยู่แล้ว

2. งดอาหารและเครื่องดื่มในช่วงเวลา 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ เช่น น้ำอัดลมบางชนิด และชาเขียว เป็นต้น เนื่องจากสารคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เครื่องดื่มเหล่านี้มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบประมาณ 10 มก./100 มล.

3. ให้ปัสสาวะก่อนเข้านอนทุกคืน

4. เน้นให้การฝึกควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนเป็นความรับผิดชอบของเด็กเอง ตั้งแต่ให้บันทึกอาการปัสสาวะรดที่นอนด้วยตนเอง ลุกขึ้นมาปัสสาวะเองถ้ารู้สึกปวดปัสสาวะ และให้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนหรือทำความสะอาดเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอน เด็กจำนวนหนึ่งปัสสาวะรดที่นอนลดลงมากหลังจากให้เริ่มบันทึกด้วยตนเอง

5. งดการปลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืน เพราะอาจทำให้เด็กหยุดปัสสาวะรดที่นอนได้ช้ากว่าไม่ปลุก และมักทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่และเด็กมากกว่า

6. ใช้หลักพฤติกรรมบำบัด คือให้แรงเสริมทางบวก ( positive reinforcement ) เมื่อเด็กสามารถควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนได้ โดยให้เด็กติดสติกเกอร์รูปที่ตนเองชอบลงบนปฏิทินในวันที่ไม่ปัสสาวะรดที่นอน และพ่อแม่ควรให้รางวัลด้วยการพูดชมเชย ของเล่น หรือสิทธิประโยชน์บางอย่าง เป็นต้น พ่อแม่ต้องช่วยติดตามการเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์ และพิจารณาให้รางวัลที่มีคุณค่ามากขึ้นถ้าเด็กควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนได้มากขึ้นในแต่ละสัปดาห์ที่ผ่านไป

ในกรณีที่เด็กอายุมากกว่า 7-8 ปีแล้วยังไม่หยุดปัสสาวะรดที่นอน มีวิธีการรักษา 2 แบบ คือการใช้อุปกรณ์สัญญาณปลุกเมื่อปัสสาวะรดที่นอน และการใช้ยารักษา

1. การใช้อุปกรณ์สัญญาณปลุก (enuresis alarm) เป็นวิธีการรักษาที่อาศัยพื้นฐานความรู้จากทฤษฎีการเรียนรู้ คือหากพ่อแม่สามารถทำให้เด็กตื่นนอนทุกครั้งเมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม (ปัสสาวะรดที่นอน) ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เด็กจะสามารถตื่นได้เองเมื่อปวดปัสสาวะ (การปลุกเด็กทุกคืนก่อนที่เด็กจะปัสสาวะรดที่นอน ไม่ได้เป็นการทำให้เด็กตื่นตอนที่กระเพาะปัสสาวะเต็มพอดี จึงไม่สามารถหยุดอาการปัสสาวะรดที่นอนได้) เป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลมากที่สุด ประมาณร้อยละ 60-90 และมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้น้อย คือประมาณร้อยละ 15-40 การรักษาโดยใช้วิธีนี้ควรใช้ต่ออีกระยะหนึ่งหลังจากหยุดปัสสาวะรดแล้วจึงได้ผลดี เป็นวิธีการรักษาที่แนะนำให้เลือกใช้เป็นลำดับแรกก่อนการรักษาด้วยยา

2. การรักษาด้วยยา ยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษามี 2 ชนิด คือ imipramine และ desmopressin acetate (DDAVP) แพทย์จะพิจารณาให้ตามความเหมาะสม โดยทั่วไปยา Imipramine ได้ผลประมาณร้อยละ 40-60 แต่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำหลังหยุดยาร้อยละ 50 ส่วนยา DDAVP มี 2 ชนิด คือ ชนิดพ่นจมูกและชนิดกิน ได้ผลร้อยละ 10-65 แต่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำหลังหยุดยาสูงถึงร้อยละ 80


thanks for ramaclinic.com



Create Date : 04 เมษายน 2551
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:11:07 น. 1 comments
Counter : 1823 Pageviews.

 


โดย: พิมพ์พจี IP: 222.123.40.49 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:11:18:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

tanas251235
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space