แว่วเสียงน้ากับป้าคุยกัน..วันนี้ตีนฟ้าเปิด
..คิดว่าฝนคงไม่ตกหรอกคืนนี้
"ฝนรินรีบอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลา
เดี๋ยวจะได้ไปดูหนังกัน"
เหมือนเสียงสวรรค์.. รู้สึกยินดีจนลิงโลด
โดดลงจากเรือนไปที่นอกชาน
ตักน้ำราดตัวสองสามขัน...
ประแป้งหน้าขาวไปนั่งล้อมวง
ตาสวงหยิบผ้าคะม้ามาพาดไหล่
เดินลงเรือนไป
เด็กชายฉวยเสื่อติดมือมา
แสงไฟฉายส่องสว่าง.
เด็กๆเดินตามทางมาเป็นทิวแถว
ฝนรินเร่งฝีเท้า...มาเดินเคียงกัน
เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังลั่น
กลางลานกว้างถูกจับจองไว้เป็นที่นั่ง
บ้างก็ปูลาดด้วยเสื่อสาท หนังสือพิมพ์
บ้างก็นั่งบนพื้นหญ้านุ่มๆแทนเบาะรองนั่งชั้นดี
โหมโรงด้วยเพลงลูกทุ่ง สลับสปอร์ตประกาศขายยาหม่อง
และยาลดกรด เด็กๆรอชมหนังด้วยใจกระวนกระวาย
หนังจีนกำลังภายในฉายเป็นเรื่องแรก
ทุกครั้งที่มีฉากประดาบ
ฝนรินหลับตาซุกหน้าไว้กับบ่าพี่ชาย
ฉากต่อสู้จบลงด้วยหนังไหม้..ต้องเปลี่ยนม้วน...
แสงไฟจากเครื่องฉายพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้า
มองตามไป..แสงจันทร์ที่เยี่ยมหน้ามาทักทาย
เมื่อสักครู่หลบหายไปในหมู่เมฆ
กลิ่นปลาหมึกปิ้งข้าวโพดคั่วอวลอบตรลบไป
ระหว่างรอผู้คนเดินไปจับจ่ายหาของกิน..
ลูกโป่งลอยหายไปบนท้องฟ้า..ลมพัดกรรโชกมา
พาหนังสือพิมพ์ปลิดปลิวบินว่อน
...ฝุ่นฟุ้งกระจายจนแสบตา...
จู่ๆฝนก็เทลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
แบบที่เรียกว่าฝนไล่ช้าง ตกไม่ลืมหูลืมตา
คนแตกฮือวิ่งหนีเข้าที่พักพิง
ฝนรินกับพี่ชายช่วยกันม้วนเสื่อหนีไม่ทัน
จูงมือกันเดินตากฝนจนเปียกปอน
ใจอาวรณ์พลาดหนังไทยที่ยังไม่ได้ชม
ฝนรินมองที่ปัดน้ำฝน..ปล่อยจิตปล่อยใจ
ลอยกลับไปในอดีตที่แสนหวาน
ความสุขเมื่อวันวารช่างแสนเรียบง่าย
บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงความทรงจำ
ยามเมื่อฝนพรมพรำ..เงาอดีตฉายชัดอีกครั้ง
คิดถึงพี่ชาย...คิดถึงวันฝนพรำ
คิดถึงวันที่ได้ชมหนังกลางแปลงด้วยกัน
ความคิดถึงแม้ว่ามันจะเศร้าร้าวลึกเมื่อหวลนึกถึง...
แต่ก็แอบแฝงไปด้วยความสุข
ไฟแดงเปลี่ยนเป็นเขียวสว่างวาบ...
เปรียบคล้ายความสุขความทุกข์ที่สลับกันไปมา
ฝนรินกระซิบเบาๆ..ลาก่อนนะเจ้าความคิดถึง..
แอมอร
ท้ายเรื่อง สวัสดีวันอังคารค่ะชาวตะพาบที่รัก
..รีบมาส่งงาน
เตรียมตัวไปทำงานก่อนนะคะ
แวะมาอ่านงานตะพาบค่ะ