เรื่องที่ 19 เคล็ดลับสู่ความสุข
เรื่องที่ 19 เคล็ดลับสู่ความสุข
หลาน ตาครับ ผมเรียนใกล้จะจบแล้ว ดีใจมากๆเลยครับ
ตา เออ ตาก็ดีใจด้วยนะ ที่หลานจะได้เป็นผู้ใหญ่รู้จักทำงาน ไม่ต้องแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้เสียที แต่หลานรักของตา ตาอยากฝากเคล็ดลับสู่ความสุขและความสำเร็จในการใช้ชีวิตให้หลาน หลานตั้งใจฟังตานะ
หลาน ครับตา
ตา คนเราทุกคนปราถนาความสุขกันอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของทุกคน ถ้าหลานอยากมีความสุขและประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงต้องมี 3 พ.นะหลาน จำไว้นะ หรือจำง่ายๆก็คือถ้าไม่รู้จักพอก็หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ พ.ที่หนึ่ง พากเพียรเรียนรู้ พ.ที่สอง พอดี พ.ที่สาม พ้นทุกข์ ง่ายๆแค่นี้เอง หลาน ตาช่วยอธิบายหน่อยครับ
ตาพ.ที่หนึ่ง พากเพียรและเรียนรู้ตลอดชีวิต ความสำเร็จของชีวิตกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์นี้มาจากความเพียรทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีเงินทองโดยไม่ต้องทำอะไร เพราะคงไม่มีใครจ้างเราให้ไปอยู่เฉยๆ คนที่ไม่มีความเพียรบางครั้งก็เป็นอาจกลายเป็นคนไม่มีน้ำใจเพราะไม่อยากมีภาระเพิ่ม ทำงานก็ทำแบบสุขเอาเผากิน ไม่พัฒนาฝีมือความสามารถเพราะมองที่เงินเดือนที่ได้รับมากกว่า เมื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็พลอยช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ ถึงมีชีวิตคู่ คนที่อยู่ด้วยก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย
อีกข้อก็คือการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพราะชีวิตคือการศึกษาและพัฒนาความรู้ความสามารถ ความรู้ที่เจ้าเรียนจบนี้ก็เป็นเพียงวิชาที่จะใช้ทำงานเลี้ยงชีพ เท่านั้น แต่เรายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้เรื่องอีกมากมายตลอดชีวิต เพราะโลกนี้มีแต่ความเปลี่ยนแปลง ความรู้ก็ไม่ได้อยู่เฉพาะในห้องเรียน แต่อยู่ในชีวิตประจำวัน ในหน้าที่การงาน ในสังคมรอบข้างอีกด้วย เพียงแต่เราเปิดใจให้กว้างไม่เป็นคนแบบที่เขาว่าเป็นชาล้นถ้วย ยิ่งรู้มากเท่าใดโลกก็จะเปิดกว้างกับเรามากเท่านั้น จงทำงานทุกๆงานด้วยความรักและใส่ใจในทุกๆงานที่ทำ เมื่อตัวของเรามีความรู้ความสามารถหลายๆด้าน แล้ว ตัวเรานี่แหละจะสามารถเลือกทำงานที่เรารักและเหมาะกับตัวเรามากที่สุดในภายหลัง จำไว้ว่าอย่าผลักชีวิตเข้าไปในมุมที่แคบที่สุดหรือทางตันเพราะคำว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่จงเรียนรู้และพัฒนาดัวเองในทุกๆงาน เหมือนเดินออกจากมุมมืดหรือทางตันเปิดสู่โลกกว้าง แล้วเราค่อยวางตัวเองลงไปในจุดที่เราสามารถทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมที่สุดต่อตนเองสังคมและประเทศชาติในที่สุด แล้วเราก็จะมีความสุขกับการที่เราได้ทำงานที่เรารักทุกๆวัน หลานฟังตาพูดแล้วอาจขัดๆกับที่เขาสอนกันนะ แต่จากประสบการณ์ตาว่าทำแบบนี้ทำให้เราได้รู้กว้างขวาง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าชอบหรือไม่ถ้าเราไม่ได้ลองทำดู แค่เห็นๆแค่คิดๆเอาเอง ไม่เคยลงมือทำหรือสัมผัสด้วยตัวเองไม่พอหรอก
หลาน ผมว่าที่ตาพูดน่าจะถูกกว่านะครับ แล้วข้อต่อไปล่ะครับ
ตา พ.ที่สอง พอดี คำว่าพอดีนี้เข้าใจยากที่สุด เป็นศาสตร์และศิลป์แห่งการใช้ชีวิตชั้นสูงทีเดียว ทำอย่างไรจึงจะพอดีระหว่างการกินกับการออกกำลังกาย การทำงานกับการพักผ่อน ยามร่างกายแข็งแรง หรือเจ็บป่วย หรือแม้ในยามร่างกายแก่ชราลงตามวัย เราต้องหาจุดสมดุลให้ได้ทุกๆวัน เพื่อให้ร่างกายอันเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของเรา แข็งแรงและสมดุล ตลอดชีวิต เพื่อให้ห่างไกลจากโรคต่างๆมากที่สุด
ชีวิตนี้มีความต้องการเป็นลำดับขึ้นไป 5 ขั้น ตามที่มาสโลว์กล่าวไว้คือ ข้อหนึ่งต้องการปัจจัยสี่เพื่อความอยู่รอด ข้อสองต้องการความปลอดภัยในชีวิต ขัอสามต้องการมีความรักและความเป็นเจ้าของ ข้อสี่ต้องการยอมรับนับถือย่อง และข้อห้าต้องการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงอันเป็นจุดสุดท้ายที่เป็นเป้าหมายของมนุษย์หรือการเข้าถึงความสุขที่แท้จริงนั่นเอง
ลำดับทั้งห้าบอกเราว่าจุดที่เรียกว่า พอดี ในความรู้สึกของเราไม่ใช่จุดที่อยู่นิ่ง แต่เป็นจุดที่เปลี่ยนไปตามลำดับขั้นของชีวิต เมื่อได้ขั้นหนึ่งจึงพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง จุดที่เรียกว่า พอดี อยู่ในใจของเราเมื่อเรารู้สึกว่าสมเหตุสมผลถูกธรรมนองคลองธรรมในการได้มา ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต รู้จักหักห้ามใจไม่พอใจหรือเสียใจกับสิ่งที่สูญเสียไป เพราไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ยศศักดิ์ นินทา หรือ สรรเสริญล้วนมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคนๆหนึ่งตลอดเวลา การติดยึดไม่ปล่อยวางนำมาซึ่งความทุกข์ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะมาดึงดูดชีวิตเราให้ไกลจากความพอดี ความพอดีนี้เสมือนการได้รู้และปล่อยวางมากกว่า เพื่อที่เราจะได้พัฒนาจิตใจของเราให้ไปถึงขั้นที่สูงๆขึ้นไป ตานิ่งหยุดพักเหนื่อยครู่ใหญ่
หลาน แล้วข้อสุดท้ายหล่ะ ผมอยากฟังแล้วครับ
ตายิ้มพร้อมพูดต่อ พ.ที่สาม พ้นทุกข์หรือเรียกอีกอย่างว่ามีความสุขโดยไม่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอกนั่นเอง ไม่ว่าเราจะผ่านระดับความต้องการมาได้กี่ขั้นจะมีฐานะร่ำรวยหรือยากจน จะมีเกียรติหรือไร้เกียรติแค่ไหนก็ตาม เราสามารถมาถึงขั้นที่ห้าคือความเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงได้เลย เพราะในพุทธศาสนาของเรามีคำสอนเกี่ยวกับการศึกษากายและใจเพื่อเข้าใจตนเองอยู่อย่างครบถ้วนแต่ก็มีคนมากมายมาไม่ถึงจุดนี้ เพราะยังมีความเห็นไม่ถูกต้องกับชีวิตบ้าง ด้วยความประมาทมัวเมาบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะเสียเวลาในการหาทรัพย์สินเงินทอง หาชื่อเสียง ฯลฯหรือหลงอยู่ในอบายมุขต่างๆ จนหมดเวลาในชีวิตในชาติหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย จะมีประโยชน์อะไรถ้าเรามีเงินหลายล้ายบาทแต่ไม่มีเวลาพอที่จะหาความสงบสุขให้จิตใจ เกิดมาทั้งชาติแต่ไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นได้เลย ยังเป็นทาสของกิเลสตัณหา ความทะยานอยาก เหมือนเดิม แล้วเมื่อไหร่จะหาความสุขที่แท้จริงได้เสียที
ฉะนั้นสิ่งที่ตาจะเน้นย้ำกับหลานก็คือ ให้ศึกษาการทำงานให้กว้างขวางที่สุดตามที่ได้เรียนมา ศึกษาและพัฒนาความรู้ให้ทันโลกและสังคมที่เปลี่ยนแปลง เรียนรู้สุขและทุกข์ที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ที่มีค่า หาจุดที่พอดีให้เจอทุกๆวัน ศึกษาธรรมะตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพื่อความไม่ประมาท ใช้ธรรมเป็นเครื่องชี้นำชีวิตและเป็นเป้าหมายสูงสุดที่เราควรจะไปให้ถึง ไม่ว่าคนอื่นเขาจะเห็นว่าชีวิตควรเป็นอย่างไร แต่เราในฐานะชาวพุทธมีศาสดาที่รู้แจ้งถึงที่สุดและสอนเป้าหมายชีวิตและวิธีปฏิบัติไว้อย่างชัดเจนแล้ว ขอเพียงเราปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์เท่านั้น ชีวิตของเราก็จะรู้จักคำว่าพอดี มีความสงบสุขทางจิตใจ ดำรงชีวิตอันจะมีประโยชน์ต่อครอบครัว สังคมและประเทศชาติ ตามความรู้ความสามารถที่พัฒนามาดีแล้ว ทำได้อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่ามิได้ปล่อยเวลาอันมีค่าในชีวิตให้เสียไปโดยไร้ประโยชน์เลย
หลานครับตา ผมจะจดจำไว้ ครับ หลานตรงเข้าไปกอดตาไว้ด้วยความรู้สึกรักและเคารพ
ที่มา จินตนาการ
อิกคิว
Create Date : 30 พฤศจิกายน 2552 |
|
21 comments |
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2552 15:29:19 น. |
Counter : 1799 Pageviews. |
|
|
|
อยากพ้นทุกข์ค่ะ
เย้ๆๆ ได้เจิมอีกแระ