In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

เลือกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold หรือ Leasehold ดี?

คราวก่อนได้แนะนำให้ผู้ลงทุนรู้จักกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
เนื่องจากใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มาก แต่มีโอกาสได้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ดีๆ ได้รับผลตอบแทน สม่ำเสมอในระยะยาว รวมทั้งสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ตลอด จึงมีความคล่องตัวมากกว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง คราวนี้เราจะมาทำความรู้จักกับกองทุนรวมประเภทนี้กันให้มากขึ้นคะ

คำถามแรกที่ดิฉันมักจะได้รับเกี่ยวกับการลงทุนใน Property Fund ก็คือ กองแบบ Freehold กับ Leasehold ต่างกันอย่างไร อย่างไหนดีกว่ากัน? จึงจะขอนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้นะคะ

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างกันใน 2 เรื่องหลักๆ คือ 1) กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนรวมเข้าไปลงทุน และ 2) รูปแบบผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน มาดูรายละเอียดกันค่ะ

...แบบ ‘Freehold’ กองทุนรวมได้รับกรรมสิทธิ์

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนโดยซื้ออสังหาริมทรัพย์มาเป็นเจ้าของ และนำรายได้จากการปล่อยเช่าพื้นที่มาจ่ายเป็นเงินปันผล (Dividend) ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ซึ่งจากที่กองทุนรวมประเภทนี้มีกรรมสิทธิ์เต็มที่ในอสังหาริมทรัพย์ที่ไปลงทุน และเมื่อเลิกกองทุนรวมก็สามารถขายอสังหาริมทรัพย์ออกไป เพื่อนำเงินมาเฉลี่ยคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้โดยผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินลงทุนคืนตามมูลค่าหน่วยลงทุน ดังนั้น หากมูลค่าการขายอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนรวมถือกรรมสิทธิ์อยู่มีมูลค่าสูงขึ้นกว่าตอนที่กองทุนรวมเข้าไปซื้อในตอนแรก เงินลงทุน ที่ผู้ลงทุนจะได้รับคืนก็จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าตอนลงทุนเริ่มแรกด้วย ซึ่งเท่ากับว่าผู้ถือหน่วย จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนในรูปกำไรที่ เกิดจากส่วนต่างของราคาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (Capital Gain) ด้วยอีกทางหนึ่ง

...แบบ “Leasehold” กองทุนรวมได้รับสิทธิการเช่า

สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบ Leasehold หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ “สิทธิการเช่า” จะลงทุนโดยการซื้อสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมประเภทนี้ จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุน จะมีเพียงแต่สิทธิในการนำอสังหาริมทรัพย์นั้นไปให้เช่าหาผลตอบแทนในช่วงระยะเวลาของสัญญาเช่าที่กองทุนรวมได้ตกลงไว้กับ เจ้าของ เช่น 20 ปี หรือ 30 ปี เมื่อเวลา ผ่านไปมูลค่าสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์จะลดลงเรื่อยๆ และเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า กองทุนรวมก็ต้องคืนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ เจ้าของ ซึ่งหมายความว่าตอนครบกำหนด เลิกกอง มูลค่าสิทธิการเช่าจะกลายเป็นศูนย์นั่นเอง เรื่องนี้ก็มีผู้ลงทุนสอบถามกันเข้ามามากค่ะว่าทำไมยิ่งเวลาผ่านไป...มูลค่าทรัพย์ สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบ Leasehold ยิ่งลดต่ำลง เรื่อยๆ? ขออธิบายเป็นตัวอย่างง่ายๆ ดังนี้ค่ะ สมมติว่าคุณไปเซ้งตึกเพื่อทำการค้าระยะเวลา 20 ปี พอเวลาผ่านไป 10 ปี ตึกที่เราเซ้งมา ก็จะมีราคาลดลง หากเราขายสิทธิการเซ้งตึกนั้นออกไป เงินที่ได้ก็จะน้อยกว่าตอนที่เราลงทุนเซ้งตึกตอนแรก เนื่องจากคนที่เซ้งตึก ต่อจากเราจะเหลือเวลาที่จะใช้ประโยชน์จากตึกนี้ได้อีกเพียง 10 ปีเท่านั้น การเซ้งตึกของคุณนี้ก็เหมือนกับการที่กองทุนรวมลงทุนในสิทธิการเช่านั่นเอง เมื่อเวลาผ่านไป ระยะเวลาในการหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ มูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวมจึงลดลงตามระยะเวลาของสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ จนเป็นศูนย์ ณ วันที่ครบอายุสัญญาเช่านั่นเอง

...ผลตอบแทนในแบบ Leasehold เป็นอย่างไร?

ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบ Leasehold จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล ซึ่งมาจากรายได้ จากการนำอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวมไปให้เช่า เช่นเดียวกับกองแบบ Freehold แต่จะไม่ได้รับผลตอบแทนในรูป Capital Gain เนื่องจาก ณ วันที่ครบอายุสัญญาเช่า กองทุนรวมแบบ Leasehold ต้องคืนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่เจ้าของและไม่สามารถจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ได้

นอกจากผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลแล้ว ผู้ลงทุนในกองทุนรวมแบบ Leasehold ก็อาจจะได้รับเงินลงทุนคืนในกรณีที่กองทุนรวมมีการลดทุน ซึ่งเกิดจากการประเมินมูลค่าสิทธิการเช่าที่ลดลงทุกปี จึงทำให้เกิดตัวเลขขาดทุนทางบัญชีที่ยังไม่เกิดขึ้น (Unrealized Loss) ขอยกตัวอย่างให้ชัดเจนขึ้นดังนี้ค่ะ กองทุนรวมไปลงทุนในสิทธิการเช่ามูลค่า 500 ล้านบาท สิทธิการเช่ามีระยะเวลา 20 ปี เมื่อผ่านไปในแต่ละปี มีการประเมินมูลค่า สิทธิการเช่าใหม่ว่าจะเหลือเท่าไร โดยจะใช้ วิธีคำนวณจากมูลค่าสิทธิการเช่าหารด้วยจำนวนปี ซึ่งในกรณีนี้จะเท่ากับมูลค่าสิทธิการเช่าจะลดลงปีละ 25 ล้านบาท ดังนั้น หลังจากปีที่ 1 มูลค่าสิทธิการเช่าจะลดลงเหลือเพียง 475 ล้านบาท และเกิด Unrealized Loss เท่ากับ 25 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากบริษัทจัดการ (บลจ.) ที่บริหารกองทุนรวมนั้น อยากจะคืนเงินส่วนนี้ให้แก่ผู้ลงทุนก็ทำได้โดยการลดทุน หรืออาจเก็บสะสมไปเรื่อยๆ และทยอยคืนเงินส่วนนี้ให้แก่ผู้ถือหน่วยต่อไป อย่างไรก็ตาม บลจ.อาจสะสมเงินส่วนนี้ไว้ใช้ในการปรับปรุงซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์หรือเพื่อลงทุนเพิ่มเติมก็ได้ โดยผู้ลงทุนสามารถดูข้อมูลส่วนนี้ได้จากหนังสือชี้ชวน ตัวอย่างเช่น กองทุนรวมจะระบุข้อความไว้ว่า หากกองทุนรวมมีสภาพคล่องส่วนเกินก็อาจทำการลดทุนเพื่อคืนเงินส่วนเกินนี้ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน เป็นต้น

ที่เล่ามาข้างต้นนี้ดูเหมือนว่า Property Fund แบบ Freehold ดูจะมีภาษีดีกว่า เพราะผู้ลงทุนจะมีโอกาสได้รับ Capital Gain ณ ตอนเลิกกองด้วย แต่การที่กองทุนรวม จะเข้าไปถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ดีๆ ทุกประเภทนั้นอาจไม่สามารถทำได้ เช่น กองทุนรวมอาจจะไม่สามารถซื้อและเป็น เจ้าของสนามบินได้ หรืออสังหาริมทรัพย์ บางแห่งก็เป็นของดีมีคุณภาพที่เจ้าของ ไม่อยากขาย กองทุนรวมแบบ Leasehold จึงเกิดขึ้นเพื่อไปลงทุนโดยการเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นแทน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกลงทุนในทรัพย์สินที่ดีมีคุณภาพค่ะ ดังนั้น เวลาที่ผู้ลงทุนจะตัดสินใจลงทุน ก็ต้องพิจารณาว่าเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบใด และทรัพย์สินในกองทุนรวมนั้น น่าสนใจหรือไม่ คราวหน้ามาดูกันต่อนะคะว่า เวลาเลือกลงทุนเราควรพิจารณาในเรื่องใด อีกบ้าง

รายงานโดย :จารุพรรณ อินทรรุ่ง
//www.posttoday.com/stockmarket.php?id=76585




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2552 0:42:24 น.
Counter : 870 Pageviews.  

คนที่จะประสบความสำเร็จมักเป็นคนช่างคิด

ตอนผมยังเล็กอยู่ผมเป็นคนช่างคิด เห็นอะไรก็ต้องสงสัยและถามตัวเองว่าทำไม อะไร อย่างไร เหมือนกับเด็กๆ ในวัยหนึ่งที่จะชอบตั้งคำถามกับพ่อแม่ แต่สำหรับผมนั้นเป็นการถามตัวเอง บ่อยครั้งก็ตอบไม่ได้ แต่คำถามก็ยังคาอยู่ในใจจนบางครั้งอยู่ดีๆ คำตอบนั้นก็ผุดขึ้นมาเอง

ผมเชื่อว่าการฝึกถามตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ดี และดีกว่าคนที่เวลามีอะไรสงสัย และไม่เข้าใจแทนที่จะถามตัวเองหรือถามผู้อื่นก็ใช้ความคิดที่ว่า “อย่าไปรู้มันเลย” หรือ “รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ใช้การอะไรไม่ได้” หรือว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรา” ซึ่งความคิดเหล่านี้เป็นความคิดที่บั่นทอนความรอบรู้ของคนผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว

ถ้าสังเกตผู้ที่สร้างตัวเองขึ้นมาในอดีตจนปัจจุบันและมีฐานะดีในบั้นปลายชีวิต ถ้าได้พูดคุยกับคนเหล่านี้จะพบว่า เขาเหล่านี้เป็นคนช่างสังเกตช่างถามตนเอง หรือถามผู้อื่นและจะมีคำตอบให้กับตนเองอยู่เสมอ ถึงแม้เรื่องต่างๆ จะไม่เกี่ยวกับการทำธุรกิจ การค้าของตนเองแต่อย่างไร และคำตอบของผู้ที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้มักจะเป็นคำตอบที่เป็นบวกและมีทางออกให้กับตนเองอยู่เสมอ บางครั้งมีคำตอบให้กับผู้อื่นหรือสังคมในการจัดการกับอุปสรรคต่างๆ ด้วย และคำตอบของเขาเหล่านั้นมักจะดูง่ายๆ จนนักวิชาการบางคนอาจจะบอกว่าผิดหลักวิชาการก็เป็นได้

ในกรณีที่เราถามใครถ้าคนที่ถูกถามแล้วมักพูดออกมาในแง่ลบ มักจะเป็นสัญญาณว่าธุรกิจของเขาผู้นั้นกำลังมีปัญหาอยู่ แต่ที่จริงปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากตนเองที่หันมาคิดลบกับสถานการณ์ที่ทำให้ธุรกิจของตนเองมีปัญหา แต่คงไม่มีใครยอมโทษตนเองหรอกว่า ที่ธุรกิจของตนเองมีปัญหาเพราะตนเองเป็นคนคิดลบ

คนคิดลบบางคนก็ประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง เพราะอาจจะมีความมุ่งมั่นทะเยอทะยานที่ตนฝังใจมาตั้งแต่เล็ก แต่พอได้ในสิ่งที่ตนต้องการแล้วก็มักจะหยุดความมุ่งมั่น และความคิดลบเดิมก็จะมาครอบงำทำให้ธุรกิจถดถอยได้

ฉะนั้นผู้อ่านถ้ามีโอกาสได้พูดกับนักธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจจะสามารถสังเกตได้เลยว่า ธุรกิจของนักธุรกิจผู้นั้นอยู่ในขาขึ้นหรือขาลง จากคำตอบที่เขาพูดเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ซึ่งจะสะท้อนถึงธุรกิจที่เขากำลังทำอยู่ว่ามีปัญหามากน้อยแค่ไหน

แต่ถ้าเป็นนักธุรกิจที่คิดบวก ถึงแม้ธุรกิจของเขาจะมีปัญหาเขาจะมีความคิดที่เป็นบวกเกี่ยวกับเศรษฐกิจ หรือมีคำตอบสำหรับธุรกิจที่เขาผู้นั้นดูแลอยู่

ผู้อ่านอาจจะมีคำถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองคิดลบหรือคิดบวกอยู่ คำตอบก็คือ มีสติทุกครั้งที่ตนพูดตนคิด และถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ตอนนี้กำลังคิดลบหรือพูดลบอยู่หรือเปล่า และถ้ารู้ตัวว่ากำลังคิดลบก็ให้ถามตัวเองว่า แล้วจะคิดบวกหรือพูดบวกกับเรื่องที่กำลังคิดลบหรือพูดลบได้อย่างไร

แล้วพยายามตอบให้ได้แล้วจะเกิดความชำนาญในการคิด และถ้าคิดบวกได้บ่อยๆ แล้วจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้านในทางที่ดีขึ้น แต่ต้องเป็นคนที่มีสติในการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตัวเองดังกล่าวด้วย

By boonkiet
//newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=7721&user=boonkiet




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2552 1:10:55 น.
Counter : 551 Pageviews.  

Vision ที่ท้าทาย สู่เป้าหมาย Go Inter (จบ)

ผมเคยบอกไปแล้วว่า กลุ่มพฤกษาเรามีวิชั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณปีละ 25% และเราพร้อมที่จะตัดสินใจลงทุนในต่างประเทศ เพราะในมุมมองของผมตลาดต่างประเทศน่าจะเป็นโอกาสใหม่สำหรับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย

ลองคิดดูนะครับว่า ขนาดตลาดหรือความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างในประเทศอินเดีย ปัจจุบันขาดแคลนประมาณ 24 ล้านหน่วยเมื่อเทียบกับเมืองไทยที่มีความต้องการประมาณปีละ 1 แสนหน่วยถือว่าต่างกันมาก ดังนั้นตลาดในประเทศอินเดียจึงน่าสนใจมาก ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลคู่แข่งในตลาดที่เป็นนักลงทุนท้องถิ่นลงทุนคิดว่า น่าจะมีช่องว่างและโอกาสให้กับนักลงทุนไทยในการขยายและเติบโตในธุรกิจนี้ ส่วนเวียดนาม มีขนาดเล็กประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย แต่น่าสนใจและเรามีศักยภาพพอที่จะแชร์ส่วนแบ่งตลาดได้

ทำไมเราต้องบุกลงทุนในตลาดต่างประเทศ คำตอบก็คือ เนื่องจากตลาดในเมืองไทยมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศ จากตัวเลขปริมาณความต้องการหรือยอดขายที่อยู่อาศัย โดยรวมปีนี้ในกรุงเทพฯและปริมณฑลมีประมาณ 50,000 หน่วย ขณะที่กลุ่มพฤกษามีส่วนแบ่งการตลาดโอนส่งมอบถึง 10,000 หน่วย หรือประมาณ 20% หากยังอาศัยตลาดในประเทศเพียงด้านเดียว โอกาสที่จะขยายส่วนแบ่งตลาดให้เพิ่มขึ้นก็จะยากมากทีเดียว

หากเราไม่รีบออกไปลงทุนในช่วงนี้ โดยยังหวังที่จะเติบโตหรือให้มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ ก็อาจจะช้าเกินไป เนื่องจากธุรกิจด้านนี้ไม่สามารถลงทุนหรือขยายแบบหวือหวาได้

ลักษณะธุรกิจนี้จะต้องดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป สิ่งที่สำคัญจะต้องเรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมประเพณีและธุรกิจในแต่ละประเทศ
หากมีความเข้าใจลึกซึ้งและมีความพร้อมก็จะสามารถเร่งสปีดการลงทุนได้ ซึ่งในขั้นแรกนี้จะใช้เงินลงทุนในแต่ละประเทศประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนลู่ทางหรือโอกาสทางการตลาดนั้นบอกได้เลยว่า มีสูงมาก เนื่องจากคนที่โน้นให้การตอบรับดีมากในแบรนด์พฤกษา
ส่วนในเรื่องบุคลากร ส่วนใหญ่จะเป็นคนท้องถิ่นประมาณ 90% และคนไทยประมาณ 10% ด้านการบริหารจัดการและเทคโนโลยีการก่อสร้าง ทุกอย่างจะเหมือนในประเทศไทย ภายใต้หลักการนำเสนอคุณค่าที่เป็นเลิศในทุกๆ ด้านให้กับลูกค้าตามปรัชญาธุรกิจของบริษัท
ดังนั้นการแสวงหาลู่ทางหรือโอกาสใหม่ในตลาดต่างประเทศ จึงน่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ในการสร้างรายได้ให้กับกลุ่มพฤกษาอย่างต่อเนื่องตามวิชั่นที่วางไว้

By thongma
//newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=7662&user=thongma




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2552 22:39:05 น.
Counter : 494 Pageviews.  

ไตร่ตรองก่อนลงทุนหุ้นเก็งกำไร

ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยถือว่าผันผวนพอสมควร ทำให้หุ้นที่ได้รับการขนานนามว่า “หุ้นเก็งกำไร” ได้รับความสนใจจาก นักลงทุนที่แสวงหาผลตอบในระยะสั้นๆ แต่นักลงทุนรู้ดีว่า ถ้าขึ้นชื่อว่าหุ้นเก็งกำไรแล้ว หากเข้าหรือออกผิดจังหวะย่อมเกิดความสูญเสียใหญ่หลวง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า นักลงทุนเกือบทุกคนครั้งหนึ่งย่อมเคยสัมผัสกับหุ้น “เก็งกำไร” เพราะบางจังหวะต้องมองและลงทุนในหุ้นเก็งกำไรเพื่อสร้างผลตอบแทน แต่ใครก็ตามที่ชื่นชอบหุ้นประเภทนี้ ต้องรู้จักระมัดระวังและเข้าออกให้เร็ว ไม่เช่นนั้นคุณจะกลายเป็นเหยื่อ
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นเก็งกำไร? คำตอบ คือ ส่วนใหญ่แล้วหุ้นเก็งกำไรจะมีมาร์เก็ตแคปที่ไม่ใหญ่มากนักอาจจะต่ำกว่า 2,000-3,000 ล้านบาท และที่น่าสังเกต คือ การกระจายหุ้นยังกระจุกกับผู้ถือหุ้นรายใดรายหนึ่ง และผู้ถือหุ้นรายนั้นค่อนข้างมีนัยสำคัญและสามารถควบคุมทิศทางบริษัทนั้นๆ

เว้ากันซื่อๆ หุ้นเก็งกำไรมักจะมี Story ในการเข้ามาขับเคลื่อนให้ราคาหุ้น หรือสามารถกำหนดราคาหุ้นได้

หากแยกประเภท หุ้นเก็งกำไรบางตัวก็มีปัจจัยพื้นฐาน ราคาหุ้นอาจจะต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน เช่น อัตราส่วนราคาตลาดต่อ กำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 10 เท่า แต่หุ้นตัวนั้น P/E Ratio อยู่ระดับต่ำกว่า นักลงทุนจึงเข้ามา เก็งกำไร เพราะมองว่าราคาหุ้นยังต่ำและน่าสนใจ

ถัดมาเป็นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานมารองรับ เช่น ผลประกอบการขาดทุน แต่ราคาหุ้นขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นแบบนี้ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น หากคิดจะเข้าไปลงทุนหุ้นเก็งกำไร ต้องมีวินัยว่าจุดไหนควรขาย จุดไหนควรจะ Cut Loss

ดังนั้น ใครที่เล่นหุ้นเก็งกำไรแล้ว Cut Loss ไม่เป็น จะมีความเสี่ยงมาก

ส่วนสไตล์ความเคลื่อนไหวของหุ้นเก็งกำไรมักจะเทรดดิงตามข่าว และเป็นลักษณะการใช้ข้อมูลข่าวสารเป็นตัวเก็งกำไรในราคาหุ้นเป็นหลัก มีราคาแกว่งตัวผันผวนค่อนข้างสูง โดยส่วนใหญ่ในแต่ละวันจะแกว่งตัวเกิน 1% นอกจากนี้หุ้นเก็งกำไรมักจะมีเรื่องของปริมาณการเทรดหุ้น เป็นหุ้นที่ร้อนแรง และ Turn Over สูงเมื่อเทียบกับทุนจดทะเบียนหรือหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด

แสดงว่ามีการเข้าออกหลายรอบ เรียกว่าเป็นการเก็งกำไร

และอย่าลืมว่าจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาโดยที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ แต่มาแบบ “แฟชั่น” มีกระแสข่าวลือ ยกตัวอย่างเช่น มีข่าวลือว่านักลงทุนรายใหญ่เข้ามาซื้อขาย หรือรายใหญ่กำลังเข้ามาปั่น โดยหุ้นที่ เข้าข่ายว่าเป็นหุ้นเก็งกำไร อาจจะมองว่าราคาขยับขึ้นไปโดยไม่มีเหตุผลรองรับ แต่เป็นการเล่นตามข่าว

สำหรับการลงทุนในหุ้นเก็งกำไร นักวิเคราะห์หุ้นมักจะแนะนำว่าอย่าเล่นหุ้นแบบการพนัน เพราะอาจจะเสียใจภายหลังและ ถึงขั้นล้มละลายได้ ซึ่งต้องดูว่าทำไมถึงเข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้น ไม่ใช่ มีคนบอกว่าให้เข้าซื้อ แต่ให้ดูว่ามีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ในการ เข้าซื้อ

หากใครที่ชื่นชอบหุ้นเก็งกำไร ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ และถ้ามีกำไรเกิน 10% ต้องระวังแรงขายทำกำไร เพราะการลงทุนในระยะสั้นจะทำกำไรได้ราวๆ 5-10% ถ้าเกินกว่านี้จะมีแรงขายทำกำไรได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ขายออกมาอาจจะติดหุ้นแถวๆ ยอดดอย และแทบจะไม่มีโอกาสขายออกมาได้ เนื่องเพราะไม่มีปัจจัยพื้นฐานมาสนับสนุนอย่างแท้จริง สุดท้ายต้องขายทุน หรือจำใจ Cut Loss เพราะหุ้นเก็งกำไรไม่ใช่หุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว

ดังนั้น ถ้าเล่นตามข่าวก็ต้องดูว่าข่าวนั้นเป็นข่าวเก่าหรือข่าวใหม่ เพราะถ้าเป็นข่าวเก่า แถมรู้ทีหลังคนอื่น แล้วดันทุรังเข้า ไปซื้อ ราคาที่ซื้อก็อาจจะเป็นราคาที่กำลังรอขาย

ใครไม่คุ้นเคยกับหุ้นเก็งกำไร ต้องระมัดระวังให้ดีๆ

//www.posttoday.com/stockmarket.php?id=74369




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2552 1:39:59 น.
Counter : 630 Pageviews.  

ช่องทางและภาษี การลงทุนตราสารหนี้

นักลงทุนที่สนใจที่จะลงทุนในตราสารหนี้สามารถลงทุนได้โดยตรง คือ เข้าไปซื้อขายตราสารหนี้รุ่นนั้นๆ ที่ตนสนใจโดยตรง หรือจะลงทุนทางอ้อมโดยผ่านกองทุนต่างๆ ก็ได้
หากต้องการลงทุนโดยตรง ก็ยังมีทางเลือกอีกว่าจะลงทุนในตราสารหนี้ออกใหม่ หรือที่เรียกว่า “ตลาดแรก” หรือจะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีการออกมาแล้ว ซึ่งเรียกว่า “ตลาดรอง” ก็ได้

การลงทุนในตลาดแรก หากเป็นหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน ผู้ลงทุนก็สามารถติดต่อซื้อได้จากสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่าย (Underwriter) หรือเป็นตัวแทนจำหน่าย (Selling Agent) หรือจากบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ในกรณีที่มีการกำหนดไว้ และการซื้อขายมักกำหนดที่ราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ซึ่งจะมีอัตราผลตอบแทนเท่ากับอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) โดยผู้ออกหุ้นกู้มักระบุจำนวนหน่วยหรือจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ เช่น 1 แสนบาท หรือเท่ากับ 100 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท สำหรับพันธบัตรภาครัฐนั้น ส่วนใหญ่เป็นการออกจำหน่ายให้แก่นักลงทุนสถาบัน เช่น สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย กองทุนต่างๆ โดยในปัจจุบันนักลงทุนกลุ่มนี้สามารถประมูลซื้อพันธบัตรได้โดยตรงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย แต่หากนักลงทุนรายย่อยสนใจจะซื้อพันธบัตรจากการประมูล ก็อาจติดต่อผ่านสถาบันการเงินที่เป็น Dealer แต่วงเงินที่ Dealer จะขายให้จะค่อนข้างสูงพอสมควร คือเป็นหลักล้านบาทขึ้นไป

การลงทุนในตลาดรอง เมื่อตราสารหนี้ในตลาดแรกได้ขายไปสู่ผู้ลงทุนแล้ว หากมีการซื้อขายเปลี่ยนมือต่อมาจะเรียกการซื้อขายนั้นว่า เป็นการซื้อขายในตลาดรอง และเนื่องจากตลาดตราสารหนี้นั้นมีลักษณะการซื้อขายแบบ Over The Counter หรือ OTC คือไม่มีระบบหรือสถานที่กลางในการจับคู่การซื้อขาย ผู้สนใจที่จะซื้อขายตราสารหนี้สามารถติดต่อกับสถาบันการเงินและบริษัทหลักทรัพย์ที่มีธุรกรรมการค้าตราสารหนี้ (ต้องมีใบอนุญาตประกอบธุรกิจค้าหลักทรัพย์ (Dealer) จากสำนักงานก.ล.ต.) เพื่อแจ้งความประสงค์และทำการซื้อขาย ทั้งนี้นักลงทุนรายย่อยซึ่งวงเงินการซื้อขายแต่ละครั้งไม่สูงมากนัก ก็อาจต้องตรวจสอบเงื่อนไขการจำหน่ายของสถาบันการเงินแต่ละแห่งเสียก่อน เพราะอาจมีการกำหนดเงื่อนไขในการจำหน่าย อาทิ วงเงินหรือมูลค่าขั้นต่ำในการจำหน่ายไว้หรือไม่

การลงทุนผ่านกองทุนรวม นโยบายการลงทุนของกองทุนรวมมีหลายรูปแบบ เช่น เน้นลงทุนในตราสารทุน เน้นลงทุนแบบผสมระหว่างตราสารทุนกับตราสารหนี้ หรือเน้นลงทุนเฉพาะตราสารหนี้ ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาเปรียบเทียบเพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของตนเอง ดอกผลจากการลงทุนจะถูกเฉลี่ยให้กับหน่วยลงทุนทุกหน่วยเท่าๆ กัน โดยจะให้เป็นส่วนเกินจากการลงทุน หรือเป็นเงินปันผลก็ได้ตามแต่นโยบายที่กำหนดไว้ของกองทุน ข้อดีของการลงทุนผ่านกองทุนรวม คือ มีมืออาชีพเป็นผู้บริหารการลงทุน ได้รับยกเว้นภาษีรายได้ และยังช่วยในการกระจายความเสี่ยง เพราะสามารถลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหนี้หลายๆ รายการในเวลาเดียวกัน ซึ่งหากลงทุนโดยตรงแล้วจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก

สำหรับภาระภาษีเกี่ยวกับการลงทุนในตราสารหนี้ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ เช่น ประเภทของเงินได้ และประเภทของนักลงทุน ประเภทหลักของเงินได้จากการลงทุนที่ต้องเสียภาษี ประกอบด้วย

1) เงินได้จากดอกเบี้ย (Interest Income)

2) เงินได้จากกำไรในการขาย (Capital Gain)

3) เงินได้จากส่วนลด หรือผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่าย (Discount)





//www.posttoday.com/stockmarket.php?id=73604




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2552    
Last Update : 29 ตุลาคม 2552 2:08:43 น.
Counter : 720 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.