การก้าวขึ้นสู่การพัฒนาในระดับต่อไปของเศรษฐกิจไทย
หนึ่งในคำถามสำคัญ ที่หลายคนมีเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย ก็คือ “เราจะก้าวขึ้นสู่การพัฒนาในระดับต่อไป
และหลุดออกจากสิ่งเรียกว่า กับดักประเทศรายได้ระดับกลาง หรือ Middle Income Trap ขึ้นเป็นประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้ว ได้อย่างไร” การตอบคำถามเรื่องนี้ ต้องเริ่มจากการตีโจทย์ให้แตกว่า กรอบที่ทุกคนจะเดินไปด้วยกัน เพื่อนำพาประเทศไปข้างหน้านั้น ควรมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ในเรื่องนี้ ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ผู้นำของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา คือ ภาคเอกชน ที่อาศัยความสามารถของตนเองในการแข่งขัน ฝ่าฟันปัญหาต่างๆ จนกระทั่งสามารถก้าวกันมาได้ถึงจุดนี้ ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะกรอบการพัฒนาที่ทุกคนชอบพูดถึงกันในปัจจุบัน ต้องบอกว่า “ยังไม่ใช่” เนื่องจากกรอบดังกล่าว ยังคงเน้นภาครัฐเป็นสำคัญ ในการที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่ Next Level ที่ต้องรอนโยบายของภาครัฐมาชี้ทางสว่าง ว่า ประเทศจะเดินไปอย่างไร รัฐจะลงทุนอย่างไร ทุกคนควรลงทุนอย่างไร ซึ่งตอนนี้ คงหมดยุคแล้ว ที่รัฐบาลจะเป็นผู้วางกรอบ แล้วบอกให้เอกชนเดินตามนั้น เพราะโลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างเร็วมาก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเรากลับไปดูข้อมูลจะพบว่า ภาครัฐไทยมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 20% ของ GDP เท่านั้น ถ้ายังวนเวียนกับแนวทางนี้ ที่ยังจะรอภาครัฐให้เป็นผู้นำการขับเคลื่อนเศรษฐกิจกันอยู่ เราก็ไม่มีทางที่จะเดินกันไปได้ เพราะคนเข็นเศรษฐกิจที่จะฝากความหวังกัน มีขนาดเล็กเกินไป ที่จะพลิกโฉมเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ ทางออกมีทางเดียว เราต้อง Unleash ภาคเอกชน ให้บริษัทเอกชนเป็นหัวหอกในการพัฒนา และให้รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนในด้านต่างๆ ทั้งเรื่องของการสร้างความชัดเจนของกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ช่วยเปิดทาง ปูทางให้ภาคเอกชนเดิน โดยไม่สร้างให้เกิดอุปสรรค ข้อขัดข้องในด้านต่างๆ พูดง่ายๆ คือ กลับไปสู่ Model ที่ทำให้เราสำเร็จอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ในช่วงที่ผ่านมา ก่อนที่เราจะหลงทาง มาเชื่อกันว่า รัฐบาลคือหัวใจที่จะพลิกเศรษฐกิจให้ไปสู่การพัฒนาในระดับต่อไป สิ่งที่ต้องทำในแนวทางใหม่นี้ ประกอบด้วย 1. การจัดให้มีการหารือสนทนาระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เอกชนบอกว่า เอกชนต้องการอะไร อยากเดินไปทางไหน รัฐบาลจะช่วยได้อย่างไร ซึ่งแผนพัฒนาประเทศนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องครบถ้วน สมบูรณ์ มีทุกประเด็น แต่เราสามารถเลือกหารือกันทีละอุตสาหกรรม ทำกันไปทีละด้าน ตั้งแต่ อาหาร รถยนต์ ท่องเที่ยว โรงพยาบาล เป็นต้น (ตรงนี้ ต้องไม่กังวลใจ ว่าเราจะต้องมีแผนให้ครบทุกด้าน แล้วค่อยเดิน เพราะไม่งั้น เราจะมัวแต่ทำแผนกันให้ครบ เราจะไม่สามารถเดินกันไปได้ ในขณะที่คู่แข่งของเราวิ่งไปข้างหน้า) ในส่วนนี้ บทบาทสำคัญของรัฐ คือ เป็นผู้สร้างเวทีให้เอกชนในแต่ละ Sector เป็นผู้จัดทำและเสนอแผน (โดยรัฐเป็นผู้เอื้อให้เกิดการตกผลึกในเรื่องดังกล่าว) ว่า เอกชนต้องการให้รัฐสนับสนุนอะไร แก้กฎเกณฑ์ข้อไหน อยากให้รัฐบาลไปเปิดตลาด เปิดประตูการค้า ลดกำแพงการกีดกันด้านการค้า การลงทุนในประเทศไหนบ้าง ความจริงในประเด็นนี้ รัฐบาลชุดปัจจุบัน ก็ได้มีการหารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนเป็นประจำ เช่น เวลาที่มี ครม. สัญจร ไปภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ เป็นต้น แต่เราควรที่จะยกระดับการหารือดังกล่าวให้เป็นระบบ ในระดับประเทศ และ Unleash พลังของเอกชนและภาครัฐ ในการวางแผนเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ทั้งนี้ ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า Private Sector Solution นั้น เป็นเรื่องที่มีพลังอย่างยิ่ง ใน 2 เรื่องที่เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนประเทศ คือ (1) การพัฒนานวัตกรรมใหม่ และ (2) การพัฒนาคนเพื่อภาคเอกชน ซึ่งหลายคนคิดว่า เรายังไม่มีคำตอบที่ดีในส่วนของภาครัฐที่จะส่งเสริมให้ประเทศมีนวัตกรรมมากขึ้น หรือมีบุคลากรที่ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจ แต่ภาคเอกชนไทยเริ่มมีคำตอบให้กับตนเองแล้ว ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทไทย อย่างเช่น บริษัทปูนซิเมนต์ไทย ได้ริเริ่มการให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรม เพื่อพัฒนาสินค้าที่เป็น High Value Added ซึ่งก็ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่น่าพอใจในเรื่องดังกล่าว หรือ 7-11 ที่ได้สร้างโรงเรียนปัญญาภิวัฒน์ขึ้นมา เพื่อพัฒนาบุคลากรให้กับธุรกิจของตนเอง เนื่องจากบุคลากรที่ภาครัฐผลิตมานั้น ไม่ได้ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอื่นๆ อีกมาก ที่มีการริเริ่มดีๆ เหล่านี้ คำถามสำคัญ คือ เราจะทำอย่างไรที่จะขยายผล นำความคิดเหล่านี้จากภาคเอกชน ไปปรับปรุงประเทศในภาพรวม ซึ่งตรงนี้ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องให้เอกชนเป็นตัวนำ ใช้ Private Sector Solution เป็นทางออก โดยภาครัฐเป็นผู้สนับสนุน และเอื้อให้เกิดขึ้น ให้เขาทำได้ดียิ่งขึ้น ง่ายขึ้น 2. ทำให้เกิดขึ้น ความท้าทายของทุกรัฐบาลอยู่ที่ “การทำ หรือ Execution” โดยมากแล้ว ทุกรัฐบาลจะทำได้ดีพอสมควร ในเรื่องการให้วิสัยทัศน์ การขายฝัน การเขียนแผน แต่มักจะมีปัญหากัน ในเรื่อง “การทำให้เกิดขึ้นจริง” พูดง่ายๆ แผนที่เขียนไว้ มักจะไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติจริง หรือถ้านำไปสู่การปฏิบัติจริง ก็เป็นเพียงส่วนน้อย ตรงนี้ บางประเทศ เช่น อังกฤษ มาเลเซีย รัฐบาลจะมีการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมา เรียกว่า Delivery Unit ที่จะเป็นคนจัดการให้สิ่งที่วาดฝันไว้ เป็นจริง ในเวลาที่กำหนดไว้ รัฐบาลไทยก็ควรที่จะมีการจัดตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาเช่นกัน เพื่อช่วยกำหนดความสำคัญก่อนหลังของโครงการต่างๆ และเป็นมือไม้ ให้กับนายกรัฐมนตรีในการที่จะขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ไปข้างหน้า ตามที่ได้ประกาศไว้ ไม่เช่นนั้น มีโอกาสอย่างยิ่ง ที่รัฐบาลจะประกาศแผนออกไปจำนวนมาก แต่ท้ายที่สุด ไม่เป็นผล เพราะตกม้าตายในส่วนของการทำ ซึ่งในจุดนี้ หน้าที่ของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศคือ การที่จะ Deliver การเปลี่ยนแปลงในส่วนต่างๆ ที่จะช่วยเอื้อให้เอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดียิ่งขึ้น สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีขึ้น ตามแผนที่ภาคเอกชนและภาครัฐได้ตกผลึกร่วมกัน พร้อมกับระวังหลังไม่ให้เสถียรภาพของเศรษฐกิจเสียไป ซึ่งถ้าประเทศไทยทำได้เช่นนี้ การก้าวไปสู่การพัฒนาในระดับต่อไป และการออกจาก Middle Income Trap ก็จะเป็นไปได้ ก็ขอเอาใจช่วยทุกคนครับ หมายเหตุ สนใจอ่านเพิ่มเติม หรือเสนอแนะได้ที่ “Blog ดร. กอบ” ที่ www.kobsak.com ครับ
- กอบศักดิ์ ภูตระกูล
- คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "อนาคตเศรษฐกิจไทย"ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ
- //www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/kobsak/20120403/445082/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.html
Create Date : 03 เมษายน 2555 | | |
Last Update : 3 เมษายน 2555 19:22:17 น. |
Counter : 580 Pageviews. |
| |
|
|
|