In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

สูตรเศรษฐี

ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย หรือการเป็นเศรษฐีสำหรับคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวยมาก่อนนั้น สำหรับคนจำนวนมากดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก บางคนอ่านหนังสือเกี่ยวกับการออมก็มักได้รับคำแนะนำที่ทำได้ยาก เช่น บอกว่าให้กันเงินจากเงินเดือนหรือรายได้ 10-20% เก็บไว้ก่อน ไม่ใช่ใช้ก่อนเหลือแล้วค่อยเก็บ ปัญหา ก็คือ รายได้นั้นไม่ค่อยพอใช้อยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพราะค่าใช้จ่ายจำนวนมากเป็นค่าใช้จ่ายที่ลดไม่ค่อยได้ เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าอาหาร เป็นต้น ซึ่งผมเองเห็นด้วย วิธีการที่จะทำให้เรามั่งคั่งนั้น ถ้าจะให้ปฏิบัติได้จริง ต้องไม่ทำให้เรารู้สึกลำบาก หรือรู้สึกว่าความสุขหายไปมากและเป็นเวลานาน เหนือสิ่งอื่นใด ความอยากรวยนั้นก็เพื่อที่จะทำให้มีความสุข ดังนั้น การเสียสละความสุข เพราะต้องลดค่าใช้จ่ายเป็นเวลานานนั้นจึงไม่มีเหตุผล



ต่อไปนี้ เป็นแนวทางหรือจะเรียกให้เท่ ก็คือ เป็นสูตรที่จะช่วยให้เรามีความมั่งคั่ง ร่ำรวย หรือแม้แต่เป็นเศรษฐีโดยเราไม่จำเป็นต้องรู้สึก "อดอยาก" และเป็นสูตรที่เหมาะมากโดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเริ่มชีวิตการทำงานหลังจากที่จบการศึกษาใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม คนที่มีอายุมากขึ้นแล้วก็สามารถประยุกต์ใช้ได้เท่าที่จะทำได้



ข้อแรก ก็คือ ถ้าคิดว่าเรายังไม่รวย อย่าซื้อรถ การซื้อรถยนต์ส่วนตัวใช้นั้น เท่ากับเรากำลังสร้างรายจ่ายที่ลดได้ยากมาก และทุกเดือนเราจะมีรายจ่ายเป็นหมื่นหรือหลายหมื่นเป็นค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมัน ค่าประกัน ค่าซ่อม และอื่นๆ บางทีรายจ่ายนั้นอาจจะไม่เป็นตัวเงินจริง เนื่องจากเราซื้อรถด้วยเงินสด เราไม่เสียค่าผ่อนรถ แต่จริงๆ แล้วเราก็มี "ค่าเสื่อม" ซึ่งก็เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงไม่ต่างกับค่าผ่อนรถนัก หลายคนอาจจะเถียงว่าเขาสามารถประหยัดค่ารถเมล์ ค่ารถไฟฟ้า หรือค่าแท็กซี่ลง แต่ถ้าคิดคำนวณค่าใช้จ่ายทุกด้านของการมีรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการใช้รถสาธารณะนั้นประหยัดกว่ามาก และจะทำให้เรามีเงินเหลือเก็บและลงทุนได้มากกว่า



ข้อสอง อย่าซื้อบ้านถ้าไม่จำเป็น และถ้าจำเป็นก็ซื้อบ้านที่เล็กที่สุดที่จะเพียงพออยู่สำหรับตนเองและคู่ครอง และลูกที่มีอยู่หรือที่วางแผนที่จะมีในอนาคต ทำเลของบ้านควรอยู่ในที่ที่การเดินทางไปทำงานและ/หรือไปเรียนสะดวกและไม่ต้องต่อรถหลายๆ ต่อ ซึ่งจะทำให้ "ค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยและเดินทาง" ต่ำที่สุด คำว่าค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยนั้น บางคนอาจจะไม่รู้สึกว่ามีเพราะเขาไม่ต้องเสียค่าเช่า แต่จริงๆ แล้วการมีบ้านที่ใหญ่จะทำให้ค่าบ้านสูง ซึ่งทำให้ต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านแต่ละเดือนมากขึ้นไม่นับรายจ่ายอื่นๆ ที่ตามมาจากการมีบ้านที่ใหญ่ขึ้น นี่เป็นความคิดที่อาจจะแย้งกับอีกหลายคนที่บอกว่าควรซื้อบ้านใหญ่ที่สุดที่สามารถผ่อนได้ เพราะบ้านนั้นเป็นเหมือน "การลงทุน" และการอยู่บ้านใหญ่นั้น "มีความสุข" มากกว่า แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวผมเองนั้นพบว่า บ้านอยู่อาศัยนั้นราคามักจะไม่ค่อยขึ้น เช่นเดียวกันบ้านที่ใหญ่เกินความจำเป็นนั้น ถ้าจะเพิ่มความสุขได้ก็น่าจะน้อยและไม่คุ้มกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น



ข้อสาม มีลูกให้น้อย อย่าเกินสองคนก็ดี เพราะลูกนั้นเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการเลี้ยงดู และให้การศึกษา คำสมัยก่อน ก็คือ มีลูกหนึ่งคนจนไปเจ็ดปี แต่สมัยนี้ผมคิดว่ายาวกว่านั้น คนในสมัยก่อนมีลูกเพราะคิดว่าเป็น "การลงทุน" นั่นคือ หลังจากที่ลูกโตเขาก็กลับมาเลี้ยงเรา ดังนั้น เขาจึงมีลูกมากแต่ในปัจจุบันความคิดนี้ก็ใกล้หรือกำลังหมดไป เราไม่หวังให้ลูกมาเลี้ยงเราแล้ว ดังนั้น ถ้าอยากรวย อย่ามีลูกมาก



ข้อสี่ รายจ่ายค่าสมาชิกทั้งหลาย เช่น สมาชิกสถานออกกำลังกาย สมาชิกเคเบิลทีวีราคาแพง สมาชิกที่สามารถพักตามเครือข่ายโรงแรมตากอากาศหลายแห่ง เหล่านี้เป็นความบันเทิงหรือการดูแลสุขภาพที่เราสามารถหาซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก เช่น แทนที่จะเข้าฟิตเนส เราสามารถไปสวนสาธารณะที่มีการเต้นแอโรบิกที่สนุกสนานทุกวันโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน เคเบิลทีวีราคาถูกเดี๋ยวนี้บางแห่งมีรายการดีมากเกือบเท่าแบบที่มีราคาแพงแต่เสียค่าใช้จ่ายแค่เดือนละ 200 บาทก็มี พูดถึงเรื่องการพักผ่อนต่างจังหวัดแล้วก็ทำให้ผมมีข้อแนะนำอีกว่า "อย่าซื้อคอนโดหรือบ้านพักในสถานที่ท่องเที่ยว" เพราะนี่เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงมากเทียบกับการที่เราไปเช่าโรงแรมอยู่ คนอาจคิดว่านี่เป็น "การลงทุน" แต่จริง ๆ แล้วราคาก็มักจะไม่ค่อยขึ้นหรือถึงขึ้นเราก็มักจะไม่ขาย ในระหว่างนั้น เราก็ต้องผ่อนส่งรายเดือนหรือต้องเสีย "ค่าเสื่อม" ไปเรื่อยๆ เหนือสิ่งอื่นใด การพักโรงแรมนั้นเราไม่ต้องดูแลทำความสะอาด และเราจะไปพักสถานที่ไหนก็ได้ ซึ่งทำให้เรามีความสุขมากกว่า



ข้อห้า ถ้าอยากรวย นอกจากปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นแล้ว จะต้องไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและเก็บออมเงินให้มากที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องประหยัดเกินความจำเป็นจนทำให้เรารู้สึกไม่สบาย สิ่งนี้ทำไม่ยากถ้าเรารู้จักซื้อของแบบเน้น "คุณค่า" นั่นคือ ใช้เงินน้อยแต่สามารถตอบสนองความต้องการเกิน 90% ตัวอย่างง่ายที่สุด ก็คือ การซื้อของไม่มียี่ห้อที่มีคุณภาพดีหรือซื้อของมียี่ห้อในช่วงที่มีการลดราคามากๆ เป็นต้น



สุดท้าย ก็คือ ถ้าคุณต้องการแค่ว่าคุณจะสามารถอยู่อย่างสบายมีเงินพอสมควร แต่ไม่ต้องการความผันผวนของความมั่งคั่ง คุณจะต้องบริหารเงินโดยการจัดสรรทรัพย์สินให้อยู่ในหลักทรัพย์หลายๆ อย่างรวมถึงพันธบัตรและหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ว่าจะบริหารเองหรือมอบให้ "มืออาชีพ" ซึ่งก็คือบริษัทจัดการการลงทุนทำ แต่ถ้าคุณอยากรวยหรือเป็นเศรษฐีละก็ คุณควรลงทุนเงินที่เหลือเก็บไว้ในหุ้นเพียงอย่างเดียว การลงทุนในหุ้นในระยะยาวมากๆ นั้น ความเสี่ยงจะไม่สูงและผลตอบแทนจะสูงกว่าการลงทุนในตราสารการเงินอื่นมาก ดังนั้น ถ้าคุณมีเวลาในการเก็บเงินและลงทุนยาวเป็น 20-30 ปี ผมแนะนำว่าให้ลงทุนเงินทุกบาททุกสตางค์ในหุ้น ไม่ว่าจะลงเองหรือใช้มืออาชีพลงให้ นอกจากนั้น ในการลงทุนถ้าได้ผลประโยชน์ทางภาษีด้วย เช่น การลงทุนใน LTF หรือ RMF ก็ควรใช้สิทธินั้นอย่างเต็มที่



และเช่นเคยสิ่งที่แนะนำมาทั้งหมดนั้น ไม่รับประกันว่าคุณต้องรวยแน่นอน แต่ผมคิดว่ามันเพิ่มโอกาสการเป็นเศรษฐีให้คนที่ปฏิบัติขึ้นมาก เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ ถ้าไม่ได้เป็นเศรษฐีคุณก็คงไม่จน และมีความสุขเพิ่มขึ้นแน่นอน


By nives
//newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=7821&user=nives




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2552    
Last Update : 9 ธันวาคม 2552 10:58:10 น.
Counter : 484 Pageviews.  

วิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยตนเอง ตอนที่4: เทคนิคการค้นหา Growth Stock (จบ)

ต่อจาก 2 ฉบับก่อนที่กล่าวถึงเกณฑ์ในการ ค้นหา หุ้นเติบโต (Growth Stock) ไปแล้ว ฉบับนี้มาต่อกันที่หัวข้อการประเมินของนักวิเคราะห์ (Analysts Consensus Ratings) กันต่อ

อัตราการเติบโตของกำไรประมาณการในอีก 5 ปีข้างหน้า

กำหนดอัตราขั้นต่ำไว้ที่ 18% ต่อปี เรา สามารถติดตามดูข้อมูลได้จากการพยากรณ์ของ นักวิเคราะห์ โดยดูจากค่าเฉลี่ยของการทำ Consensus การเติบโตของกำไรในอนาคต ถ้าเป็นไปตามที่คาดก็จะส่งผลดีต่อการเติบโตของการลงทุนไปด้วย

อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) กำหนดอัตราส่วนขั้นต่ำไว้ที่ 1.5 เท่า อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน คือ การหารสินทรัพย์หมุนเวียนด้วยหนี้สินหมุนเวียน ถ้าอัตราส่วนนี้ มีค่าต่ำกว่า 1 แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมมีภาระหนี้สินระยะสั้นเกินกว่าสินทรัพย์ที่จะใช้ชำระหนี้ระยะสั้นได้ ถ้าอัตราส่วนนี้มีค่าสูงขึ้น แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นของบริษัท ก็จะสูงขึ้นด้วย ในที่นี้กำหนดค่าเหมาะสม (Arbitrary) ไว้ที่ 1.5 ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้

อัตราส่วนหนี้สินระยะยาวต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Long-Term Debt/Equity) กำหนด ค่าสูงสุดไว้ที่ 0.5 อัตราส่วนหนี้สินระยะยาว ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นการนำมูลค่าหนี้สินระยะยาวมาเทียบกับมูลค่าตามบัญชี (Book Value) ของกิจการ ยิ่งอัตราส่วนนี้สูงขึ้น แสดงว่าสัดส่วนที่เป็นหนี้ยิ่งสูงขึ้น การกำหนดค่าสูงสุดของอัตราส่วนหนี้ที่ 0.5 ช่วยตัดบริษัทที่มีปัญหาหนี้สินมากๆ ออกจากการพิจารณา เพราะทำให้เกิดความเสี่ยงทางการเงิน

ระดับรายได้ (Revenue) กำหนดค่าเฉลี่ยต่ำสุดของรายได้ต่อปี คือ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ เราต้องมีการกำหนดขนาดของรายได้ของบริษัท ที่เราสนใจอย่างชัดเจน เพื่อให้รู้ว่าบริษัทที่เราสนใจอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่หรือธุรกิจขนาดเล็ก

อัตราการทำกำไรต่อสินทรัพย์ (Return on Assets) กำหนดอัตราขั้นต่ำไว้ที่ 8% ต่อปี ROA ใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของ บริษัท ยิ่ง ROA สูง ก็ยิ่งดี การกำหนดอัตรา ขั้นต่ำทำให้เราคัดสรรหลักทรัพย์ที่มีความสามารถในการทำกำไรในอัตราที่น่าพอใจไว้ได้จำนวนหนึ่ง โดยปกติเราจะไม่ค่อยสนใจหุ้นของบริษัทที่มี ROA ต่ำในระดับหนึ่ง เช่น 5%

ราคาหุ้น (Share Price) กำหนดราคาขั้นต่ำไว้ที่ 5 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น (เฉพาะของสหรัฐ)

หุ้นที่มีราคาต่ำมากๆ (เช่น ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ) จะถูกพิจารณาว่าอาจมีความเสี่ยงสูง หรืออาจมีปัญหาบางประการ และควรถูกตัดออกไป

เปอร์เซ็นต์การถือครองหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (Percent Institutional Ownership) กำหนดเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำไว้ที่ 30% กองทุนรวมและนักลงทุนสถาบันมักจะชอบหุ้นแบบ Growth Stock เราอาจคอยสังเกตว่า ถ้าหุ้นนั้นไม่มี นักลงทุนสถาบันมาถือครอง ก็เป็นสัญญาณว่าเป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจ สำหรับเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำนี้อาจพิจารณาในระดับต่างๆ กันไป แล้วแต่ลักษณะการลงทุนของกองทุนรวมในแต่ละประเทศ

โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ ข้างต้น ควรคัดสรรหุ้น แบบ Growth Stock มาได้เหลือ 15-20 ตัว ถ้ายังไม่ได้ในจำนวนที่ต้องการก็ปรับเกณฑ์ตามความเหมาะสม

รายงานโดย :กฤษฏา เสกตระกูล:
//www.posttoday.com/stockmarket.php?id=79693




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2552    
Last Update : 9 ธันวาคม 2552 1:44:25 น.
Counter : 606 Pageviews.  

‘เงินเฟ้อ’ศัตรูตัวร้าย ของความมั่งคั่ง

ท่านผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้ติดตามรายงานข่าวเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ ผ่านทางสื่อช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรืออินเทอร์เน็ตกันมาบ้าง อัตราเงินเฟ้อ ตามความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ คือ ตัวบ่งชี้ถึงแนวโน้มของราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไ

จากรูปด้านบนจะสังเกตเห็นว่าราคาสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล หรือก๊าซหุงต้ม ล้วนแต่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนม.ค. 2544 ราคาเฉลี่ยน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันดีเซล และก๊าซหุงต้ม เคยอยู่ที่ 15.9 บาทต่อลิตร 13.4 บาทต่อลิตร และ 160 บาทต่อถัง ตามลำดับ แต่ในปัจจุบัน (ข้อมูลล่าสุด เดือนก.ย. 2552) ราคาเฉลี่ยได้ปรับตัวสูงขึ้นมาเป็น 40.5 บาทต่อลิตร 26.8 บาทต่อลิตร 290.6 บาทต่อถัง ตามลำดับ สมมติเราเคยเติมน้ำมันเบนซิน 95 จำนวน 10 ลิตร ใช้เงิน 159 บาท แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันเป็น 40.5 บาทต่อลิตร หากต้องการที่จะเติมน้ำมันจำนวน 10 ลิตรเท่าเดิม เราต้องใช้เงินมากขึ้นเป็น 405 บาท เพิ่มขึ้นถึง 155% พูดง่ายๆ ก็คือ อัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินที่เรามีอยู่ด้อยค่าลง ยิ่งเงินที่เรามีด้อยค่าลงเท่าไร คุณภาพชีวิตเราก็จะลดลงตามไปด้วย



พิจารณาจากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อย้อนหลังประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเรามีระดับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเป็นบวกมาตลอด จากรูปด้านล่างจะสังเกตเห็นว่าทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป และดัชนีราคาผู้บริโภคเฉพาะหมวดอาหาร ล้วนปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 27% และ 47% ตามลำดับ แนวโน้มเช่นนี้ทำให้เราตระหนักได้ว่า เงินที่เรามีตั้งแต่ปีค.ศ. 2000 จะมีกำลังซื้อสินค้าและบริการโดยทั่วไปลดลง หรือด้อยค่าลง ประมาณ 27% ในปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงเราจะมี “ความมั่งคั่ง” (Wealth) ลดลงเรื่อยๆ ทั้งที่เรามีจำนวนเงินเท่าเดิม ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่ทุกท่านไม่ปรารถนา

ผู้อ่านบางท่านคงเริ่มเกิดคำถามในใจแล้วว่า การฝากเงินกินดอกเบี้ยธนาคารจะสามารถช่วยรักษาความมั่งคั่งและคุณภาพชีวิตในระยะยาวไว้ได้หรือ? โดยเฉพาะท่านที่เพิ่งจะเกษียณจากชีวิตการทำงาน และบางท่านอาจมีคำถามต่อไปว่า แล้วเราจะรักษาความมั่งคั่งไว้ได้อย่างไร?

คำตอบก็คือ การฝากเงินออมทั้งหมดไว้กับบัญชีเงินฝากธนาคารไม่สามารถรักษาความมั่งคั่งไว้ได้ในระยะยาว เพราะอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ได้รับจากธนาคารจะต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในระยะยาว ส่งผลให้เงินออมด้อยค่า หรือมีกำลังซื้อลดลงไปเรื่อยๆ



สิ่งที่เราควรทำเพื่อรักษาความมั่งคั่งไว้ให้ได้ในระยะยาวนั้น คือ การจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) ที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากสินทรัพย์บางประเภทมีคุณลักษณะที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้ในระยะยาว แต่อาจมีความผันผวนสูงในระยะสั้น เช่น ตราสารทุน ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ฯลฯ ในขณะที่สินทรัพย์บางประเภทมีความผันผวนไม่สูงมากนักและจ่ายผลตอบแทนให้สม่ำเสมอ แต่อาจไม่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน ฯลฯ การจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทในสัดส่วนที่เหมาะสม จะช่วยให้เราสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการรักษาความมั่งคั่งไว้ได้ในระยะยาว ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ ทั้งนี้ เราสามารถจัดสรรเงินลงทุนให้กับตนเองได้อย่างง่ายๆ โดยจัดสรรเงินลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินประมาณ 10-15% ของเงินออม เพื่อสภาพคล่องและสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้เอกชนที่มีความน่าเชื่อถือดี ประมาณ 30-35% เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเพียงพอกับค่าใช้จ่ายประจำในแต่ละเดือน ส่วนที่เหลือแบ่งลงทุนในตราสารทุนประมาณ 50-55% และลงทุน ในทองคำประมาณ 5% เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อ เพียงเท่านี้เราก็สามารถรักษาความมั่งคั่งของเงินออมไว้ได้ระดับหนึ่ง ในระยะยาวแล้ว

สำหรับท่านที่ไม่เชี่ยวชาญในการลงทุนในสินทรัพย์บางประเภท เช่น ตราสารทุน ตราสารหนี้ ฯลฯ การแบ่งเงินลงทุนผ่านกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ท่านรักษาความมั่งคั่งของเงินออมไว้ได้ เพราะกองทุนรวมมีกลุ่มบุคลากรที่เชี่ยวชาญ ทำให้สามารถกลั่นกรองการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าลงทุนเองโดยตรง ในขณะที่ความเสี่ยงโดยรวมก็ลดลงด้วยเพราะมีการกระจายการลงทุนที่ดีกว่า นอกจากนี้ ขั้นตอนการลงทุนต่างๆ ยังถูกกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงสามารถมั่นใจได้ในเรื่องความโปร่งใสของขั้นตอนการลงทุนต่างๆ

รายงานโดย :จิรวัฒน์ ประทุมทัย
//www.posttoday.com/stockmarket.php?id=79031




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2552    
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 12:21:59 น.
Counter : 1127 Pageviews.  

FIF ช่องทางการลงทุน ในต่างประเทศ

ในปัจจุบันกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund: FIF) ถือได้ว่าเป็นอีกช่องทางในการลงทุนที่นักลงทุนให้ความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากกองทุน FIF
เป็นการเปิดโอกาสให้เงินลงทุนของเราสามารถโกอินเตอร์ไปลงทุนในต่างประเทศได้โดยมีมืออาชีพมาช่วยบริหารจัดการลงทุน ซึ่งทำให้เราสามารถกระจายการลงทุนไปในสินค้าทางการเงินที่มีความหลากหลายครอบคลุมมากกว่าสินค้าที่มีการเสนอขายอยู่ในประเทศ ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนให้กับพอร์ตการลงทุนของเรา สำหรับขนาดกองทุน FIF นั้น ณ เดือนพ.ย. 2552 มีมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 30.77% ของมูลค่ากองทุนรวมทั้งหมด

สำหรับรูปแบบการบริหารกองทุน FIF นั้นแบ่งได้เป็น 2 แบบหลักๆ คือ

1.แบบที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บริหารกองทุนด้วยตนเอง โดยนำเงินไปลงทุนโดยตรงในหลักทรัพย์หรือสินค้าทางการเงินต่างๆ ในต่างประเทศ เช่น ตราสารทุน ตราสารหนี้ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรต่างๆ แล้วแต่จะกำหนด เช่น อ้างอิงกับราคาหลักทรัพย์หรือดัชนีราคาหลักทรัพย์ ราคาสินค้าหรือดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ราคาทองคำ หรือราคาน้ำมันดิบ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การบริหารกองในรูปแบบนี้ในปัจจุบันยังจำกัดอยู่ที่สินค้าทางการเงินที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว จึงยังไม่ครอบคลุมไปถึงการลงทุนโดยตรงในสินค้าอื่นอีกหลายประเภท เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ประเภททองคำและน้ำมัน เป็นต้น

2.แบบที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ของไทยไปซื้อกองทุนรวมที่บริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนในต่างประเทศ อีกทอดหนึ่ง (ลักษณะเป็นการลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวมในต่างประเทศ) ซึ่งการลงทุนในรูปแบบนี้จะช่วยให้การบริหารจัดการลงทุนในต่างประเทศมีการกระจายความเสี่ยงไปในสินค้าทางการเงินอื่นๆ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยบลจ. สามารถลงทุนได้ 2 วิธี คือ แบบ Fund of Funds และ แบบ Feeder Fund

กองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ (Fund of Funds) เป็นการนำเงินไปซื้อกองทุนรวมในต่างประเทศหลายๆ กอง ซึ่งอาจจะมีนโยบายการลงทุนที่คล้ายกันหรือมีนโยบายต่างกันก็ได้ เช่น กองทุนรวม FIF A ที่มีนโยบายการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ก็อาจนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม B ซึ่งเป็นกองหุ้นของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กับกองทุนหุ้น C ของประเทศบาห์เรน เป็นต้น ซึ่งกองทุนรวมแบบ Fund of Funds นี้ บลจ.ของไทยจะเป็นผู้กำหนดว่าจะนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศกองใดบ้าง ในสัดส่วนเท่าใด และจะมีการปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ยังอยู่ภายใต้เกณฑ์ที่ก.ล.ต. กำหนด

กองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมในต่างประเทศเพียงกองเดียว (Feeder Fund) ซึ่งเรียกว่า Master Fund เช่น กองทุนรวม FIF X ไปลงทุนในกองทุนรวม Y ที่จัดตั้งในต่างประเทศเพียงกองเดียว ซึ่งกองทุนรวม Y จะมีผู้จัดการกองทุนที่อยู่ต่างประเทศเป็นผู้ดูแลและบริหารเงิน โดยอาจจะเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมอื่นหรือสินค้าทางการเงินต่างๆ ตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้ ตัวอย่างของกองทุนรวมแบบ Feeder Fund ของไทยที่มีออกมาเสนอขายกันในช่วงนี้ ก็เช่น กองทุนรวม FIF ที่ไปลงทุนในกองทุนรวมในต่างประเทศที่ไปลงทุนในทองคำแท่ง หรือกองทุนรวม FIF ที่ไปลงทุนในกองทุนรวมอีทีเอฟที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ เป็นต้น สำหรับผลตอบแทนของ Feeder Fund อาจไม่เท่ากับผลตอบแทนของ Master Fund ได้ เนื่องจาก Feeder Fund อาจลงทุนใน Master Fund โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชี 80% ของ NAV และเงินลงทุนส่วนที่เหลือผู้จัดการกองทุนอาจนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น หรือบางกรณีผู้จัดการกองทุนอาจใช้ดุลยพินิจ (Active Management) ในการซื้อขายหน่วยลงทุนของ Master Fund เพื่อหวังกำไร (Market Timing) ซึ่งมีโอกาสได้รับกำไรหากคาดการณ์ถูกหรืออาจขาดทุนได้หากคาดการณ์ผิดนั้นเอง

รายงานโดย :สมาคมบริษัทจัดการลงทุน
//www.posttoday.com/stockmarket.php?id=78871




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2552    
Last Update : 2 ธันวาคม 2552 15:44:01 น.
Counter : 551 Pageviews.  

เคล็ดลับการเลือกซื้อกองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์

หลังจากได้ทำความรู้จักกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กันไปแล้ว คราวนี้หน้าต่างก.ล.ต. ขอมาแชร์เคล็ดลับในการเลือกลงทุนในกองทุนรวมประเภทนี้กันค่ะว่าต้องดูอะไรบ้าง

เริ่มจากการดูคุณลักษณะทั่วไปของกองทุนรวม

ในการพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้น ก่อนอื่นให้ดูลักษณะทั่วๆ ไปของกองทุนก่อนว่าสอดคล้อง กับความต้องการลงทุนของเราหรือไม่ เช่น ดูว่าเป็นกองทุนประเภทไหน? (เป็นแบบมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (Freehold) หรือซื้อสิทธิการเช่า (Leasehold) หรือ ผสมทั้งสองแบบ) มีรายได้มาจากไหน? มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง? (กองทุนรวมประเภทนี้ มักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ากองทุนรวม ทั่วๆ ไป) กองทุนจะมีการจ่ายผลตอบแทน ในลักษณะใด? สม่ำเสมอหรือไม่? ลักษณะผลตอบแทนเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีหรือไม่? ซึ่งในเรื่องผลตอบแทนนี้ บางทีก็มีกองทุนที่โฆษณาว่ามีการรับประกันรายได้ก็ต้องพิจารณาให้ดีนะคะ เพราะอาจเป็นเพียงการรับประกันรายได้ค่าเช่าที่กองทุนจะได้รับ แต่ไม่ได้เป็นการ รับประกันผลตอบแทนที่กองทุนรวมจะ จ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน และก็มักจะเป็นการรับประกันรายได้เพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นค่ะ

เจาะลึกอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนรวมไปลงทุน

เมื่อดูคุณลักษณะทั่วไปแล้ว ที่ต้องวิเคราะห์ดูเป็นพิเศษก็คือ ตัวอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนรวมเข้าไปลงทุน โดยเริ่มจากดูทำเลที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์เป็นทำเลทองหรือไม่? ดูว่าอสังหาริมทรัพย์ที่ไปลงทุนก่อสร้างแล้วเสร็จหรือยัง? หากยังไม่แล้วเสร็จ มีการก่อสร้างไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโดยทั่วไปก็ควรเลือกอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มว่าจะสร้างเสร็จตามเวลา วงเงินก่อสร้างไม่บานปลาย แต่หากสามารถเลือกโครงการที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว และสามารถหารายได้ทันที ก็จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนกว่า เพราะถือว่าเป็นกอง ที่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำค่ะ หากเป็นกองแบบ Leasehold ก็ต้องดูเงื่อนไข การเช่าด้วย เช่น เงื่อนไขในสัญญาเช่า การประกันภัยเป็นอย่างไร? นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรประเมินความสามารถในการหารายได้ของอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนรวมไปลงทุนด้วย โดยอาจดูจากความสามารถของผู้รับจ้างบริหาร

ทั้งในเรื่องความรู้และประสบการณ์ของทีมงาน หรือชื่อเสียงในด้านการบริหารอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผลการดำเนินงาน ที่ผ่านมา (Track Record) เช่น อัตรา การปล่อยเช่าพื้นที่ของอสังหาริมทรัพย์ (Occupancy Rate) ทั้งในปัจจุบันและ แนวโน้มในอนาคต รายได้จากการให้เช่าพื้นที่ (กรณีที่มีผลการดำเนินงานอยู่แล้ว) เป็นต้น

ดูความเสี่ยงสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้อง

ปัจจัยที่อาจมีผลกระทบในทางลบต่อผลการดำเนินงานของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีทั้งปัจจัยจากสภาวะแวดล้อม ทั่วไปของกองทุน และปัจจัยเสี่ยงจากการ บริหารภายในกองทุนรวมเอง

nความเสี่ยงทั่วๆ ไป มีได้ตั้งแต่ภัยธรรมชาติ สภาวะเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการในการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เช่น ผลกระทบจากภัยธรรมชาติต่อการท่องเที่ยวและทำให้ผู้เข้าพักโรงแรมลดลง เป็นต้น ภาวะการแข่งขันในแต่ละอุตสาห กรรมที่สูงขึ้น เช่น อุตสาหกรรม Service Apartment มีการทำกันมาก หรืออุตสาห กรรมโรงแรมที่มีโรงแรมใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะ ก็อาจทำให้ผู้เช่าหรือผู้ใช้บริการลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ของกองทุนรวมตามไปด้วย เป็นต้น

nความเสี่ยงจากปัจจัยภายในก็มี เช่น หากกองทุนรวมไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทเดียวหรือชิ้นเดียว ไม่มีการกระจายการลงทุนไปในอสังหาริมทรัพย์หลายๆ ประเภทหรือหลายชิ้นในกองเดียวกัน ก็จะมีความเสี่ยงสูงกว่า อีกทั้งหากรายได้ของกองทุนรวมขึ้นอยู่กับผู้เช่าเพียงรายเดียว เช่น กองทุนรวมที่ลงทุนในโรงแรม ความสามารถในการจ่ายค่าเช่าให้แก่กองทุนรวมก็ต้องขึ้นกับความสามารถของผู้เช่ารายนั้นเพียงรายเดียว ซึ่งหากผู้เช่ารายนั้นประสบปัญหาการจ่ายค่าเช่า ก็จะมีผลกระทบมาถึงผลการดำเนินงานของกองทุนด้วย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในเรื่องประสิทธิภาพ ในการบริหารอสังหาริมทรัพย์และความจำเป็นในการปรับปรุงหรือ Renovate ทรัพย์สิน ที่อาจกระทบต่อการหารายได้ ของกองทุนรวมในบางช่วงด้วย

นอกจากความเสี่ยงข้างต้นแล้ว กองทุนรวมประเภทนี้อาจมีข้อจำกัดในเรื่องสภาพคล่องในการซื้อขายด้วย เนื่องจากจะมี การนำหน่วยลงทุนของกองทุนรวมนี้ไป จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แบบเดียวกับการซื้อขายหุ้น ซึ่งหากเป็นกองที่คนไม่ค่อยสนใจซื้อขาย ก็อาจไม่สามารถซื้อขายได้ในเวลาหรือราคาที่พอใจได้ ข้อมูลสำคัญๆ ที่กล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ละเอียดก่อนลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสามารถอ่านได้จากหนังสือชี้ชวนกองทุนรวม และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก ตัวแทนขายค่ะ

เมื่อได้พิจารณากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว รวมทั้งประเมินความพร้อมของตนเอง เช่น ในเรื่องฐานะการเงินและการยอมรับความเสี่ยงแล้ว เห็นว่ามีความพร้อมก็หากองทุนประเภทนี้มาเข้าพอร์ตการลงทุนได้เลยค่ะ เนื่องจากกองทุนรวมประเภทนี้เป็นสินค้าทางการลงทุนที่ผลตอบแทนไม่มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของราคา หุ้นหรือตราสารหนี้ จึงเป็นช่องทางที่ เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนค่ะ

รายงานโดย :จารุพรรณ อินทรรุ่ง
//www.posttoday.com/stockmarket.php?id=78690




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2552    
Last Update : 1 ธันวาคม 2552 11:37:50 น.
Counter : 725 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.