In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 
ศก.แบบนี้มีเงินลงทุนอะไรดี ฝากหรือซื้อหุ้นกู้สั้น-ยาวดี

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีข่าวเรื่องการลงทุน หรือ การฝากเงินค่อนข้างมาก และเป็นที่พูดคุยซักถามกันอย่างแพร่หลาย

หลายครั้งที่ผมได้พบกับบุคคลหลายๆ ท่านมักจะถามว่า ตอนนี้มีเงินอยู่จะทำอะไรกับเงินที่มีอยู่ดี และการหาผลตอบแทนของเงินที่มีอยู่จะหาอย่างไร

ช่วงนี้หากเราติดตามข่าวสาร จะพบว่า มีการออกตราสาร เงินฝาก และพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นทางเลือกในการลงทุนที่มากมายให้เราเลือกได้ ซึ่งจริงๆ แล้วหากเราเริ่มต้นด้วยคำถามว่า มีเงินอยู่ทำอะไรดี ก็จะมีผู้ชำนาญการหลายท่านได้ให้แนวทางในการลงทุน และจัดสัดส่วนในการลงทุนไม่ว่าจะเป็น เงินสด เงินฝาก สินค้าโภคภัณฑ์ ซื้อหน่วยลงทุน หรือซื้อหุ้น หรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะจัดตามความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ หากอายุน้อย ก็สามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่า และขึ้นอยู่กับการจัดสรรสัดส่วนในการถือครองสินทรัพย์ของแต่ละคน

ในที่นี้ผมขอคุยกันเฉพาะเรื่องผลตอบแทนหากเราเลือกแล้วว่า การหาผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้นกู้ การฝากเงิน การซื้อพันธบัตรรัฐบาล ล้วนแต่มีผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยทั้งนั้น แต่ว่าในแต่ละตราสารจะมีคุณลักษณะความเสี่ยงที่แตกต่างกันจำแนกเป็น 2 เรื่อง คือ ความเสี่ยงของตราสารเอง คือ ผู้ออกตราสาร และความเสี่ยงผลตอบแทน คือ ดอกเบี้ย

หากจะดูกันง่ายๆ เงินฝาก คำถามแรก คือ ฝากสั้น หรือ ฝากระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็น 1 เดือน 2 เดือน หรือ 3 เดือน หรือ ฝากยาว คือ 1 ปี หรือ 2 ปี หรือ เราจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น คือ น้อยกว่า 6 เดือน หรือ ซื้อพันธบัตรระยะยาว คือ 5 ปี หรือ 10 ปี ดี เราจะตัดสินใจอย่างไร

ผมขอสมมติเหตุการณ์ดังนี้

ดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้น 6 เดือน อยู่ที่ 1% ดอกเบี้ยเงินฝาก 1 ปี อยู่ที่ 2%

ดอกเบี้ยเงินฝาก 2 ปี อยู่ที่ 3% ดอกเบี้ยเงินฝาก 3 ปี อยู่ที่ 4%

จากสถานการณ์ดังกล่าว เราจะเลือกฝากเงินอย่างไรดี 6 เดือน ดี หรือ 3 ปี ดี เราจะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งถ้าผมจะคุยกันคือ สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงมีด้วยกัน 2 ประการ คือ เงินต้นและผลตอบแทน ส่วนของเงินต้น เราจะได้คืนครบไหม หรือ เงินต้นคุ้มครองหรือเปล่า ซึ่งกรณีฝากเงินนั้น เงินต้นคุ้มครองครบ และในส่วนที่สองคือผลตอบแทนจะได้เท่าไร
ถ้าเราจะเลือกฝากเงิน 6 เดือน เราจะได้รับผลตอบแทน คือ ดอกเบี้ย 1% สำหรับ 6 เดือนนี้ และหลังจากนั้นก็ไปดูกันอีกทีว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะเป็นเท่าไร หากสูงขึ้นก็ดีไป หากต่ำลงก็แย่ ซึ่งหากเราเลือกฝาก 6 เดือน แปลว่าเราคาด หรือ เก็งว่าดอกเบี้ยหลังจาก 6 เดือน นี้จะต้องเพิ่มขึ้น ไม่ต่ำลง เพราะถ้าคิดว่าดอกเบี้ยต่ำลง เราจะเลือกที่จะฝากนานว่า

ถ้าเราเลือกว่าฝาก 3 ปี เราจะได้รับผลตอบแทนร้อยละ 4 โดยเราคาดว่าดอกเบี้ยจากนี้ไปไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในระยะเวลา 3 ปีนี้ ก็จะต่ำกว่า 4% และหากเราคิดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 4 เราก็จะเลือกที่จะฝากอายุสั้นกว่านั้นนั่นเอง

ถ้าเรามาดูจากสองสถานการณ์โดยสรุปนั้น คือ เราต้องคำนึงผลตอบแทน หรือดอกเบี้ยรับโดยรวมทั้งระยะเวลา เปรียบเทียบกัน และเราต้องคิดว่าดอกเบี้ยที่เราได้รับจากการซื้อหลักทรัพย์ หรือ ฝากเงิน นั้น เทียบกับดอกเบี้ยที่เราคาดไว้อันไหนสูง หรือต่ำกว่ากัน โดยพิจารณาจากตัวอย่างแผนภูมิด้านล่าง

*****
กราฟแสดงถึงอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารที่ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากัน แสดงอัตราดอกเบี้ยในแต่ละขณะอ่านได้คือ อัตราดอกเบี้ย 1 ปี อยู่ที่ 1.72% 2 ปี อยู่ที่ 2.41% 3 ปี อยู่ที่ 2.91% 5 ปี อยู่ที่ 3.51% 10 ปี อยู่ที่ 4.05% ซึ่งหากเราถามตัวเองตามที่เราได้คุยกันในเบื้องต้น

ถ้าสมมติว่า อัตราดอกเบี้ยนี้ เป็นผลตอบแทนในการลงทุน เราต้องคำนึงถึงผลตอบแทนรวมหากเรามีเงินและเรากำลังเลือกระหว่างลงทุน 1 ปี แล้วค่อยๆ ลงทุนใหม่ เรื่อยๆ ทุกๆ ปี หรือ เราจะเลือกลงทุนยาวไปเลย 10 ปี ซึ่งจากตัวเลขดอกเบี้ยเบื้องต้น 1 ปี ได้ผลตอบแทน 1.72% 10 ปีได้ผลตอบแทน 4.05% ซึ่งสูงกว่ามาก แต่เราจะเปรียบเทียบเพียง 1 ปี และ 10 ปีก็ไม่พอ

สิ่งที่เราต้องคำนึงคือ อัตราดอกเบี้ย 1 ปี ใน อีก 1 ปี ข้างหน้า และ อีก 1 ปี ไปเรื่อยๆ ถ้าเรากำลังเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุน 1 ปี ซึ่งต้องนำเงินมาลงทุนใหม่ ทุกครั้งที่ครบงวด คือ 1 ปี เปรียบเทียบกับลงทุนระยะยาว คือ 10 ปี ดังนั้นเราต้องคาดเดาว่าดอกเบี้ย 1 ปี ในแต่ละปีจากนี้ไปอีก 9 ปี จะเป็นอย่างไร แล้วเอาผลรวมดอกเบี้ยมาเปรียบเทียบกับการลงทุน หรือฝาก 10 ปีในครั้งเดียว หากด้านไหนมากกว่าก็เลือกทางด้านนั้น

เปรียบเทียบผลตอบแทน (เปรียบเทียบคร่าวๆ โดยไม่คิดค่าเงินในปัจจุบัน)

(เงินต้น X ดอกเบี้ยปี 1)+(เงินต้น X ดอกเบี้ยปี 2)+… +(เงินต้น X ดอกเบี้ยปี 10) เทียบกับ (เงินต้น Xดอกเบี้ยปี 10)X10

ทั้งนี้ ดอกเบี้ยแต่ละปี เราสามารถดูว่าตลาด หรือบุคคลทั่วไปคิดว่าดอกเบี้ยจะเท่ากับเท่าไรได้แผนภูมิเบื้องต้น สามารถอ่านได้ดังนี้ ดอกเบี้ย SWAP 1 ปีปัจจุบัน 1.72% โดย 1 ปีในอีก 1 ปีข้างหน้า อยู่ที่ 3.10% และ อีก 1 ปี หลังจากนั้นอยู่ที่ 3.91% และอีก 1 ปีหลังจากนั้นอยู่ที่ 4.15% ซึ่งหากเราคิดว่าดอกเบี้ยที่ระบุนี้ต่ำกว่าที่เราคาดว่าจะเป็น คือ หากคิดว่าดอกเบี้ย 1 ปีข้างหน้า น่าจะไม่ต่ำกว่า 4% และเพิ่มขึ้น 0.50% ทุกๆ ปี หลังจากนี้ เราควรจะฝากระยะสั้น และหากเราคิดว่าดอกเบี้ยอีก 1 ปีไม่น่าจะสูงกว่าดอกเบี้ยที่ได้ระบุในเบื้องต้น เราก็ควรจะฝากเงินเป็นระยะเวลา 4 ปี เพราะดอกเบี้ยที่เราคาดไว้ไม่สูงกว่า

ดอกเบี้ยตัวอย่างที่ระบุ 1 ปี ในอีก 1 ปีข้างหน้าไปเรื่อยๆ นั้น เราเรียกกันว่า FORWARD RATE หรือ อัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า ซึ่งจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่บอกได้ว่าอัตราในอนาคตที่คาดการณ์กันเป็นอย่างไร

ครั้งนี้อาจซับซ้อนสักนิดนะครับ โดยทั่วไปหากเราลงทุนเราจะดูผลตอบแทนทันที แต่หากดูกันให้ละเอียดอีกนิดก็จะช่วยให้การลงทุนหรือการฝากเงินนั้น มีผลตอบแทนที่ดีขึ้น หลักการง่ายๆ คือ ผลตอบแทนดอกเบี้ยรวมไม่ว่าจะฝากสั้น หรือ ยาว เมื่อรวมกันแล้วนำมาเปรียบเทียบกันกับที่เราคาดการณ์ หรือเก็ง หากอันไหนสูงกว่าก็เลือกอันนั้น จะได้มีดอกเบี้ยเหลือไว้ใช้จ่ายได้มากขึ้นนะครับ

โดย : มายาการเงิน
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/guru/20090716/60307/ศก.แบบนี้มีเงินลงทุนอะไรดี-ฝากหรือซื้อหุ้นกู้สั้น-ยาวดี.html


Create Date : 17 กรกฎาคม 2552
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 4:48:50 น. 2 comments
Counter : 452 Pageviews.

 
เข้ามาเก็บข้อมูลดีดีคะ


โดย: mook (haiti ) วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:7:42:44 น.  

 
อ้าว ไม่ได้มีบทสรุปหรือคะ ว่าให้ลงทุนแบบไหน?


โดย: CindyD วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:18:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.