In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

ฉันถูกแต่ระบบผิด ระบบถูกแต่เธอผิด

ถ้าลองบอกคนอื่นว่ามีรถคันหนึ่งขับส่ายไปมาบนถนนในยามดึกสงัดคนที่ได้ฟังส่วนใหญ่จะสรุปในเกือบทันทีว่าคนขับรถคันนั้นถ้าไม่เมาก็ต้องง่วงนอนแน่ๆ


ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถามต่อไปว่าขับรถแบบไหน รถมีสภาพเป็นอย่างไร ถนนตรงหรือคดเคี้ยว ฝนตก หมอกลงหรือไม่ ซึ่งคงสังเกตได้ว่าคนเราพยายามหาคำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเราเสมอ เราพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อที่ว่าเราจะได้หาทางออกตระเตรียมไว้ก่อน คุณสมบัตินี้ของเราทำให้มนุษย์สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ยิ่งเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นมากเท่าใด ผู้คนก็คิดว่ามีโอกาสรอดพ้นจากการคุกคามที่มาจากสิ่งนั้นมากขึ้นเท่านั้น หรืออีกทางหนึ่ง ก็ทำให้มีโอกาสกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้ดีกว่า


อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ได้ไม่ได้หมายความว่าจะถูกต้องเสมอไป ได้คำตอบเร็วก็จริงแต่กลายเป็นคำตอบที่ไม่จริงไปเสียอีก ยิ่งกว่านั้น ต้องยอมรับอีกด้วยว่าผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ใช่นักหาคำตอบที่ดี มีน้อยคนที่จะเป็นนักคิดที่คิดเป็นระบบ คิดอย่างมีขั้นตอนชัดเจนจนนำไปสู่คำตอบที่เป็นจริงได้ ส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนจะสรุปคำตอบจากสิ่งที่เข้าใจง่ายที่สุดไว้ก่อน อยากได้คำตอบเร็วๆ เลยหาคำตอบจากตัวประกอบที่เข้าใจได้ง่ายๆ ไว้ก่อน อคตินี้เองทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งในระหว่างผู้คนที่ต้องทำงานด้วยกัน หรือแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันอยู่เป็นประจำ


ถ้าย้อนกลับไปคิดเรื่องรถขับส่ายไปมาตอนกลางคืนกันอีกครั้ง จะเห็นได้ว่าผู้คนพุ่งความสนใจแทบทั้งหมดไปที่ตัวคน เพราะเข้าใจเรื่องคนได้ง่ายกว่าตัวประกอบอื่นๆ ในเรื่องนี้ เราเข้าใจได้ง่ายๆ ว่าถ้าคนง่วงหรือเมาแล้วรถจะวิ่งส่ายไปมาได้อย่างไร แต่ถ้าต้องนึกให้ซับซ้อนไปอีกขั้นหนึ่งว่าตัวประกอบในเรื่องนี้มีอะไรบ้าง หลายคนก็ส่ายหน้าแล้วบอกว่ายุ่งยากไปทำไม ในเมื่อเห็นอยู่ชัดๆ แล้วว่าคนขับเป็นตัวการแน่ๆ คนขับกลายเป็นแพะในทันที หากความจริงกลายเป็นว่ารถเสียหรือเส้นทางคดเคี้ยว ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้ตัวเรากลายเป็นเหยื่อของอคตินี้ ต้องมองให้ครบถ้วนทั้งระบบว่ามีตัวประกอบอะไรบ้าง ก่อนจะวินิจฉัยว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ การรีบร้อนสรุปคำตอบมากเกินไป จะทำให้เราละเลยตัวประกอบอื่นๆ ที่อาจเป็นต้นเหตุที่แท้จริงในเรื่องนั้น เหตุแท้จริงยังไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาเดิมๆ ก็เกิดซ้ำซากขึ้นได้อีก ถ้านึกดูดีๆ จะทราบได้ว่าตัวประกอบที่เกี่ยวข้องกับการขับรถส่ายไปมานั้น มีตัวประกอบที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยสามอย่าง คือ คนขับรถ ตัวรถ และสภาพแวดล้อม ซึ่งรวมทั้งสภาพถนนกับสภาพอากาศ ถ้าเราไม่มีอคติแบบนี้ ก็ต้องยอมทนยากลำบากวิเคราะห์ตัวประกอบให้ครบทุกตัว เพื่อหาคำตอบที่มีโอกาสเป็นจริงได้มากที่สุด ถ้าพบปัญหาใดเกิดขึ้นแล้วหันมาโทษคนเอาไว้ก่อนว่าเป็นต้นเหตุของปัญหานั้น แบบนี้ต้องเรียกว่าอคติเต็มขั้น ระบบถูกแต่เธอผิดทุกกรณีไป


ทั้งนี้ ต้องสังเกตให้ดีด้วยว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกิดกับคนอื่นแล้วมักสรุปความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นว่าตัวคนเป็นต้นเหตุไว้ก่อน เห็นคนอื่นมาสายก็คิดไปว่าคนนั้นตื่นสายโดยไม่ได้ดูว่าวันนั้นการจราจรในบริเวณนั้นหนาแน่นกว่าปกติ คิดให้คนเป็นต้นเหตุนั้นง่ายกว่าคิดเรื่องสภาพจราจร หรือคิดเรื่องสภาพแวดล้อมรอบตัวในขณะนั้นว่าเป็นต้นเหตุให้มาสายได้อย่างไร ดังนั้น เมื่อใดก็ตาม ที่ต้องวินิจฉัยเรื่องใด ให้เตือนตัวเองเสมอว่าคนเรานั้นมีอคติในทางที่จะหาคำตอบที่เข้าใจง่ายๆ ไว้ก่อนเสมอ เรามักรีบร้อนเร่งสรุปจากนิสัยของคนที่เกี่ยวข้องบ้าง จากประวัติ จากการศึกษาของคนคนนั้นบ้าง ซึ่งมักจะนำไปสู่คำตอบที่ผิดได้ง่ายๆ คำตอบที่ไม่เป็นจริงที่คิดขึ้นมาเองนี่แหละ ที่ทำให้คนทะเลาะกันชนิดเอาเป็นเอาตายกันมามากแล้ว จะแก้อคตินี้อย่างง่ายได้โดยรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วลองถามตัวเองว่าถ้าตัวประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรามีอาการเหมือนที่เกิดขึ้นกับคนอื่นแล้วเราจะทำอย่างไร คำตอบที่ได้อาจจะเป็นคำตอบเดียวกันกับที่คนที่เราตำหนินั้นได้มาก่อนแล้วก็ได้ ถ้ารู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้ว เราอาจพบคำตอบที่แท้จริง และทำให้เราสามารถแก้ปัญหานั้นอย่างตรงประเด็น ปัญหาจะได้หมดไปจริงๆ ไม่ใช่คงอยู่ต่อไปโดยเราไม่รู้ตัว ถ้าต้นเหตุของการขับรถส่ายไปมา คือ ถนนคดเคี้ยว ถ้าเราได้คำตอบจริงๆ แล้ว เราก็หาทางปรับปรุงถนนให้ตรงมากขึ้น ต่อไปรถก็ไม่ต้องขับส่ายไปมาเพราะถนนนั้นอีกแล้ว ในทางตรงข้าม ไม่ว่าจะจับคนขับไปปรับสักกี่คน รถที่วิ่งบนถนนที่คดเคี้ยวนั้น ก็ยังวิ่งส่ายไปมาเหมือนเดิมอยู่ดี


ถ้ากลายเป็นตัวเราเป็นคนขับรถที่ส่ายไปส่ายมานั้น เราจะโทษว่าตัวเราเป็นต้นเหตุเป็นอันดับสุดท้าย ไม่ว่าเราจะเมา เราจะง่วงนอนแค่ไหนก็ตาม ถนนแย่ รถแย่ไว้ก่อน ระบบผิดแต่ฉันถูกเสมอ ผู้คนมีแนวโน้มที่จะโยนความผิดพลาดให้ระบบมากกว่าที่จะพิจารณาว่าตนเองบกพร่องอย่างไร ความจริงทั้งสองด้านที่กล่าวมานี้ ได้รับการเปิดเผยจากนักปราชญ์มานานหลายสิบปีมาแล้ว นักปราชญ์เรียกอคตินี้ว่า เป็นอคติที่เป็นพื้นฐาน หมายถึง เกิดขึ้นเป็นธรรมดาและเกิดขึ้นได้กับทุกคน สิ่งที่สนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ อคติที่กล่าวมาแล้ว คือ มุ่งเน้นตัวคนมากกว่าระบบถ้ามองคนอื่น แต่ถ้ามองตัวเองจะมุ่งเน้นไปที่ระบบมากกว่าตัวเอง จะเกิดขึ้นกับผู้บริหารมากกว่าพนักงาน แต่พนักงานจะได้รับผลเสียจากอาการนี้มากกว่าผู้บริหาร ไม่ว่าระบบการทำงานที่ผู้บริหารกำหนดขึ้นไว้จะย่ำแย่เพียงใด เวลาที่เกิดความผิดพลาดขึ้น ผู้บริหารจะโยนให้เป็นความบกพร่องของพนักงานทั้งหมด ซึ่งความผิดพลาดก็จะคงอยู่ต่อไป พร้อมๆ กับที่พนักงานจะมีขวัญและกำลังใจแย่ลงไปเรื่อยๆ พนักงานตั้งใจทำงานสุดฝีมือตามขั้นตอนการทำงานแย่ๆ ที่ผู้บริหารกำหนดไว้ ทำดีแค่ไหน ผลลัพธ์ก็แย่อยู่ดี ตั้งใจทำงานตามขั้นตอนที่แย่ไม่มีทางให้ผลงานที่ดีออกมาได้ ผู้บริหารจะมองไม่เห็นความย่ำแย่ในสิ่งที่ตนเองได้กำหนดไว้ มองเห็นแต่ความบกพร่องของพนักงาน ซึ่งจะตามมาด้วยขั้นตอนการลงโทษ หรือการกดดันในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น คนที่ตั้งใจเต็มที่แต่ได้รับการตำหนิและการกดดันต่างๆ สารพัดกลับคืนมาแทน ย่อมทำให้หมดแรงกายแรงใจได้ง่ายๆ ดังนั้น ผู้บริหารต้องตระหนักรู้ในอคตินี้ไว้ให้ดีเป็นพิเศษมากกว่าพนักงานทั่วไป


นักปราชญ์บอกไว้ด้วยว่าที่ใดที่ผู้คนตระหนักรู้ในอคตินี้ ที่นั่นจะมีความเจริญก้าวหน้า ที่ใดที่ผู้คนลุ่มหลงในอคตินี้ ที่นั่นมีแต่การขัดแย้งจากการกล่าวโทษติเตียนกันเอง จนไม่รู้จบสิ้น

ดร.บวร ปภัสราทร
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/borvorn/20100205/99143/ฉันถูกแต่ระบบผิด-ระบบถูกแต่เธอผิด.html




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 18:42:18 น.
Counter : 505 Pageviews.  

In Search of Super Stock

Value Investor ในเมืองไทยส่วนใหญ่ นับถือและยกย่อง วอร์เรน บัฟเฟตต์ แต่น้อยคนที่จะทำตามวิธีการลงทุนของเขา

ที่เน้นการลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดในราคาที่ยุติธรรมหรือที่เรียกกันว่า Super Stock เหตุผลคงเป็นว่า ข้อแรก Value Investor ในตลาดหุ้นไทย ค่อนข้างจะเน้นในเรื่องของ "ราคา" ซึ่งเป็นพื้นฐานดั้งเดิมของการลงทุนแบบ Value Investment ที่เสนอโดย เบน เกรแฮม

ในขณะที่ "คุณภาพ" ของกิจการนั้น นักลงทุนคิดว่าเป็น "ตัวประกอบ" พูดง่ายๆ ถ้าราคาหุ้น "ไม่ผ่าน" ก็ไม่ต้องดูว่าคุณภาพเป็นอย่างไร

ข้อสอง เหตุที่นักลงทุนไม่ชอบลงทุนในหุ้น Super Stock เพราะไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยม ถ้าจะว่าไป หลายคนก็ยังสงสัยว่าในเมืองไทยนั้นมีหุ้นที่เรียกได้ว่าเป็น Super Stock แบบในสหรัฐอเมริกาจริงๆ หรือเปล่า

สุดท้ายก็คือ Value Investor อาจจะคิดว่า การหาหุ้นถูกซื้อแล้วขายทำกำไร เมื่อราคาหุ้นขึ้นแล้ว ก็เปลี่ยนไปหาหุ้นถูกตัวใหม่ น่าจะสร้างผลตอบแทนดีกว่าการซื้อหุ้น Super Stock แล้วถือยาวแบบ บัฟเฟตต์

ผมคงไม่ถกเถียงว่าการลงแนวไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากัน แต่จะพยายามตอบคำถามว่าจะมองหาหุ้นที่เรียกว่า Super Stock อย่างไร และต่อไปนี้คือคุณสมบัติที่ Super Stock มักจะเป็นหรือมีอยู่

ข้อแรก Super Stock จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Durable Competitive Advantage (DCA) หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และความได้เปรียบนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก โดยแหล่งของความได้เปรียบใหญ่ๆ อยู่ที่เรื่องของชื่อยี่ห้อที่โดดเด่น และเรื่องของต้นทุนสินค้าที่ต่ำกว่า เนื่องจากกิจการมีขนาดที่เหมาะสม หรือมีขนาดที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมาก โดยที่คู่แข่งไม่สามารถ หรือไม่ประสงค์ที่จะเพิ่มขนาดของกิจการเพื่อให้มีต้นทุนเท่าเทียมได้

เรื่องของ DCA นี้ บ่อยครั้ง นักลงทุนอาจจะวิเคราะห์ผิด เอา "ความได้เปรียบชั่วคราว" มาเป็นความได้เปรียบที่ "ยั่งยืน"

ข้อสอง หุ้นสุดยอด ต้องอยู่ในช่วงของ Virtuous Circle หรือ "วงจรแห่งความรุ่งเรือง" นั่นก็คือ ในกระบวนการเติบโตของบริษัท ทำให้บริษัทได้เปรียบคู่แข่งมากขึ้นไปอีก เช่น ต้นทุนลดลงไปอีก ในเวลาเดียวกัน สินค้าและบริการกลับดีขึ้น และช่วยเร่งการเติบโตของยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ

ข้อสาม Super Stock ต้องมีศักยภาพสูงมาก นั่นคือ ตลาดของสินค้า หรือบริการจะต้องใหญ่มาก และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ "ยึดครอง" ตลาดนั้นได้ พูดง่ายๆ เราสามารถมองคร่าวๆ ได้ว่าในอนาคตระยะยาว บริษัทน่าจะสามารถมียอดขายได้ค่อนข้างสูงกว่าปัจจุบันมาก และยอดขายนั้น จะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ข้อสี่ การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมา น่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า

ข้อห้า บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานดีมาก กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงในหลักเกิน 15-20% ต่อปี โดยไม่ได้ก่อหนี้กับสถาบันการเงินมากนัก หนี้ที่มีอยู่สามารถชดใช้ได้ด้วยกำไรจากการดำเนินงานไม่เกิน 5 ปี

ข้อหก บริษัทมี Cash From Operation หรือเงินสดที่ได้จากการทำธุรกิจดีมาก และเมื่อบริษัทจะขยายงานก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนัก เทียบกับยอดขาย หรือกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนใหม่นั้น

ข้อเจ็ด ผู้บริหารมักจะ "เก่ง" และได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก พนักงานของบริษัทมักจะ "ดี" และมี "ความสุข" เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นทั่วๆ ไป

ข้อแปด หุ้น Super Stock มักจะไม่เคยมีราคา "ถูก" ยกเว้นในบางช่วงบางตอนที่บริษัทอาจประสบปัญหาบางอย่างที่ร้ายแรง หรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ ค่า PE ของ Super Stock ในระดับ 20 เท่า เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับศักยภาพของกิจการในอนาคต และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นสุดยอด เพราะเขาเคยชินกับการลงทุนในหุ้นที่มี PE ไม่เกิน 10 เท่า

ทั้งหมดก็เป็นคุณสมบัติหลักๆ ของ Super Stock แน่นอนใน Super Stock เองก็มี "ดีกรี" ที่ไม่เท่ากัน บางบริษัทอาจจะดีกว่าอีกบริษัทหนึ่ง และที่ชัดเจนก็คือ บริษัทในประเทศไทย ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับ Super Stock ในอเมริกาซึ่งมีศักยภาพคลุมไปทั้งโลก

มูลค่าของกิจการ หรือ Market CAP. ของบริษัทในอเมริกาก็ใหญ่จนเทียบไม่ได้กับบริษัทไทย ดังนั้น เวลาพูดถึง Super Stock ในตลาดหุ้นไทยเราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นบริษัทระดับไหน

Value Investor หลายคนอาจจะไม่สนใจ ที่จะลงทุนในหุ้น Super Stock แต่การเรียนรู้เรื่องของ "คุณสมบัติ" ของบริษัท ก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยในการที่จะช่วยเป็น "ตัวประกอบ" ในการเลือกหุ้นลงทุน นั่นก็คือ หลังจากพบหุ้นที่ "ราคาถูก" เข้าเกณฑ์ที่จะซื้อแล้ว ก็ควรดูถึงคุณสมบัติว่า บริษัทน่าจะอยู่ในระดับไหน

ถ้าทำได้แบบนี้ ราคาก็จะไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะซื้อ สิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอาจจะเป็นว่า ไม่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาถูกที่สุด แต่เป็นราคาถูกมากเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของบริษัท

โดย : โลกในมุมมองของ Value Investor
//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20100202/98332/In-Search-of-Super-Stock.html




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2553 16:37:28 น.
Counter : 487 Pageviews.  

กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ อีกทางเลือกในการลงทุน

การสร้างทางเลือกการลงทุนรูปแบบใหม่ๆ ทำให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น และสามารถลงทุนในทางเลือกที่มีความเหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคลได้มากขึ้นด้วย

ซึ่งการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทางเลือกในการลงทุนอีกทางเลือกหนึ่งที่มีความน่าสนใจ สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ โดยไม่ต้องไปลงทุนทำธุรกิจเอง ซึ่งนอกจากจะต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาลแล้ว ยังต้องปวดหัวกับการบริหารจัดการที่มีความซับซ้อนมากอีกด้วย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทุนปิด มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อระดมเงินลงทุนจากประชาชนทั่วไป และนำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีทั้งแบบที่ซื้อเป็นกรรมสิทธิ์ขาดและแบบการซื้อสิทธิการเช่าระยะยาว โดยในปัจจุบันกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ได้หลากหลายประเภทมากขึ้น เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โรงงานให้เช่าในนิคมอุตสาหกรรม เขตอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรม โกดังสินค้า ศูนย์ประชุมหรือศูนย์นิทรรศการ ศูนย์จำหน่ายสินค้าขนาดใหญ่ ที่พักอาศัย เช่น เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ อาคารห้องชุดพักอาศัย อาคารหอพัก และบ้านพักอาศัย เป็นต้น ซึ่งได้ครอบคลุมเกือบทุกประเภทของอสังหาริมทรัพย์

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ตามรูปแบบของการเป็นเจ้าของ ได้แก่

1.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold คือ กองทุนรวมที่มีการซื้อกรรมสิทธิ์ขาดในอสังหาริมทรัพย์ โดยกองทุนรวมจะเข้าเป็น เจ้าของกรรมสิทธ์ในตัวอสังหาริมทรัพย์โดยสมบูรณ์ ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ ทำให้กองทุนมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการเพิ่มค่าของราคาอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ เมื่อมีการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์นั้นออกจากกองทุน ทั้งนี้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้จะมีคำนำหน้าชื่อกองทุนว่า “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์”

2.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบ Leasehold คือ กองทุนรวมที่ได้รับสิทธิในการใช้และหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ตลอดช่วงอายุสัญญาเช่า ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นการซื้อสิทธิเช่าระยะยาว เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาเช่า กองทุนจะต้องคืนอสังหาริมทรัพย์นั้นกลับคืนไปให้เจ้าของ และไม่สามารถหาประโยชน์บนอสังหาริมทรัพย์นั้นได้อีกต่อไป ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวจะใช้คำนำหน้าชื่อกองทุนว่า “กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์”

ส่วนของผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ เงินปันผล (Dividend) และกำไรจากส่วน เกินทุน (Capital Gain) ซึ่งเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทน จากการลงทุนที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอในระยะยาว โดยหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินปันผลของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ทางสำนักงานก.ล.ต. กำหนดไว้ว่า “ให้บริษัทจัดการกองทุนรวมจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิประจำปี เมื่อกองทุนรวมมีผลกำไรสุทธิ และหากกองทุนรวมมีกำไรสะสมบริษัทอาจจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนจากกำไรสะสมก็ได้”

นอกจากนี้โดยส่วนมากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบ Leasehold มักมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่ากองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold เนื่องจากระยะเวลาของสัญญา เช่าที่เหลืออยู่มีผลต่อรายได้ของกองทุนรวม และส่งผลต่อราคา หน่วยลงทุนของกองทุน โดยมูลค่าของสิทธิการเช่านั้นจะลดลง เรื่อยๆ ตามระยะเวลาการเช่าที่เหลืออยู่ ณ ขณะนั้น ซึ่งเมื่อ ครบกำหนดระยะเวลาการเช่าแล้ว มูลค่าของหน่วยลงทุนจะกลายเป็นศูนย์ ในส่วนของผลตอบแทนจากกำไรจากส่วนเกินทุน (Capital Gain) ผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อขายเปลี่ยนมือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้และมีสภาพคล่องสูงอีกด้วย เนื่องจากผู้ลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ใน ตลาดหลักทรัพย์ได้

ปัจจุบันข้อมูล ณ วันที่ 25 ม.ค. 2553 ตลาดหลักทรัพย์มีจำนวนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนซื้อขายบนกระดานหลัก ทั้งหมด 26 หลักทรัพย์ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) รวมประมาณ 6.7 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 1.18% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมดของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือได้ว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในบ้านเรามีโอกาสในการเติบโตในอนาคตได้อีกมาก เมื่อเทียบกับขนาดกองทุน REITs ของต่างประเทศ ทำให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นที่น่าสนใจลงทุนสำหรับผู้ลงทุนระยะยาว ซึ่งมีความต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่สม่ำเสมอจากเงินปันผล นอกจากนี้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ยังมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ประกอบธุรกิจในการระดมเงินลงทุน โดยทำให้ผู้ประกอบธุรกิจไม่ต้องกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์

รายงานโดย :สมาคมบริษัทจัดการลงทุน




 

Create Date : 27 มกราคม 2553    
Last Update : 27 มกราคม 2553 14:16:42 น.
Counter : 614 Pageviews.  

รู้ทัน...ปั่นหุ้น

ในช่วงที่ผ่านมา หลายๆ ท่านคงได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับการ “ปั่นหุ้น” หรือ “ทุบหุ้น” กันมาพอสมควร ซึ่งข่าวคราวเกี่ยวกับการกระทำในลักษณะนี้

อาจบั่นทอนกำลังใจของ ผู้ลงทุนทั้งมือใหม่ มือเก่าในการลงทุนในตลาดหุ้น วันนี้ดิฉันจึงขอหยิบยกเรื่อง “ปั่นหุ้น” มาพูดคุยกัน พร้อมทั้งคำแนะนำที่อาจใช้เป็นแนวทางในการระมัดระวังตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของพฤติกรรมปั่นหุ้นและสามารถปกป้องประโยชน์ของตนเองได้ค่ะ

ปั่นหุ้น...คืออะไร?

ในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นหรือลดต่ำลงอย่างมากและหวือหวา หลายๆ ท่านมักเกิดความรู้สึกว่าน่าจะมีการปั่นหุ้นหรือทุบหุ้นเกิดขึ้นแล้ว และทางการควรจะต้องเข้ามาดำเนินการสกัดกั้นพฤติกรรมดังกล่าว หรือหาตัว ผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าการปรับตัวขึ้นลงของราคาหุ้นมากๆ จะเป็นการปั่นเสมอไป อาจเป็นเพียงการซื้อขายหุ้นโดยปกติและราคาก็เป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากราคาหุ้นมักจะมีความอ่อนไหวและผันผวนขึ้นลงตามปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

ตัวอย่างกรณีที่ไม่ใช่ปั่นหุ้น เช่น ผู้ลงทุนวิเคราะห์แล้วเห็นว่าหุ้นตัวนั้นน่าสนใจ มีปัจจัยพื้นฐานดี แถมยังมีแนวโน้มจะมีผลประกอบการดีในอนาคตด้วย เนื่องจากมีการขยายกิจการหรือไปร่วมทุนกับบริษัทอื่น ประกอบกับในขณะนั้นมีข่าวดีเข้ามารองรับ เช่น รัฐบาลประกาศมาตรการสนับสนุนธุรกิจของบริษัทนั้นๆ ก็อาจมีผู้ลงทุนเป็นจำนวนมาก ที่เล็งเห็นแนวโน้มที่เป็นบวกของหุ้นนั้นและเห็นว่าราคาตลาดของหุ้นในปัจจุบันยังเป็นราคาที่เหมาะสม จึงเข้ามาทำการซื้อหุ้นนั้น ส่งผลให้ราคาและปริมาณการซื้อขายพุ่งสูงขึ้นไป ซึ่งปัจจัย (พื้นฐานบริษัทและข่าวดี) ที่เข้ามากระทบราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่อธิบายได้ จึงเป็นไปตามสภาพปกติของตลาดที่ขึ้นอยู่กับกลไกตลาดในเรื่องอุปสงค์อุปทาน ส่วนการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของราคาหุ้นนั้นจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมในขณะนั้น

ผิดกับการปั่นหุ้นที่เป็นความตั้งใจที่จะทำให้สภาพการซื้อขายหุ้นทั้งราคาและปริมาณผิดไปจากสภาพปกติ ไม่เป็นไปตามกลไกของตลาด ด้วยวิธีเช่น ทำให้ราคาหุ้นเกิดความ ผิดปกติโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรมารองรับ เช่น ซื้อขายเพื่อผลักดันราคาหุ้นให้ดูเหมือนว่ามีความต้องการซื้อมากขึ้น (เรียกว่า “ปั่น”) บางกรณีก็ซื้อขายเพื่อทำให้ราคาตลาดไม่เปลี่ยนแปลง/อยู่กับที่ (เรียกว่า “พยุง”) หรือพยายามกดราคาหุ้นให้ต่ำลงไปเพื่อที่จะเข้าไปช้อนซื้อในภายหลัง (เรียกว่า “ทุบ”) หรืออีกวิธีเป็นการทำให้ปริมาณหุ้นเกิดความผิดปกติ เช่น เข้าไปซื้อๆ ขายๆ เพื่อให้ดูเหมือนว่าหุ้นตัวนั้นมีคนต้องการซื้อมาก ทำให้มีคนเข้าไปซื้อตาม (เพราะเห็นว่ามีความต้องการซื้อขายหุ้นนั้นมาก) นอกจากนี้ ยังมีวิธีการปั่นหุ้นด้วยการทำให้ข้อมูลของบริษัทผิดไปจากข้อเท็จจริง เช่น การปล่อยข่าวดีๆ ของบริษัทออกมาโดยที่ไม่ได้เป็นไปตามนั้นจริงๆ เช่น มีบริษัทต่างประเทศจะเข้ามาเทกโอเวอร์กิจการ หรือการตกแต่งให้งบการเงินของบริษัทดูดีเกินจริง เป็นต้น

ปั่นหุ้นต่างจากเก็งกำไรอย่างไร?

การที่จะบอกว่าพฤติกรรมใดเป็นการ ปั่นหุ้นได้นั้น จะต้องมีองค์ประกอบทางกฎหมายที่ชัดเจน คือต้องมีทั้งเจตนาที่จะเข้าไปปั่นหุ้นและพฤติกรรมที่ทำอย่างต่อเนื่อง และต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนที่บอกได้ว่าใครหรือกลุ่มใดเป็นคนทำค่ะ ซึ่งในกรณีที่ผู้ลงทุนต่างคนต่างเข้าไปซื้อหุ้นตามกลไกตลาด เช่น ซื้อหุ้นในราคาที่ตนเองคิดว่าถูกแล้วไปขายตอนที่ราคาสูงขึ้นเพื่อทำกำไร ก็จะถือเป็นการซื้อขายหุ้นเพื่อการลงทุนตามปกติที่ต้องมีการเก็งว่าจะได้กำไร แต่หากเป็นการปั่นหุ้น กลุ่มหรือพวกพ้องที่ต้องการปั่นหุ้นจะมีเจตนา ปั่นหุ้น เพื่อทำให้ตนเองได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นนั้น โดยมักจะมีพฤติกรรมในรูปแบบต่างๆ เช่น ส่งคำสั่งซื้อขายภายในกลุ่มเดียวกันเอง แต่ไม่มีการซื้อขายจริงเป็นแค่การโยนคำสั่งซื้อขายหุ้นระหว่างกันไปมา หรือจับคู่ซื้อขายกัน (เพื่อ ลดต้นทุนเพราะมีเม็ดเงินน้อย) ในราคาที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นการอำพราง โดยบางครั้งอาจแพร่ข่าวหนุนไปด้วยว่าหุ้นดังกล่าวกำลังจะมีข่าวดี เมื่อผู้ลงทุนทั่วไปเห็นว่าหุ้นตัวนี้มีคนซื้อมาก และคาดหวังว่าราคาจะสูงขึ้นต่อไปอีก ก็มักจะแห่ตามกันไปซื้อ จนเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง พวกที่ต้องการปั่นหุ้นก็จะขายทำกำไรออกมา ในที่สุดแล้ว ราคาหุ้นก็จะร่วงลงมา เนื่องจากราคาหุ้นที่ขึ้นไปนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ซึ่งจะส่งผลให้ ผู้ลงทุนที่รู้ไม่เท่าทันหรือตามเกมไม่ทัน อยู่ในสภาพที่เรียกว่า “ติดยอดดอย” (ติดหุ้นในราคาสูงเพราะขายออกไปไม่ทัน)

จะป้องกันตัวเองอย่างไร? ไม่ให้เป็นเหยื่อ

lตั้งข้อสังเกตไว้ก่อน หากเมื่อใดก็ตามเห็นราคาหุ้นเคลื่อนไหวผิดปกติ โดยไม่มีปัจจัยใดๆ มารองรับ เช่น ราคาหุ้นปรับตัวสูง ทั้งๆ ที่บริษัทยังไม่ได้มีแผนงานมารองรับที่ชัดเจน หรือไม่มีปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ สนับสนุนเลย ก็ให้จับตาดูและพึงระวังไว้เพราะอาจจะเกิดการปั่นหุ้นได้ค่ะ หรือหากมีคนมาชวนซื้อหุ้นแล้วบอกว่ามีขาใหญ่กำลังเล่นอยู่ ราคาจะขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้ โดยสภาพก็จะเป็นการปล่อยข่าวเพื่อจะปั่นหุ้นอยู่แล้ว ก็ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าอาจจะมีความผิดปกติแล้วนะคะ (สำหรับ ผู้ลงทุนที่รู้ว่าเป็นหุ้นปั่น แต่ก็ยังอยากซื้อตาม โดยหวังว่าจะซื้อได้ก่อนออกได้ทัน ก็อย่าลืมว่าโอกาสเจ็บตัวก็มีสูงนะคะ ฉะนั้นอย่าเสี่ยงดีกว่าค่ะ)

lระมัดระวังข่าวลือที่ยังไม่มีความชัดเจน เนื่องจากในการปั่นหุ้น คนปั่นมัก จะปล่อยข่าวลือต่างๆ ออกมาด้วย เช่น ข่าวลือเรื่องราคาเป้าหมายว่าราคาหุ้นจะ ขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้ หรือข่าววงในว่ามีบริษัทต่างชาติมาสนใจควบรวมกิจการเพื่อทำให้ราคาหุ้นขึ้น ฯลฯ เพื่อให้ผู้ลงทุนทั่วไป หลงเชื่อรีบกระโจนเข้ามาซื้อตาม ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรตรวจสอบข้อมูลก่อน อย่าเพิ่งผลีผลามเข้าไปซื้อขาย โดยหากเป็นข่าวลือเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะเร่งให้บริษัทหรือผู้ที่เกี่ยวข้องรีบออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงโดยทันที ผู้ลงทุนก็สามารถเช็กข่าวในเบื้องต้น ได้เองจากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ (www.set.or.th) ซึ่งจะมีระบบ SET Portal ที่จะให้บริษัทจดทะเบียนใช้เป็นช่องทางในการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทให้แก่ผู้ลงทุนอยู่แล้วค่ะ

การปั่นหุ้นถือเป็นการเอาเปรียบผู้ลงทุนและเป็นความผิดตามกฎหมายหลักทรัพย์ด้วยนะคะ คราวหน้าจะมาเล่าว่าหน่วยงานกำกับดูแลนั้นมีแนวทางในการดำเนินการกับการ ปั่นหุ้นอย่างไรกันบ้างค่ะ

รายงานโดย :จารุพรรณ อินทรรุ่ง
//www.posttoday.com/stockmarket.php?id=80743




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2552    
Last Update : 15 ธันวาคม 2552 14:43:25 น.
Counter : 539 Pageviews.  

8 บทเรียนพื้นฐานด้านการเงิน (ตอนที่ 1)

ต้องยอมรับว่าวิกฤตเศรษฐกิจคราวนี้ทำให้หลายๆ คน หันมาใส่ใจเรื่องการบริหารการเงินของตัวเองมากขึ้น นอกจากจะไม่ให้มันลดน้อยลงแล้ว

หลายๆ คนยังพยายามศึกษาหาแนวทางให้มันงอกเงยขึ้นอีกด้วย และถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับสถานะทางการเงินของคุณ หากไม่เพียงแต่คิด แต่เริ่มลงมือทำตามบทเรียนง่ายๆ ขั้นพื้นฐานต่อไปนี้

บทที่ 1 รู้ว่าเงินของคุณไปไหน

ทำรายการใช้จ่าย จะเป็นตารางที่คุณออกแบบเอง หรือดาวน์โหลดจากเว็บไซต์สถาบันการเงินต่างๆ หรืออาจจะเป็นสมุดจดบัญชีรายรับรายจ่ายที่หลายธนาคารทำแจก คุณเพียงแต่กรอกค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน แบ่งที่จ่ายเป็นเงินสดและที่จ่ายเป็นบัตรเครดิต ซึ่งช่วยให้รู้ว่า วันหนึ่งๆ ใช้เงินไปกับอะไรบ้าง

จากนั้นจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จำเป็นต้องจ่าย ได้แก่ ค่าสาธารณูปโภคต่าง ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าประกันสุขภาพ ค่าผ่อนบ้าน ค่าบัตรเครดิต หรือหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง จะช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยง เช่น หากเกิดปัญหาด้านสุขภาพแบบฉับพลัน และจำเป็นต้องใช้เงินก่อนใหญ่ก็จะได้มั่นใจว่ามีเงินค่ารักษาพยาบาล

ส่วนใครที่มีบ้านเป็นของตัวเอง (อยู่กับคุณพ่อ คุณแม่) ก็ไม่ต้องกังวลกับหนี้ที่จะกลายเป็นหนี้ก้อนโต เพราะลำพังแค่จ่ายดอกเบี้ยก็อ่วมแล้ว ทั้งๆ ที่เงินต้นแทบไม่ลดลงไปเลย

นอกจากนี้ ก็เริ่มเก็บสำรองเงินเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน โดยตั้งเป้าหมายให้มีเงินในบัญชีเพียงพอที่จะใช้ได้อีก 2-3 เดือนข้างหน้า เริ่มจากจำนวนน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เพราะเงินจำนวนนี้จะเป็นการสร้างความอุ่นใจหากวันใด วันหนึ่งมีเรื่องไม่คาดคิด ก็ยังมีเงินสำรองที่จะช่วยในสถานการณ์ฉุกเฉินได้

บทเรียนที่ 2 หาที่เก็บออมที่คุณมั่นใจ

หากเป็นสมัยโบราณ การเก็บเงินใส่ตุ่มแล้วขุดหลุมฝังดูจะเป็นช่องทางที่ปลอดภัยที่สุด แต่โลกเปลี่ยนไปแล้ว สมัยนี้หากคุณคิดจะเก็บเงินก็ต้องไปธนาคาร แต่จะดีกว่าหรือไม่หากได้ที่เก็บเงินที่ทำให้เงินต้นไม่หาย แถมมีดอกผลเพิ่มเติม

ลองปรึกษาทางการเงินที่คุณไว้วางใจช่วยแนะนำว่าทำอย่างไรที่จะให้เงินต้นไม่หายและเพิ่มพูนขึ้น เพราะปัจจุบันนวัตกรรมของโลกการเงินมีมากมาย หากคุณไม่มีเวลาเรียนรู้มันทั้งหมดก็ควรให้มืออาชีพเข้ามาเป็นตัวช่วย อย่ากลัวว่าพวกเขาจะหลอกเงินคุณไป เพราะบุคคลเหล่านี้ต้องสอบและมีใบอนุญาต ต้องอยู่ในสถาบันการเงินที่รับรองตัวตนของเขา คุณเพียงแต่ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาเป็นที่ปรึกษามืออาชีพจริงๆ ก็พอ และรับฟังสิ่งที่พวกเขานำเสนอ หากรับได้ทั้งความเสี่ยงและผลตอบแทน พวกเขาก็จะมีหน้าที่ไปทำให้เงินของคุณงอกเงยตามที่คุณและพวกเขาได้ตกลงกัน

บทเรียนที่ 3 บัตรเครดิต ไม่ใช่เงินสด

จ่ายเงินด้วยบัตรพลาสติก คือ การสร้างหนี้ดีๆ นี่เอง และที่สำคัญหากไม่สามารถนำเงินไปชำระได้เต็มจำนวน เท่ากับคุณกำลังสร้างหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยแพง ดังนั้นใช้บัตรเครดิตชำระค่าใช้จ่ายเท่าที่มีเงินชำระเต็มจำนวน และควรชำระตามกำหนดเวลาที่กำหนด บัตรเครดิตก็ทำธุรกิจ เจ้าของบัตรให้คุณติดไว้ก่อน แต่ถ้าคุณผิดเวลาที่กำหนด ก็เป็นสิทธิที่คุณเองก็รับรู้ไว้ตั้งแต่ตอนทำบัตรแล้วว่าจะต้องชำระอัตราดอกเบี้ยตามที่กำหนด ดังนั้นเพื่อความสบายใจ ใช้เท่าที่มี หนี้ก็จะไม่เกิด

บทเรียนที่ 4 วางแผนสำหรับชีวิตหลังเกษียณแต่เนิ่นๆ

หลายคนเริ่มทำงานและจะสนุกเพลิดเพลินกับการใช้เงินที่หามาได้ แต่ทุกคนต้องมีอายุมากขึ้นหรือต้องมีสักวันที่คุณอยากจะหยุดชีวิตการทำงานก่อนเวลาที่กำหนด ลองเริ่มสมการใช้เงินใหม่ นั่นคือ ได้มาเท่าไร ให้เริ่มเก็บออมก่อน ที่เหลือค่อยใช้จ่าย หากคุณเริ่มเร็วเท่าไรก็ยิ่งได้เปรียบ เพราะระยะเวลาการเก็บออมของคุณจะมียาวนานกว่า สำหรับวิธีการเก็บออมที่จะทำให้คุณมั่นใจ แนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านบทเรียนที่ 2

สัปดาห์ถัดไป จะมาเฉลยเคล็ดลับเกี่ยวกับพื้นฐานด้านการเงินในตอนจบ ที่จะทำให้คุณเงินเงินออมไว้ใช้ตลอดชีวิต

//www.posttoday.com/stockmarket.php?id=80553




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2552    
Last Update : 14 ธันวาคม 2552 13:07:57 น.
Counter : 578 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.