In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

ค่าเงินบาท

ผมเพิ่งกลับจากการ ส่งลูกไปเรียนที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เวลาประมาณเกือบสองสัปดาห์ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ใจกลางลอนดอนที่ผมเช่า ให้ลูกพักอาศัยนั้น

ผมพบประสบการณ์หลายอย่าง ที่อาจจะเป็นสัญญาณบอกว่า อังกฤษซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้วอันดับต้นๆ ของโลก น่าจะมีระดับการพัฒนาที่เสื่อมถอยลง เมื่อเทียบกับประเทศไทยที่กำลังพัฒนามากขึ้น

พูดง่ายๆ ความห่างระหว่างรายได้ หรือระดับการพัฒนาของอังกฤษกับไทยตามสถิติ น่าจะลดลงในอนาคต ว่าที่จริง ผมเองคิดว่า ตัวเลขสถิติความห่างชั้นในปัจจุบันเองนั้น ก็อาจจะไม่ใช่ "ของจริง" ตามพื้นฐาน แต่เป็นเรื่องของตัวเลขที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทกับค่าเงินปอนด์ที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ทำให้ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจของอังกฤษเหนือกว่าของไทยมากมายกว่าสิบเท่า

เริ่มตั้งแต่การตรวจคนเข้าเมือง ผมต้องใช้เวลาเข้าคิวรอก่อนที่จะผ่านการตรวจประมาณสองชั่วโมง คิวนั้นยาวมากเป็นร้อยๆ คนแต่พนักงานตรวจมีน้อย และไม่ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากนัก เปรียบเทียบกับการตรวจของสนามบินสุวรรณภูมิของเราแล้ว ผมคิดว่าของเราเหนือกว่ามาก การรอส่วนใหญ่ไม่น่าจะเกิน 15 นาที จริงอยู่ที่สนามบินลอนดอน อาจจะมีป้ายบอกขออภัยในความล่าช้า เนื่องจากประเด็นเรื่องการก่อการร้าย แต่ผมดูแล้วก็ไม่เห็นมีการตรวจสอบอะไรเป็นพิเศษที่จะทำให้เสียเวลาเพิ่ม ดังนั้น ข้อสรุปของผม ก็คือ ความประทับใจในเรื่องของประสิทธิภาพเสียไปตั้งแต่ "ก้าวแรก"

ห้องที่ผมเช่า ผมติดต่อไว้ตั้งแต่อยู่เมืองไทย ราคาค่าเช่านั้นค่อนข้างสูง ค่าเช่านั้นแพงพอๆ กับค่าเล่าเรียน สาเหตุอาจจะเป็นเพราะในลอนดอนไม่มีการอนุญาตสร้างตึกสูง ทำให้ราคาอพาร์ตเมนต์แพง ส่งผลให้ค่าเช่าแพงตามไปด้วย ห้องที่ผมอยู่นั้นมีขนาดเล็กเช่นเดียวกับห้องเช่าทั่วๆ ไป แต่ทุกอย่างออกแบบไว้อย่างมีประสิทธิภาพ เตียงสามารถพับเก็บเข้าผนังได้ ห้องน้ำใหม่และสะอาด ห้องครัวมีอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น โต๊ะสำหรับนั่งทำงานไม่มี นี่อาจจะเป็นวัฒนธรรมว่าเขาไม่ทำงานในห้องพัก

สิ่งที่ผมแปลกใจ ก็คือ เราต้องติดต่อขอใช้บริการกับบริษัทที่ให้บริการน้ำ ไฟฟ้า และแก๊สเอง ซึ่งมีหลายบริษัท นอกจากนั้น ผมเพิ่งทราบว่า ถ้าเราจะดูทีวี เราต้องขออนุญาต และใบอนุญาตนั้น เราต้องเสียเงินเดือนละประมาณห้าร้อยบาท ทั้งหมดนั้น สำหรับผมแล้ว มันเป็นความยุ่งยากโดยเฉพาะถ้าภาษาอังกฤษคุณไม่ดีพอในการติดต่อผ่านทาง โทรศัพท์ และทุกอย่างคุณต้องทำเอง

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า อังกฤษอาจจะค่อยๆ ตกต่ำลงในแง่ของการเป็นประเทศชั้นนำมากที่สุดของโลก ก็คือ การที่ผมขอติดอินเทอร์เน็ตที่ห้องพัก เพราะคำตอบที่ได้ ก็คือ ต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์กว่าจะใช้การได้ ผมไม่ทราบว่า อะไรทำให้การขอใช้อินเทอร์เน็ตนั้นยุ่งยากนัก แต่นี่คือเครื่องมือที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน ผมเองคิดว่า ถ้าประเทศพัฒนามากๆ แล้ว ห้องพักแทบทุกห้องน่าจะต้องมีอินเทอร์เน็ตติดอยู่เป็นพื้นฐานเหมือนกับน้ำ ไฟฟ้า หรือโทรศัพท์ แต่โชคดีที่ประเด็นนี้ สามารถแก้ไขได้โดยการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตไร้สาย แต่ต้องจ่ายแพงกว่ามาก

การเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องทำ ความสะดวกสบายนั้น ผมคิดว่าเทียบกับธนาคารของไทยไม่ได้ ผมต้องรอประมาณครึ่งชั่วโมง เหตุเพราะพนักงานให้บริการมีน้อย การเปิดบัญชีที่จะทำให้ผมสะดวกในการโอนเงิน หรือทำธุรกรรมต่างๆ นั้น ผมต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเดือนละไม่ต่ำกว่า 500 บาท เปิดเสร็จแล้วเรา ต้องรออีกหลายวันกว่าจะได้บัตรเอทีเอ็ม นอกจากนั้น เครื่องเอทีเอ็มของแบงก์เท่าที่เห็นตามสถานที่ต่างๆ น้อยกว่าของไทยเรามาก และนี่คือ แบงก์ชั้นนำในเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ผมมีโอกาสไปเที่ยวที่ตลาดขายของเก่าย่านน็อตติงแฮมในลอนดอน ซึ่งผู้คนมากมายไปชอปปิงในวันหยุด วันนั้น ลูกสาวผมถูกล้วงกระเป๋า เงินสูญไปไม่มากนัก แต่บัตรเครดิตที่หายทำให้ผมกังวล ผมรีบโทรติดต่อกลับมาที่เมืองไทยเพื่ออายัดบัตร ทุกอย่างทำได้อย่างรวดเร็ว พนักงานของแบงก์ถามว่า จะให้ส่งบัตรไปที่ลอนดอน หรือส่งไปที่บ้านในกรุงเทพฯ ผมเลือกอย่างหลังและได้รับบัตรเมื่อผมกลับมาที่เมืองไทยแล้ว ผมคิดว่าธุรกิจ บริการ และ ความสามารถในการแข่งขันของแบงก์ไทยเรานั้นไม่เบาทีเดียว และนี่อาจจะไปถึงธุรกิจอื่นๆ ด้วย

เป็นเรื่องปกติที่ผมจะต้องเดินห้าง และหาร้านหนังสือ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ ผมค่อนข้างผิดหวังที่พบว่า ร้านหนังสือส่วนใหญ่ไม่ได้ขายหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจและการลงทุนโดยเฉพาะใน เรื่องของหุ้นมากนัก ดูเหมือนว่าร้านหนังสือใหญ่ๆ ของไทยจะขายหนังสือแนวธุรกิจและการลงทุนมากกว่าร้านหนังสือในอังกฤษ นี่แสดงให้เห็นถึงความ "คึกคัก" ของความ "เป็นธุรกิจ" ของไทยที่เหนือกว่า หรือไม่แพ้อังกฤษได้เหมือนกัน

นอกจากร้านค้าใหญ่โตหรูหราอย่างห้างแฮร์รอตแล้ว สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ อังกฤษนั้นแทบไม่มีร้านสะดวกซื้อที่เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เลย ร้าน "โชห่วย" ที่มีเต็มบ้านเต็มเมืองเป็นร้านแบบครอบครัวที่ส่วนใหญ่ บริหารโดยคนที่มีเชื้อสายอื่นเช่นอินเดียเป็นต้น ดังนั้น คุณภาพจึงสู้ร้านสะดวกซื้อของไทยไม่ได้แม้ว่าสินค้าจะมีค่อนข้างครบเหมือน กัน

สิ่งที่อังกฤษดีกว่าไทยมากจริงๆ ผมคิดว่าอยู่ที่ระบบการเดินทาง ระบบรางทั้งที่เป็นรถไฟบนดิน ใต้ดิน และรถบัส ต้องเรียกว่า "สุดยอด" เพราะเราสามารถซื้อตั๋วรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน ที่ใช้บริการได้ทุกอย่าง ดังนั้น จะไปที่ไหนก็สะดวกและรวดเร็วมากด้วยราคาที่ไม่แพง

ผมคงต้องจบประสบการณ์สั้นๆ จากอังกฤษด้วยการบอกว่า สิ่งที่เป็นข้อด้อยที่ผมพบที่อังกฤษ ผมไม่ได้พบในประเทศย่านเอเชียที่เจริญแล้ว หลายประเทศในเอเชียที่ผมไป ประสิทธิภาพคล้ายๆ หรือดีกว่าประเทศไทย นี่อาจจะเป็นการบอกให้เรารู้ว่า เอเชีย ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น ดีกว่าที่ตัวเลขรายได้ประชาชาติแสดงให้เห็น เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป และอนาคตก็น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น ค่าเงินบาทและ ค่าเงินของเอเชียที่แข็งค่าขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะจะเป็นตัวบอกว่าเราไม่ได้จน และแย่กว่าประเทศพัฒนาแล้วมากขนาดนั้น ดังนั้น คนที่ "โวย" และต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าลง จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผลกับพื้นฐานของประเทศ และในระยะยาวแล้ว ก็คงจะ ฝืนไม่ได้

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20101019/358365/%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97.html




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2553    
Last Update : 22 ตุลาคม 2553 2:09:21 น.
Counter : 508 Pageviews.  

คำสาปของผู้ชนะ

"ข่าวดี" ในแวดวงของนักเล่นหุ้นที่พบมากที่สุดอย่างหนึ่ง ก็คือ การที่บริษัท "ชนะ" อะไรบางอย่าง เช่นการประมูลใบอนุญาตประกอบ กิจการ ที่ถูกควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐ เช่น กิจการโทรคมนาคม การชนะประมูลก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และการชนะประมูลหรือแข่งขันซื้อกิจการของบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น เพราะทุกครั้งที่มี "ข่าวดี" ดังกล่าว นักเล่นหุ้นต่างก็จะเข้าซื้อหุ้นไล่ราคาจนขึ้นไปสูง คนคิดว่าการที่บริษัทชนะการประมูล จะทำให้ผลประกอบการในอนาคตของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ความเป็นจริง ก็คือ การชนะประมูลนั้น ไม่ได้แปลว่าบริษัทจะต้องมีกำไรเพิ่มในอนาคต การชนะการประมูลนั้น หมายความเพียงว่า บริษัทจะมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น มีธุรกิจมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า บริษัทจะต้องมีกำไรเพิ่มขึ้น หรือบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นคุ้มค่ากับเงินที่จะต้องลงทุนเพิ่ม

นักวิเคราะห์หุ้นของบริษัทโบรกเกอร์ ก็มักจะมีหลักคิดที่อิงอยู่กับความเชื่อ ที่มี "หลักการอ้างอิง" และเป็น "ประโยชน์" ต่อโบรกเกอร์เองในการกระตุ้นให้คนซื้อขายหุ้น ดังนั้น นักวิเคราะห์ส่วนมาก ก็จะคาดการณ์ผลประกอบการที่จะเพิ่มขึ้นอย่างคนมองโลกในแง่ดี นั่นคือ คาดว่าบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นคุ้มค่า หรือเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามรายได้ที่จะเพิ่มขึ้น ไม่มีใครบอกว่า การ "ชนะ" การประมูลหรือแข่งขันดังกล่าวเป็นสิ่งที่เลวร้าย และจะทำให้บริษัทขาดทุน หรือจะเป็น "หายนะ" ของบริษัทในอนาคต เหนือสิ่งอื่นใด การที่ "หุ้นวิ่ง" ขึ้นไปทันที จะให้อธิบายได้อย่างไรว่าบริษัทกำลังจะเผชิญกับ "ภัยพิบัติ" จากการชนะประมูล

แต่สำหรับผมเอง การที่บริษัทชนะประมูลหรือชนะในการซื้อกิจการแข่งกับคนอื่น ผมไม่ได้ถือว่ามันเป็นข่าวดีเสมอไป ว่าที่จริงหลายครั้งผมคิดว่ามันเป็น "ข่าวร้าย" ของบริษัท เพราะ "ราคา" ที่บริษัทเสนอที่จะจ่ายให้กับผู้ให้ใบอนุญาต หรือผู้จ้างหรือผู้ขาย "แพงเกินไป" และถ้าเป็นอย่างนั้น การ "ชนะ" และทำให้รายได้ของบริษัทในอนาคตเพิ่มขึ้นก็ไม่เป็นประโยชน์ แต่กลับเป็นโทษเพราะทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทลดลง หรือในบางครั้งทำให้บริษัทขาดทุน และกลายเป็นหายนะได้ ปรากฏการณ์ที่บริษัท "ชนะ" แต่กลับ "พ่ายแพ้" และเสียหายในภายหลัง เนื่องจากการ "จ่าย" หรือ "ต้นทุน" ที่แพงเกินไปนี้เรียกกันว่า "Winner’s Curse" หรือ "คำสาปของผู้ชนะ"

ผู้ชนะต้อง "คำสาป" ได้อย่างไร สถานการณ์อย่างไรที่มักทำให้ผู้ชนะ "ถูกสาป" ลองมาดูเหตุการณ์สมมติว่ามีกิจการหนึ่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต เป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคต และมีศักยภาพในการทำกำไรดีแต่การประเมินผลประกอบการในอนาคตก็ไม่แน่นอน ได้ประกาศขายและเปิดให้คนมาประมูลซื้อ ผู้เข้าประมูลมีจำนวนหลายราย แต่ละคนก็ประเมินมูลค่าของกิจการเพื่อเสนอราคาซื้อ และถึงแม้ว่าต่างก็ได้รับข้อมูลเท่าๆ กัน แต่มุมมองและการวิเคราะห์ก็ต่างกัน

ดังนั้น บางคนก็จะให้มูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง แต่บางคนและน่าจะเป็นส่วนมาก ก็มองโลกในแง่ดีและให้มูลค่าสูงกว่าความเป็นจริง ในที่สุด คนที่เสนอราคาสูงที่สุดก็ชนะ และได้กิจการไปพร้อมกับ "คำสาป" นั่นก็คือ เขาจะเสียหายและประสบกับภัยพิบัติในภายหลังเนื่องจากเขาจ่ายแพงเกินไป ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาประเมินรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตสูงเกินไปและ/หรือ ประมาณการต้นทุนต่ำเกินไป เป็นต้น

ลักษณะของ ผู้ชนะที่จะ "ถูกสาป" นั้น มักเกิดขึ้นกับกิจการที่เปิดขายหรือเปิดประมูลดังนี้ คือ ข้อแรก เป็นกิจการที่มีจำนวนจำกัดแต่มีคนต้องการมาก ข้อสอง กิจการมีความไม่แน่นอนในอนาคตสูงซึ่งทำให้การประเมินผลการดำเนินงานทำได้ยาก และไม่แน่นอน ข้อสาม ถ้าการขายเป็นดีลที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและผู้ขายกับผู้ซื้อไม่มีความ สัมพันธ์ต่อเนื่อง และ สุดท้าย ก็คือ ความ "อยากได้" ของผู้ซื้อหรือผู้เข้าประมูลมีมาก เนื่องจากเหตุผลบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจล้วนๆ มีสูงกว่าปกติ

ลักษณะทั้งหมดนี้ มักจะทำให้ผู้ชนะ ก็คือ ผู้ที่จ่ายราคาสูงเกินความเป็นจริงไปมาก เพราะเขาอาจจะประเมินราคาผิดพลาด เนื่องจากการมองโลกในแง่ดี หรือมีแรงจูงใจที่อยากจะชนะสูงที่สุด

ข้อสังเกตเพิ่มเติมของผม ก็คือ เนื่องจากการ "ชนะ" ประมูลหรือชนะในการซื้อกิจการ เป็น "ข่าวดี" ที่สำคัญของหุ้นในตลาด ดังนั้น หลายบริษัทโดยเฉพาะที่ผู้บริหาร "เล่น" หุ้นของตนเองด้วย จึงมักมีความโน้มเอียงที่จะเอาชนะในการประมูลหรือซื้อกิจการ เพราะนั่นหมายความว่า หุ้นจะขึ้นและเขาอาจจะได้ประโยชน์ในระยะเวลาอันสั้น และนั่นก็จะนำมาซึ่ง "คำสาป" ที่จะตามมา ซึ่ง Value Investor จะต้องเข้าใจ

ก่อนที่จะจบผมอยากจะย้ำให้เห็นถึงประสบการณ์ Winner’s Curse ว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วมากมายในตลาดหุ้นไทย ทั้งที่ย้อนหลังไปนับสิบๆ ปี และที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ตัวอย่างที่ชัดเจนน่าจะเป็นเรื่องของกิจการโทรคมนาคม ที่บางบริษัทได้ใบอนุญาตทำกิจการซึ่งในช่วงแรกถือเป็นข่าวดี และทำให้หุ้นมีราคาสูงขึ้นไปมาก แต่ในระยะยาวแล้ว กลับมีผลประกอบการที่ย่ำแย่ขาดทุนจนราคาหุ้นตกต่ำลงไปมาก แม้แต่ในเรื่องของการชนะประมูลงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของทางราชการเองนั้น หลายครั้งก็ไม่ได้สร้างกำไรให้กับบริษัท

ทั้งๆ ที่ในช่วงประมูลได้นั้น หุ้นก็วิ่งตาม "ข่าวดี" เช่นกัน ประสบการณ์ของการชนะในการซื้อกิจการก็คล้ายๆ กัน ในวันที่บริษัทซื้อกิจการสำเร็จนั้น หุ้นก็วิ่งแรง แต่ภายหลังเมื่อบริหารกิจการนั้นกลับพบว่า กำไรไม่ได้มาตามที่คาด ผลก็คือ หุ้นก็หงอยลง คนที่ซื้อหุ้นในช่วงที่มีข่าวดี และถือยาวในที่สุดก็ขาดทุนย่อยยับ

ดังนั้น สำหรับผมเองที่เน้นการลงทุนระยะยาวแล้ว การที่บริษัท "ชนะ" ในการประมูล หรือการซื้อกิจการนั้น ผมจะต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งว่านั่นเป็นการชนะที่ดี หรือจะเป็นการชนะที่ "ต้องคำสาป" หากว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นอย่างหลัง ผมก็จะไม่ดีใจและอาจจะขายหุ้นโดยเฉพาะถ้าหุ้นขึ้นไปเพราะ "ข่าวดี" ที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20101012/357274/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B0.html




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2553    
Last Update : 12 ตุลาคม 2553 22:49:47 น.
Counter : 631 Pageviews.  

KISS Investing

การลงทุนนั้นก็เหมือนกับการทำอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ วิธีหรือกระบวนการที่ง่ายกลับให้ผลที่ดีกว่าวิธีที่ยากและซับซ้อน

ในภาษาอังกฤษจึงมีคำพูดที่นิยมกันมากว่า “Keep It Simple And Stupid” หรือใช้คำย่อว่า “KISS” แปลเป็นไทยว่า ต้องทำให้มันง่ายและโง่ที่สุด

การลงทุนแบบ KISS นั้นควรจะเป็นอย่างไร? และมันดีจริงหรือ? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ผมขอยกหลักการของโปรเฟสเซอร์ Charles D. Ellis นักวิชาการและนักเขียนเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนชื่อดังมาอธิบาย เขาเสนอว่า KISS ในการลงทุนนั้น มีหลักการและวิธีการ 5 ขั้นดังต่อไปนี้

ข้อแรก เก็บออมเงินสม่ำเสมอและเริ่มตั้งแต่อายุน้อย หลักการนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะการเริ่มต้นเร็วนั้น นอกจากจะเพาะนิสัยในการเก็บออมแล้ว การลงทุนจะเริ่มได้เร็วและมีระยะเวลาลงทุนนานกว่าที่เราจะเกษียณอายุ ด้วยพลังของการ "ทบต้น" ของผลตอบแทนที่ได้จะทำให้เม็ดเงินเติบโตเร็วมาก

วิธีที่จะคำนวณว่าเม็ดเงินจะเติบโตไปถึงแค่ไหนนั้น เราสามารถใช้ "สูตร 72" คำนวณได้ สูตรนี้จะบอกว่าเงินเราจะเพิ่มเป็นเท่าตัวต้องใช้เวลากี่ปี ตัวอย่างเช่น ถ้าเราลงทุนในกองทุนหุ้นซึ่งจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% ก็ให้เอา 72 ตั้งหารด้วย 10 ได้ค่าเท่ากับ 7.2 ก็จะได้ว่าเงินของเรา 1 ล้านบาทจะโตเป็น 2 ล้านบาท จะใช้เวลาประมาณ 7.2 ปี
ดังนั้น ถ้าเรามีเวลาลงทุน 14 ปี เงินก็จะโตไปอีกเท่าตัวเป็น 4 ล้านบาท และถ้าลงทุน 21 ปี จะกลายเป็น 8 ล้านบาท ถ้าลงทุน 28 ปี ก็จะกลายเป็น 16 ล้านบาท แบบนี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้น ระยะเวลาในการลงทุน จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้เรารวย

ข้อสอง ใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลในโครงการเพื่อการลงทุนระยะยาวและการ เกษียณอายุ ในเมืองไทย ก็คือ การลงทุนในกองทุน RMF หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ และ LTF หรือกองทุนหุ้นระยะยาว ทั้งสองกองทุนนั้นเราสามารถนำเงินที่ลงทุนไปลดหย่อนภาษีรายได้ประจำปีของเรา ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลช่วยสนับสนุนหรือเพิ่มเม็ดเงินที่เราออมตามอัตราภาษี ที่เราจ่ายประจำปี เช่น ถ้าเราต้องจ่ายภาษีขั้นสุดท้ายที่ 20% เงินที่เราลงทุนใน RMF และ LTF ก็จะได้ภาษีคืนเท่ากับ 20% นี่เท่ากับว่ารัฐบาลช่วยเพิ่มเงินออมให้เราเท่ากับ 20% ในส่วนนี้เมื่อคิดว่ามันจะให้ผลตอบแทนทบต้นเข้าไปเรื่อยๆ ในระยะยาว เม็ดเงินที่เราจะได้ก็มหาศาลโดยไม่มีความเสี่ยง

ข้อสาม เงินออมทั้งหมดเราจะต้องเอาไปลงทุน โดยการลงทุนของเรานั้นเราจะต้อง "กระจายความเสี่ยง" ให้อยู่ในตราสารการเงินหลายๆ ประเภทที่เหมาะสมกับเรา เช่นต้องมีเงินฝากจำนวนหนึ่ง มีกองทุนพันธบัตร และมีกองทุนหุ้น เป็นต้น โดยสัดส่วนการกระจายนั้น เราอาจจะกำหนดเป็นสูตรที่เราคิดว่าเหมาะสมกับการกล้ารับความเสี่ยงของเรา เช่น ถ้าเรารับความเสี่ยงได้มาก เราอาจจะลงทุนในกองทุนหุ้น 70% กองทุนพันธบัตรหรือตราสารหนี้ 20% และเป็นเงินฝาก 10% เป็นต้น

ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อย อาจจะลงในหุ้นเพียง 40% อีก 50% เป็นพันธบัตร ที่เหลืออีก 10% เป็นเงินสดในธนาคารเป็นต้น ในส่วนของการเลือกกองทุนนั้น เราควรลงทุนในกองทุนที่อิงดัชนีที่คิดค่าจัดการกองทุนในอัตราที่ต่ำเป็น หลัก อย่าไปลงทุนในกองทุนที่พยายามสร้างผลตอบแทนที่เหนือตลาด เพราะสถิติบอกว่ากองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วให้ผลตอบแทนแย่กว่ากองทุนที่อิง ดัชนีและคิดค่าบริหารกองทุนต่ำ

ข้อสี่ เมื่อจัดพอร์ตลงทุนตามสัดส่วนการกระจายการลงทุนแล้ว ทุกสิ้นปีสัดส่วนเงินลงทุนในพอร์ตก็มักจะเปลี่ยนไปเพราะตราสารบางกลุ่มจะให้ ผลตอบแทนดีกว่าทำให้เม็ดเงินมากเกินสัดส่วน ดังนั้น เราจะต้องจัดการ Rebalance หรือจัดสัดส่วนการลงทุนใหม่โดยการขายหน่วยลงทุนส่วนที่มีผลตอบแทนมากและสัด ส่วนเกินที่กำหนดในตอนต้นปี ไปซื้อหน่วยลงทุนที่มีสัดส่วนน้อยลงแทนเพื่อทำให้สัดส่วนการลงทุนในแต่ละ กลุ่มกลับมาอยู่ที่เดิมที่เราตั้งไว้ อย่าเปลี่ยนสัดส่วนเพราะคิดว่ากองทุนแบบหนึ่งกำลังทำผลงานดีหรือแย่กว่าที่ คาด

ข้อห้า ยึดมั่นกับหลักการและวิธีการตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่โดยไม่ต้องสนใจภาวะ ตลาดการเงินที่ผันผวน เช่นเวลาที่ตลาดหุ้นตกหนักอย่าขายหน่วยลงทุนในกองทุนหุ้น เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะยังตกหรือเปล่า เช่นเดียวกัน ในช่วงที่หุ้นขึ้นก็อย่าไปซื้อเพิ่ม เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันอาจจะตกก็ได้ การพยายามคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นนั้นส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นประโยชน์ ควรเน้นการลงทุนระยะยาวซึ่งสถิติบอกว่าหุ้นนั้นในที่สุดก็จะกลับมาให้ผลตอบ แทนที่ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่น

หลักการทั้งห้าข้อนี้ ดร.เอลลิส บอกว่าเป็นแผนการเงินเพื่อการเกษียณที่ทำแล้วสบายใจและแทบ "ไม่ต้องดูแล" ที่สำคัญมันง่ายมาก แต่สิ่งที่ต้องระวังที่สุดก็คือ มันต้องการ "วินัย" ที่เข้มงวด และ "อารมณ์" ที่มั่นคง สุดท้าย อาจารย์เอลลิส บอกว่า แผนการเงินนี้ควรที่จะต้องเป็นแผนร่วมของทั้งสามีและภรรยา ทั้งคู่จะต้องเข้าใจและตัดสินใจร่วมกันจึงจะทำให้เกิดผลสำเร็จ และดังนั้น คำว่า KISS จึงถูกแปลใหม่ว่า Keep It Simple, Sweetheart. แผนการเงินที่ง่าย นะจ๊ะ ที่รัก

ความคิดของผมเองคิดว่า หลักการและวิธีการของโปรเฟสเซอร์ เอลลิส นั้น เป็นวิธีการที่เหมาะสมและถูกต้องของพนักงานลูกจ้างที่กินเงินเดือนส่วนใหญ่ ที่ไม่มีเวลาหรือความรู้มากพอที่จะศึกษาและลงทุนเอง วิธีนี้เมื่อกำหนดกลยุทธ์ใหญ่ โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดสรรสัดส่วนเงินลงทุนในตราสารการเงินเรียบร้อยแล้ว ก็แทบไม่ต้องทำอะไรอีกยกเว้นการปรับพอร์ตในแต่ละปี แต่ผลการลงทุนและเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนั้น จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าหลักการนี้ดีจริงและความมั่นใจที่จะยึดกับหลักการ นี้จะเพิ่มขึ้น และเมื่อถึงวันที่เราเกษียณจริงๆ ผมคิดว่าอย่างน้อยเราน่าจะอยู่ได้อย่างสุขสบาย และสำหรับบางคนก็อาจจะ รวยไปเลย

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20100928/355001/KISS-Investing.html




 

Create Date : 30 กันยายน 2553    
Last Update : 30 กันยายน 2553 0:32:28 น.
Counter : 542 Pageviews.  

ปันผลคือพื้นฐานหุ้น

หลักการหรือหัวใจของ Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ก็คือ การหามูลค่าที่ควรจะเป็นหรือมูลค่า “พื้นฐาน” ของหุ้น

จากนั้นก็ดูว่าราคาหุ้น ในตลาดเป็นเท่าไร ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่คำนวณได้ก็ให้ซื้อ ถ้าราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานก็ให้ขาย เพราะนักลงทุนแบบ VI เชื่อว่าในที่สุดราคาหุ้นจะวิ่งเข้าหามูลค่าพื้นฐานเสมอ

คำถามสำคัญมีอยู่ 2 ข้อ นั่นคือ หนึ่ง มูลค่าพื้นฐานคืออะไร มาจากไหน อะไรเป็นตัวกำหนดมูลค่าพื้นฐานของหุ้น พูดง่ายๆ คำนวณมูลค่าพื้นฐานอย่างไร ข้อสอง เมื่อไรเล่าที่ราคาจะวิ่งเข้าหาพื้นฐาน เป็นไปได้ไหมที่ราคาหุ้นอาจจะไม่สะท้อนพื้นฐานเป็นระยะเวลานานมาก เผลอๆ ตลอดไป กลายเป็นหุ้นที่อาจจะ “ถูกตลอดกาล” และถ้าเป็นอย่างนั้น VI จะได้อะไร

คำตอบทั้งสองข้อนั้นเกี่ยวเนื่องกัน นั่นคือ คำตอบของข้อแรกก็จะตอบคำถามของข้อสองได้ คำถามที่ว่ามูลค่าพื้นฐานคืออะไรนั้น ถ้าจะตอบ ก็คือ เป็นมูลค่าปัจจุบันของหุ้นที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นจะได้จากบริษัทตลอดไป และผลตอบแทนที่ว่านั้น ก็คือ “ปันผล” ในอนาคตทั้งหมดของบริษัท

ถ้าจะพูดให้เห็นภาพที่เข้าใจได้ง่ายไม่เป็นวิชาการ ก็คือ “เป็นราคาหุ้นที่เรายินดีที่จะจ่ายเงินซื้อเพื่อเก็บกินปันผลไปตลอดชีวิต โดยที่เราจะไม่ขายหรือเป็นหุ้นที่เราไม่สามารถขายได้” ดังนั้น เวลาที่ผมจะซื้อหุ้น ผมจะต้องคิดว่าราคาที่ผมจ่ายนั้น ผมยินดีหรือไม่ที่จะเก็บมันไว้ตลอดชีวิต เพื่อรับปันผล ถ้าคำตอบ คือ “ไม่เอา” นั่นก็แปลว่า ราคานั้นสูงเกินไป อาจจะเป็นเพราะผมไม่แน่ใจว่าปันผลจะลดลง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าอนาคตบริษัทอาจจะเจ๊ง หรือธุรกิจตกต่ำลงมากและจ่ายปันผลน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งผมจะ “ไม่มีทางออก” แต่ถ้าคำตอบของผมก็คือ “เอา” นั่นก็แปลว่าผมมั่นใจในตัวบริษัทว่าจะยังดีต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ปันผลในอนาคตนั้นมีโอกาสสูงที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความเสี่ยงที่ธุรกิจจะตกต่ำลงมีน้อยมาก ดังนั้น ผมยินดีซื้อและถือหุ้นตัวนั้นตลอดชีวิต

แน่นอน ในชีวิตจริง เราไม่จำเป็นที่จะต้องถือหุ้นตลอดชีวิตเพื่อเก็บกินปันผล แต่เวลาพิจารณาซื้อหุ้นโดยอิงกับ “มูลค่าพื้นฐาน” ของหุ้น เราจะต้องคิดว่าเราจะต้องเก็บหุ้นไว้ตลอดชีวิตจริงๆ ถ้าเราคิดว่าเราสามารถขายได้ทุกนาที หรือเราสามารถขายได้ถ้า “สถานการณ์เปลี่ยน” หรือแม้แต่เราจะขายเมื่อ “บริษัทโตเต็มที่แล้ว” ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นใน 3-4 ปีข้างหน้า แบบนี้แสดงว่าเรายังไม่ได้ซื้อหุ้นโดยอิงกับมูลค่าพื้นฐานจริงๆ เราอาจจะ “เก็งกำไร” โดยอาจจะอิงกับปัจจัยพื้นฐานบางส่วนเท่านั้น

นอกจากเรื่องของปันผลในอนาคตแล้ว ปัจจัยที่สำคัญอีกตัวหนึ่งในการคำนวณหามูลค่าพื้นฐานของหุ้น ก็คือ “อัตราคิดลด” ซึ่งก็คือ อัตราผลตอบแทนที่เราต้องการในการลงทุนซื้อหุ้นตัวนั้น อัตราผลตอบแทนนี้จะคล้ายๆ กับอัตราดอกเบี้ยที่เราได้ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคารหรือลงทุนซื้อพันธบัตร ซึ่งเราจะได้ผลตอบแทนที่แน่นอนเช่นปีละ 1% หรือ 3-4% ตามลำดับ แต่การลงทุนในหุ้นนั้น เราจะได้ปันผลที่มีอัตราไม่แน่นอนขึ้นกับผลกำไรของบริษัท ดังนั้น เราจึงต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าโดยเฉลี่ยเช่นอาจจะได้ผลตอบแทนประมาณปีละ 10%

ปัจจัยสำคัญตัวสุดท้ายที่สำคัญมาก ก็คือ อัตราการเติบโตหรือการเพิ่มขึ้นของเงินปันผลในอนาคต นี่คือ สิ่งที่จะทำให้มูลค่าหุ้นสูงหรือต่ำอย่างมีนัยสำคัญ เพราะถ้าปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นทุกปีหรือเกือบทุกปี ยิ่งนานปันผลก็ยิ่งเพิ่มขึ้น บางทีผ่านไป 15-20 ปี เงินปันผลแต่ละปีอาจจะเพิ่มขึ้นเท่ากับเงินค่าหุ้นที่เราจ่าย ถ้าเป็นแบบนี้มูลค่าของหุ้นก็จะมาก แต่ถ้าปันผลไม่โตเลย เคยได้เท่าไร ผ่านไป 5-10 ปีก็ยังได้ปันผลเท่าเดิม แบบนี้หุ้นก็จะมีมูลค่าน้อย

ผมคงไม่อธิบายวิธีคำนวณหามูลค่าพื้นฐานตามวิชาการซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก เกินไป แต่จะลองให้แนวคิดในการพิจารณาลงทุนซื้อหุ้นโดยใช้หลักการของ “มูลค่าพื้นฐาน” ดังที่ได้กล่าวมา โดยสมมติว่าเราพบหุ้นตัวหนึ่งที่ทำธุรกิจโมเดิร์นเทรดหรือค้าปลีกสมัยใหม่ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีผลประกอบการที่สม่ำเสมอ และคาดการณ์ผลประกอบการไม่ยากนัก

บริษัท ก. มีกำไรปีละ 0.40 บาทต่อหุ้น จ่ายปันผลปีละ 0.30 บาท ราคาหุ้นเท่ากับ 10 บาทต่อหุ้น เราคาดว่ากิจการของบริษัทนี้จะเติบโตขึ้นประมาณปีละ 10% ไปได้เรื่อยๆ โดยที่บริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุน เพราะฐานะทางการเงินดีมากไม่มีหนี้สินจากสถาบันการเงินเลย ถามว่ามองโดยพื้นฐานเราควรซื้อหุ้นบริษัทนี้หรือไม่

ก่อนอื่นลองคำนวณดูว่าในปีแรกที่เราลงทุนนั้น เราจ่ายเงินค่าหุ้น 10 บาท และได้ปันผล 0.30 บาทเท่ากับว่าเราได้ปันผลปีแรก 3% ดูแล้วก็อาจจะไม่น่าจูงใจอะไร เพราะเราลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งไม่มีความเสี่ยงเลยเรายังได้ดอกเบี้ย ประมาณ 4% แต่เนื่องจากกำไรของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นได้ปีละ 10% ซึ่งน่าจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลได้เพิ่มขึ้นปีละ 10% เช่นกัน ดังนั้น ปีที่สองปันผลน่าจะเป็น 3.3% และปีที่สามน่าจะเป็น 3.63% ปีที่สี่เท่ากับประมาณ 3.99 หรือ 4% ซึ่งเท่ากับพันธบัตรแล้ว หลังจากนั้น อัตราก็จะสูงกว่าไปเรื่อยๆ พอถึงปีที่ 10 ปันผลก็เท่ากับ 8.56% และเมื่อถึงปีที่ 37 ซึ่งอาจจะเป็นปีที่เราเกษียณ ปันผลที่ได้ในแต่ละปีอาจจะเป็น 10 บาท เท่ากับราคาหุ้นในวันนี้ และทำให้เราเกษียณอย่างมีความสุข เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ ตั้งแต่ปีที่ 4 ของการถือหุ้น เราก็ได้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในตราสารการเงินอื่นๆ แล้ว ดังนั้น เราจึงคิดว่าราคาหุ้น ก. ที่ 10 บาท เป็นราคาหุ้นที่เหมาะสมกับพื้นฐานในแง่ของเราและเรายินดีที่จะซื้อมัน

คำถามต่อมา ก็คือ ถ้าราคาหุ้น ก. ที่ 10 บาทซึ่งเราคิดว่าถูก แต่ถ้าถือแล้วมันไม่ขึ้นทั้งที่กำไรและปันผลของบริษัทก็ดีขึ้นตามที่คาดแต่ ราคาหุ้นกลับไม่ขึ้นสักทีเป็นเวลาหลายปี แบบนี้เราควรจะขายทิ้งไหม คำตอบก็คือ ไม่จำเป็น จำไว้ว่าถ้าเรา “ลงทุนตามพื้นฐาน” และมั่นใจว่าสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ถูกต้อง เราก็ถือมันไป ผลตอบแทนของเรานั้น

เราต้องคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยนักลงทุนคนอื่นในการมาซื้อหุ้น ต่อจากเราในราคาที่สูงขึ้น แต่มันมาจากปันผลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของบริษัท แต่เชื่อผมเถอะครับว่า ในที่สุดแล้ว คนจะต้องเห็นว่าบริษัทดีและเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ผมเองเคยถือหุ้นมา 3-4 ปีโดยที่ราคาไม่ไปไหน แต่พอมันวิ่ง มันก็ขึ้น “ชดเชย” ช่วงเวลาที่มันนิ่งในเวลาอันรวดเร็ว ประเด็นสำคัญ ก็คือ VI ต้อง “รอเป็น” ว่าที่จริง การที่หุ้นไม่ขึ้นเลยทั้งๆ ที่บริษัทดีขึ้นหรือจ่ายปันผลมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น กลับเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นเพิ่ม และทำกำไรมากขึ้น

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20100914/352807/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99.html




 

Create Date : 19 กันยายน 2553    
Last Update : 19 กันยายน 2553 23:45:45 น.
Counter : 612 Pageviews.  

ลงทุนในทองคำ 50-60% ได้หรือไม่

ข้อมูลคุณแจง -ที่บอกว่าการลงทุนในทองคำไม่ควรจะเกิน 10-15% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด

แบบ นี้ ถ้าเราคิดว่าเรารับความเสี่ยงได้กรณีเกิดขาดทุน แต่เราก็ยังอยากจะลงมากกว่านั้นจะเป็นอะไรมั้ยคะ เพราะพี่เป็นคนชอบทอง จะให้ไปลงทุนในหุ้นก็ไม่ค่อยอยากลงเพราะเคยขาดทุนมาเยอะ ตอนนี้ก็เลยลงทุนในทองประมาณ 50-60% ที่เหลือลงในอสังหาริมทรัพย์ค่ะ

ความเห็น บลจ.บัวหลวง
คำ แนะนำเรื่องการลงทุนอย่างหนึ่งที่มักพูดกันเสมอก็คือ “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” เพราะการลงทุนใส่ไข่รวมๆ กัน ในตะกร้าใบเดียวก็เหมือนการลงทุนที่ ไม่มีการกระจายความเสี่ยง หากตะกร้านั้นล้มไข่ทั้งหมดย่อมแตกเสียหาย ก็เหมือนกับซื้อหุ้นตัวเดียว หากราคาตกอย่างรวดเร็วหรือหุ้นกู้ที่ซื้อไว้ด้วยเงินทั้งหมดเกิดปัญหาผิดนัด ชำระหนี้จ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยไม่ได้ ความเสียหายนั้นจึงเป็นสิ่งที่เกิดรับได้

กรณีคำแนะนำในการลงทุน ทองคำที่ว่าไม่ควรเกิน 10% นั้นก็เนื่องจาก ทองคำเป็นทรัพย์สินที่มีค่าในตัวเอง ผลตอบแทนกำไรขาดทุนที่จะได้ก็ขึ้นกับราคาทองที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียว ทองคำไม่ใช่หุ้นของกิจการที่จ่ายเงินปันผลจากกำไรของบริษัท ไม่ใช่หุ้นกู้ที่ผู้ซื้อจะได้รับดอกเบี้ยตามงวด ดังนั้นเท่ากับว่าการซื้อทองคำคือการผูกผลตอบแทนกับการเคลื่อนไหวของราคา ทองคำในตลาดโลกเป็นหลักเพียงอย่างเดียว การนำเงินที่มีอยู่ไปซื้อทองคำยิ่งมากเท่าไร ก็เท่ากับเราผูกติดทรัพย์สินที่มีอยู่กับราคาทองคำมากเท่านั้น ถ้ามากเกินไปหากราคาทองคำลดลงอย่างไม่คาดคิด จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ก็จะกระทบกับสถานะการเงินของเราอย่างมากครับ ต่างจากคำแนะนำสัดส่วนการลงทุนใน หุ้น หรือตราสารหนี้ ที่อาจสูงถึง 50-70% เพราะนั่นไม่ได้เป็นการผูกเงินกับทรัพย์สินเพียงตัวเดียว เพราะหุ้นและตราสารหนี้ มีให้เลือกมากมาย สามารถกระจายลงไปได้อีกเยอะ

แต่ สิ่งที่แนะนำกันว่าไม่ควรลงทุนเกิน 10-15% นั้นก็เป็นเรื่องของหลักแนวคิดที่ไม่มีกฎตายตัว บางท่านเช่นคุณแจงอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำ มีข้อมูลราคาทองคำในมือ หรือซื้อขายทองคำแท่งสร้างกำไรให้ตัวเองได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะลงทุนมากกว่านั้นก็ย่อมทำได้ครับ สำคัญคือต้องมั่นใจว่าเงินที่ซื้อทองคำนี้หากวันที่ทองคำราคาตกจะไม่กระทบ กับชีวิตความเป็นอยู่ของเรา เป็นเงินเย็นที่สามารถถือยาวได้ (หากจำเป็น)

แต่ สิ่งหนึ่งที่ฝากไว้ก็คือการลงทุนใน สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากกว่าปกติ จะด้วยความคุ้นเคยหรือเชี่ยวชาญในสิ่งนั้นอยู่แล้วก็แล้วแต่ ต้องพึงระวังเสมอครับว่าหากเกิดความเสียหายขาดทุน หรือมีปัญหาในการขายออก ต้องไม่กระทบกับการดำรงชีวิตของตนเองและครอบครัว ถ้ายังนึกภาพความเสียหายไม่ออกในเมื่อเราเชี่ยวชาญอยู่แล้วจะกลัวอะไร ลองนึกภาพตามนะครับ หากท่านทำงานเป็นโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นมีรายได้หลักมาจากค่าคอมมิชชั่น และรู้จักหุ้นดี จึงนำเงินลงทุนในหุ้นเกือบหมด เพราะที่ผ่านมาก็มีกำไรดี รายได้สูง แต่อยู่ๆ เกิดวิกฤตการเงินตลาดหุ้นดิ่งอย่างหนัก เงินลงทุนเสียหาย รายได้คอมมิชชั่นหด เท่ากับชีวิตจะต้องกระทบทั้งรายได้ประจำและความมั่งคั่งที่หายไป

หรือ สามีภรรยาทำงานบริษัทเดียวกัน รักบริษัทนี้มาก เชื่อมั่นในความแข็งแกร่ง จึงนำเงินออมของครอบครัวไปซื้อหุ้นสามัญกับหุ้นกู้บริษัทไว้จำนวนมาก วันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดคิด โรงงานไฟไหม้ ผู้บริหารแอบยักยอกทรัพย์สินบริษัท ราคาหุ้นดิ่งเหว หุ้นกู้ผิดนัดชำระ พนักงานถูกตัดเงินเดือนหรือถูกเชิญออก นึกภาพดูนะครับ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้

"บทความนี้ เป็นคำแนะนำตามหลักการลงทุนทั่วไป และอ้างอิงตามข้อมูลเท่าที่ได้รับเท่านั้น ผลตอบแทนจากการลงทุนในสัดส่วนดังกล่าวอาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และผู้ลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินโดยละเอียดอีกครั้ง ก่อนการลงทุนจริง"

โดย : เสกสรร โตวิวัฒน์
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/fund/20100919/353680/%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-50-60-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88.html




 

Create Date : 19 กันยายน 2553    
Last Update : 19 กันยายน 2553 23:44:42 น.
Counter : 700 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.