148. การเดินไปตามทางอริยมรรคมีองค์ 8 ที่ผู้เขียนยึดถือปฏิบัติ

การทำความดับทุกข์ คือ การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8”
การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” คือ การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ ให้เกิดเป็น “อธิศีล อธิจิต และ อธิปัญญา” เพื่อทำให้เกิด การเคลื่อนไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” สู่ "ความดับทุกข์" *************** อธิศีล หรือ อธิสีล หมายถึง ศีลที่ยิ่ง อธิจิต หมายถึง จิตที่ยิ่ง หรือ จิตเป็นสมาธิยิ่ง อธิปัญญา หมายถึง ปัญญาที่ยิ่ง
********************
การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ
คือการปฏิบัติ เพื่อปรับเปลี่ยน “การงานอาชีพ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม”
ที่มีปกติเป็น “บาปอกุศล (มิจฉา)”
ให้มีปกติเป็น “บุญกุศล (สัมมา)”
********************
การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ
คือการทำความเห็น ให้ถูก ให้ตรง ให้เป็นสัมมา
ให้พ้นสักกายทิฏฐิ ให้พ้นวิจิกิจฉา ให้พ้นสีลัพพตปรามาส ให้พ้นกามราคะ ให้พ้นปฏิฆะ
ให้พ้นรูปราคะ ให้พ้นอรูปราคะ ให้พ้นมานะ ให้พ้นอุทธัจจะ และ ให้พ้นอวิชชา
เพื่อชำระล้าง หรือ เพื่อดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน”
ในระดับหยาบ (วีติกกมกิเลส) ระดับกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) และ ระดับละเอียด (อนุสัยกิเลส)
ที่เป็นมูลเหตุของ “อกุศลกรรมและความทุกข์” ทั้งหลาย
ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ (เพื่อทำจิตใจ ให้ผ่องแผ้ว)
********************
การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ
คือการเจริญ สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ สัมมาสมาธิ และ สัมมาทิฏฐิ
โดยใช้การเจริญ สัมมาวายามะ (สัมมัปปธาน 4) และ สัมมาสติ (สติปัฏฐาน 4) ร่วมด้วย ***************
การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ สามารถปฏิบัติได้ 2 แนวทาง คือ
- ใช้ศีลที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้แล้ว คือ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 และ ศีลพระปาฏิโมกข์
- กำหนดตั้งศีล ให้สูงขึ้นตามลำดับ โดยใช้อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวทางในการกำหนดตั้ง ชื่อว่า “อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และ อธิปัญญาสิกขา” (อ้างอิงจาก วัชชีปุตตสูตร)
ผู้เขียน เลือกใช้แนวทางปฏิบัติที่ 2 ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติ ที่เป็น “ฆราวาส” *************** ศีล คือสิ่งที่กำหนดตั้งขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยน “การงานอาชีพ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม” ที่มีปกติเป็นมิจฉา (อกุศล) ให้มีปกติเป็นสัมมา (กุศล) ด้วยการเพียรหมั่นชำระล้าง หรือ เพียรหมั่นละ หรือ เพียรหมั่นทำความดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ในระดับหยาบ (วีติกมกิเลส) ระดับกลาง (ปริยุฎฐานกิเลส) และ ระดับละเอียด (อนุสัยกิเลส) ที่เป็นมูลเหตุของอกุศลกรรมและความทุกข์ทั้งหลาย การกำหนดตั้งศีล จะใช้ “อริยมรรคมีองค์ 8” เป็นแนวทางในการกำหนดตั้ง ดังนี้ - ไม่ประกอบอาชีพที่เป็นมิจฉาวณิชชา 5 และ ไม่กอบอาชีพที่เป็นมิจฉาอาชีวะ 5
- ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
- ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
- กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ ความหลงใหลติดใจและความหลงยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์สุขอันเกิดจาก กามเมถุนและกามคุณ 5 กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ กามฉันทะ (ความยินดีในกาม) และ กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ กามราคานุสัย (ความกำหนัดในกามที่นอนเนื่องอยู่ในจิต) เป็นการทำความดำริออกจากกาม ให้บริบูรณ์
- กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ ความพยาบาท โทสะ โกธะ ปฏิฆะ (ความขัดเคืองใจ) อรติ (ความไม่ชอบใจไม่พอใจ) และ ปฏิฆานุสัย (ความขัดเคืองใจที่นอนเนื่องอยู่ในจิต) เป็นการทำความดำริออกจากพยาบาท ให้บริบูรณ์
- กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเป็น ความอยากครอบครอง ในสิ่งที่เกินความจำเป็นของชีวิต จนเกิดการเบียดเบียนผู้อื่นและสัตว์อื่น (ละความโลภหรือดับตวามโลภ) เป็นการทำความดำริออกจากการเบียดเบียน ให้บริบูรณ์
*************** การปฏิบัติสมาธิ (สมถภาวนา) หมายถึง การอบรมจิต
การอบรมจิต หมายถึง การทำจิตใจ ให้สงบ ให้ตั้งมั่น ให้เป็นสมาธิ เพื่อรับรู้ “การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และ การดับลงไป” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” เมื่อมี “ผัสสะ” มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ แล้วเพียรพยามไม่ปล่อยให้จิตใจ “ปรุงแต่ง (สังขาร)” ไปตามอำนาจของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ที่กำลังเกิดขึ้นในจิต เพื่อไม่ให้เกิด “การละเมิดศีล” เป็นการทำให้ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ระงับดับลงไป (ทำความระงับดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล”) *************** การปฏิบัติปัญญา (วิปัสสนาภาวนา) หมายถึง การอบรมปัญญา การอบรมปัญญา หมายถึง การเพ่งพิจารณา เพื่อให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง จนชัดแจ้งที่ใจ (โยนิโสมนสิการ) ในความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” จนพ้นสักกายทิฏฐิ จนพ้นวิจิกิจฉา และ จนพ้นสีลัพพตปรามาส พ้นสักกายทิฏฐิ หมายถึง สามารถปล่อยวาง “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ได้แล้ว ไม่หลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนของตนหรือเป็นของของตนแล้ว พ้นวิจิกิจฉา หมายถึง หมดสิ้นความลังเลสังสัย ใน “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” เพราะมีความเห็นจริง จนชัดแจ้งที่ใจ ในความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” พ้นสีลัพพตปรามาส หมายถึง สามารถทำให้ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ลดลง จางคลาย และ ดับสูญสิ้นไปจากจิตใจได้แล้ว ทำให้ “ศีล” กลายเป็นปกติของตนได้แล้ว
*************** การปฏิบัติศีล สมาธิ และ ปัญญา มีแนวทางดังนี้ - กำหนดตั้งศีลขึ้นมา เพื่อยึดถือปฏิบัติให้เป็นปกติ (เจริญสัมมาอาชีวะ เจริญสัมมากัมมันตะ เจริญสัมมาวาจา และ เจริญสัมมาสังกัปปะ)
- เมื่อกำหนดตั้งศีลขึ้นมาแล้ว ให้เพียรหมั่น (เจริญสัมมาวายามะ) ทำความมีสติ (เจริญสัมมาสติ) เพื่อรับรู้ การเกิดขึ้นในจิต ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของการละเมิดศีล เมื่อมีผัสสะมากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ
- เมื่อเกิด “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของการละเมิดศีล ในจิตแล้ว
ให้ทำจิตใจ ให้สงบ ให้ตั้งมั่น ให้เป็นสมาธิ ให้ไม่หวั่นไหว ให้ไม่กระเพื่อมไหว ให้ไม่ปรุงแต่ง (สังขาร) ไปตามอำนาจของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่กำลังเกิดขึ้นในจิต
ทำความรับรู้ “การเกิดชึ้น ตั้งอยู่ และ การดับลงไป” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” โดยไม่ปรุงแต่งตาม
เป็นการทำความระงับดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดศีล (เจริญสัมมาสมาธิ) - เพียรหมั่นเพ่งพิจารณา (เจริญสัมมาทิฏฐิ หรือ เจริญปัญญา) เพื่อให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง จนชัดแจ้งที่ใจ (โยนิโสมนสิการ) ในความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” จนเกิดการละหน่ายคลาย และ เกิดการปล่อยวางได้ (พ้นสักกายทิฏฐิ) จนหมดสิ้นความลังเลสงสัยใน ความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” (พ้นวิจิกิจฉา) และ จนทำให้ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ค่อยๆลดลง จางคลายลง และ ดับสิ้นไป ทำให้ศีลกลายเป็นปกติของตน (พ้นสีลัพพตปรามาส)
*************** การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” ตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสิ่งที่ผู้เขียน เพียรพยายามศึกษาและทำความเข้าใจ แล้วนำมายึดถือปฏิบัติ อาจมีความแตกต่าง จากที่ท่านผู้อ่าน ได้เคยรับรู้มาก่อน ผู้เขียนไม่ได้ต้องการ ให้ท่านผู้อ่าน หลงเชื่อตาม
จงอย่าหลงเชื่อตาม สิ่งใดๆ โดยง่าย
โดยไม่ผ่านการพิจารณาไตร่ตรอง โดยรอบคอบ
และ โดยไม่ผ่านการพิสูจน์ให้เห็นจริง ด้วยตนเอง จงยึดหลัก “กาลามสูตร” ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้
วัตถุประสงค์หลัก ของการนำเสนอบทธรรมนี้ คือ เพื่อ “ให้เป็นแง่คิดมุมมองหนึ่ง” ของการศึกษาธรรมและการปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์ ชาญ คำพิมูล
Create Date : 14 มิถุนายน 2568 | | |
Last Update : 14 มิถุนายน 2568 6:35:42 น. |
Counter : 176 Pageviews. |
| |
|
|
|