"ไม่มีใครผู้ใด ที่จะทำให้เรา พ้นทุกข์ได้ ตัวของเราเท่านั้น ที่จะทำให้เรา พ้นทุกข์ได้"

สมาชิกหมายเลข 5067499
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ศึกษาและปฏิบัติธรรม มากกว่า 38 ปี
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 5067499's blog to your web]
Links
 

 

148. การเดินไปตามทางอริยมรรคมีองค์ 8 ที่ผู้เขียนยึดถือปฏิบัติ



การทำความดับทุกข์ คือ การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8

การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” คือ การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ ให้เกิดเป็น “อธิศีล อธิจิต และ อธิปัญญา”  เพื่อทำให้เกิด การเคลื่อนไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” สู่ "ความดับทุกข์"
 
***************
 
อธิศีล หรือ อธิสีล หมายถึง ศีลที่ยิ่ง
 
อธิจิต หมายถึง จิตที่ยิ่ง หรือ จิตเป็นสมาธิยิ่ง
 
อธิปัญญา หมายถึง ปัญญาที่ยิ่ง

********************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

คือการปฏิบัติ เพื่อปรับเปลี่ยน “การงานอาชีพ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม

ที่มีปกติเป็น “บาปอกุศล (มิจฉา)

ให้มีปกติเป็น “บุญกุศล (สัมมา)


********************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

คือการทำความเห็น ให้ถูก ให้ตรง ให้เป็นสัมมา

ให้พ้นสักกายทิฏฐิ ให้พ้นวิจิกิจฉา ให้พ้นสีลัพพตปรามาส ให้พ้นกามราคะ ให้พ้นปฏิฆะ

ให้พ้นรูปราคะ ให้พ้นอรูปราคะ ให้พ้นมานะ ให้พ้นอุทธัจจะ และ ให้พ้นอวิชชา

เพื่อชำระล้าง หรือ เพื่อดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน

ในระดับหยาบ (วีติกกมกิเลส) ระดับกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) และ ระดับละเอียด (อนุสัยกิเลส)

ที่เป็นมูลเหตุของ “อกุศลกรรมและความทุกข์” ทั้งหลาย

ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ (เพื่อทำจิตใจ ให้ผ่องแผ้ว)

********************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

คือการเจริญ สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ สัมมาสมาธิ และ สัมมาทิฏฐิ

โดยใช้การเจริญ สัมมาวายามะ (สัมมัปปธาน 4) และ สัมมาสติ (สติปัฏฐาน 4) ร่วมด้วย
 
***************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ
สามารถปฏิบัติได้ 2 แนวทาง คือ

  1. ใช้ศีลที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้แล้ว คือ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 และ ศีลพระปาฏิโมกข์
  2. กำหนดตั้งศีล ให้สูงขึ้นตามลำดับ โดยใช้อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวทางในการกำหนดตั้ง ชื่อว่า “อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และ อธิปัญญาสิกขา” (อ้างอิงจาก วัชชีปุตตสูตร)
ผู้เขียน เลือกใช้แนวทางปฏิบัติที่ 2 ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติ ที่เป็น “ฆราวาส
 
***************
 

ศีล คือสิ่งที่กำหนดตั้งขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยน “การงานอาชีพ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม” ที่มีปกติเป็นมิจฉา (อกุศล) ให้มีปกติเป็นสัมมา (กุศล) ด้วยการเพียรหมั่นชำระล้าง หรือ เพียรหมั่นละ หรือ เพียรหมั่นทำความดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ในระดับหยาบ (วีติกมกิเลส) ระดับกลาง (ปริยุฎฐานกิเลส) และ ระดับละเอียด (อนุสัยกิเลส) ที่เป็นมูลเหตุของอกุศลกรรมและความทุกข์ทั้งหลาย
 
การกำหนดตั้งศีล จะใช้ “อริยมรรคมีองค์ 8” เป็นแนวทางในการกำหนดตั้ง ดังนี้
  1. ไม่ประกอบอาชีพที่เป็นมิจฉาวณิชชา 5 และ ไม่กอบอาชีพที่เป็นมิจฉาอาชีวะ 5
  2. ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
  3. ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
  4. กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ ความหลงใหลติดใจและความหลงยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์สุขอันเกิดจาก กามเมถุนและกามคุณ 5 กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ กามฉันทะ (ความยินดีในกาม) และ กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ กามราคานุสัย (ความกำหนัดในกามที่นอนเนื่องอยู่ในจิต) เป็นการทำความดำริออกจากกาม ให้บริบูรณ์
  5. กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ ความพยาบาท โทสะ โกธะ ปฏิฆะ (ความขัดเคืองใจ) อรติ (ความไม่ชอบใจไม่พอใจ) และ ปฏิฆานุสัย (ความขัดเคืองใจที่นอนเนื่องอยู่ในจิต) เป็นการทำความดำริออกจากพยาบาท ให้บริบูรณ์
  6. กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเป็น ความอยากครอบครอง ในสิ่งที่เกินความจำเป็นของชีวิต จนเกิดการเบียดเบียนผู้อื่นและสัตว์อื่น (ละความโลภหรือดับตวามโลภ) เป็นการทำความดำริออกจากการเบียดเบียน ให้บริบูรณ์
     
***************
 

การปฏิบัติสมาธิ (สมถภาวนา) หมายถึง การอบรมจิต

การอบรมจิต หมายถึง การทำจิตใจ ให้สงบ ให้ตั้งมั่น ให้เป็นสมาธิ เพื่อรับรู้ “การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และ การดับลงไป” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” เมื่อมี “ผัสสะ” มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ
 
แล้วเพียรพยามไม่ปล่อยให้จิตใจ “ปรุงแต่ง (สังขาร)” ไปตามอำนาจของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ที่กำลังเกิดขึ้นในจิต เพื่อไม่ให้เกิด “การละเมิดศีล” เป็นการทำให้ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ระงับดับลงไป (ทำความระงับดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล”)
 

***************
 
การปฏิบัติปัญญา (วิปัสสนาภาวนา) หมายถึง การอบรมปัญญา
 
การอบรมปัญญา หมายถึง การเพ่งพิจารณา เพื่อให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง จนชัดแจ้งที่ใจ (โยนิโสมนสิการ) ในความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” จนพ้นสักกายทิฏฐิ จนพ้นวิจิกิจฉา และ จนพ้นสีลัพพตปรามาส
 
พ้นสักกายทิฏฐิ หมายถึง สามารถปล่อยวาง “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ได้แล้ว ไม่หลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนของตนหรือเป็นของของตนแล้ว
 
พ้นวิจิกิจฉา หมายถึง หมดสิ้นความลังเลสังสัย ใน “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” เพราะมีความเห็นจริง จนชัดแจ้งที่ใจ ในความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล
 
พ้นสีลัพพตปรามาส หมายถึง สามารถทำให้ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ลดลง จางคลาย และ ดับสูญสิ้นไปจากจิตใจได้แล้ว ทำให้ “ศีล” กลายเป็นปกติของตนได้แล้ว

***************
 
การปฏิบัติศีล สมาธิ และ ปัญญา มีแนวทางดังนี้
 
  1. กำหนดตั้งศีลขึ้นมา เพื่อยึดถือปฏิบัติให้เป็นปกติ (เจริญสัมมาอาชีวะ เจริญสัมมากัมมันตะ เจริญสัมมาวาจา และ เจริญสัมมาสังกัปปะ)
  2. เมื่อกำหนดตั้งศีลขึ้นมาแล้ว ให้เพียรหมั่น (เจริญสัมมาวายามะ) ทำความมีสติ (เจริญสัมมาสติ) เพื่อรับรู้ การเกิดขึ้นในจิต ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของการละเมิดศีล เมื่อมีผัสสะมากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ
  3. เมื่อเกิด “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของการละเมิดศีล ในจิตแล้ว
ให้ทำจิตใจ ให้สงบ ให้ตั้งมั่น ให้เป็นสมาธิ ให้ไม่หวั่นไหว ให้ไม่กระเพื่อมไหว ให้ไม่ปรุงแต่ง (สังขาร) ไปตามอำนาจของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่กำลังเกิดขึ้นในจิต

ทำความรับรู้ “การเกิดชึ้น ตั้งอยู่ และ การดับลงไป” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” โดยไม่ปรุงแต่งตาม

เป็นการทำความระงับดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดศีล (เจริญสัมมาสมาธิ)

 
  1. เพียรหมั่นเพ่งพิจารณา (เจริญสัมมาทิฏฐิ หรือ เจริญปัญญา) เพื่อให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง จนชัดแจ้งที่ใจ (โยนิโสมนสิการ) ในความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” จนเกิดการละหน่ายคลาย และ เกิดการปล่อยวางได้ (พ้นสักกายทิฏฐิ) จนหมดสิ้นความลังเลสงสัยใน ความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” (พ้นวิจิกิจฉา) และ จนทำให้ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ค่อยๆลดลง จางคลายลง และ ดับสิ้นไป ทำให้ศีลกลายเป็นปกติของตน (พ้นสีลัพพตปรามาส)
 
***************
 
การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” ตามที่กล่าวมาข้างต้น
 
เป็นสิ่งที่ผู้เขียน เพียรพยายามศึกษาและทำความเข้าใจ แล้วนำมายึดถือปฏิบัติ
 
อาจมีความแตกต่าง จากที่ท่านผู้อ่าน ได้เคยรับรู้มาก่อน
 
ผู้เขียนไม่ได้ต้องการ ให้ท่านผู้อ่าน หลงเชื่อตาม

จงอย่าหลงเชื่อตาม สิ่งใดๆ โดยง่าย

โดยไม่ผ่านการพิจารณาไตร่ตรอง โดยรอบคอบ

และ โดยไม่ผ่านการพิสูจน์ให้เห็นจริง ด้วยตนเอง
 
จงยึดหลัก “กาลามสูตร” ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้

วัตถุประสงค์หลัก ของการนำเสนอบทธรรมนี้ คือ
 
เพื่อ “ให้เป็นแง่คิดมุมมองหนึ่ง” ของการศึกษาธรรมและการปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์
 
ชาญ คำพิมูล




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2568    
Last Update : 14 มิถุนายน 2568 6:35:42 น.
Counter : 176 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

147. ชีวิตล่วงผ่านพ้น 64 ปี



ผู้เขียน เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
 
ที่เกิดมาแล้ว “มีความทุกข์

เพราะ “มีความทุกข์
 
จึงเพียรพยายาม ค้นหา “วิธีการดับทุกข์ (พ้นทุกข์)

เพราะเพียรพยายาม ค้นหา “วิธีการดับทุกข์ (พ้นทุกข์)
 
จึงได้พบกับ “หนทางสู่ความดับทุกข์ (พ้นทุกข์) คือ อริยมรรคมีองค์ 8


เพราะได้พบกับ “หนทางสู่ความดับทุกข์ (พ้นทุกข์) คือ อริยมรรคมีองค์ 8
 
จึงเพียรพยายาม เดินไปตาม “หนทางสู่ความดับทุกข์ (พ้นทุกข์) คือ อริยมรรคมีองค์ 8
 
***************
 
การเดินไปตาม “หนทางสายโลก เพื่อแสวงหา ความสุขในทางโลก (โลกียสุข)
ยิ่งเดินไปข้างหน้า ยิ่งทุกข์ ยิ่งเครียด ยิ่งเหนื่อย ยิ่งล้า ยิ่งหนัก ยิ่งมองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง อันเป็นที่สิ้นสุด
 
การเดินไปตาม หนทางสู่ความดับทุกข์ (สายธรรม) คือ อริยมรรคมีองค์ 8”
 
ยิ่งเดินไปข้างหน้า ยิ่งสุข ยิ่งสงบ ยิ่งเบา ยิ่งสบาย ยิ่งใกล้จุดหมายปลายทาง อันเป็นที่สิ้นสุด คือ ความดับทุกข์ (พระนิพพาน)”
 
***************
 
ชีวิตของผู้เขียน ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว
 
ผู้เขียน ไม่มีเป้าหมายใดๆในทางโลกแล้ว
 
ผู้เขียน มีเป้าหมายในทางธรรม เพียงประการเดียว
 
ที่กำลังเพียรทำให้ได้ เพียรไปให้ถึง คือ “ความดับทุกข์
 
***************
ชีวิตคนเรานี้
 
ไม่ได้ยืนยาวมากเลย
 
มีน้อยคนนัก ที่จะมีชีวิตอยู่ ยืนยาวถึง 100 ปี หรือ เกินกว่า 100 ปี
 
แม้ว่า จะมีชีวิตอยู่ ยืนยาวถึง 100 ปี หรือ เกินกว่า 100 ปี
 
ก็ใช่ว่า จะยาวนานมาก
 
เพราะ วันเวลาของชีวิต ล่วงผ่านพ้นไป ไวจริงๆ
 
ประเดี๋ยววัน ประเดี๋ยวเดือน ประเดี๋ยวปี
 
***************
 
วันเวลาของชีวิต ล่วงผ่านพ้นไป 1 วัน ชีวิตเราสั้น ลงไป 1 วัน
 
วันเวลาของชีวิต ล่วงผ่านพ้นไป 1 เดือน ชีวิตเราสั้น ลงไป 1 เดือน
 
วันเวลาของชีวิต ล่วงผ่านพ้นไป 1 ปี ชีวิตเราสั้น ลงไป 1 ปี
 
จากข้อมูลที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน
 
อายุขัยคาดเฉลี่ยของคนไทย คือ 77 ปี (ชาย 73.5 ปี หญิง 80.5 ปี)
 

(ข้อมูลจาก สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล)
 
********************
 
ผู้เขียน ไม่ได้มีความปรารถนา
 
ที่จะมีอายุขัยอยู่ ยืนยาวถึง 100 ปี หรือ เกินกว่า 100 ปี
 
หากผู้เขียนเลือกได้
 
ผู้เขียนขอเลือก มีอายุขัยประมาณ 70 ปี
 
เพราะ การมีอายุขัย ที่ยืนยาวเกินกว่า 70 ปี
 
ไม่ใช่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ และ ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดี (ในมุมมองของผู้เขียน)
 
***************
 
เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ร่างกายของคนเรา จะเสื่อมโทรมมากขึ้น และ มีการเจ็บป่วยมากขึ้น เป็นธรรมดา
 
ไม่ว่าเรา จะดูแลร่างกายของเรา อย่างไร? ดีแค่ไหน?
 
สุดท้ายแล้ว ก็ต้องแก่ ต้องเฒ่า ต้องเจ็บป่วย ต้องตาย และ ต้องนำเอาไปเผา
 
***************
 
ชีวิตคนเรานี้ น้อยนัก สั้นนัก และ ไม่แน่นอน
 
ผู้เขียน ไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้ว่า ชีวิตของผู้เขียน เหลืออยู่เท่าใด?
 
ผู้เขียน จะตายเมื่อใด? ผู้เขียน จะตายอย่างไร? และ ผู้เขียน จะตายที่ไหน?
 
ถ้าผู้เขียน มีอายุขัย 70 ปี
 
ผู้เขียน จะมีวันเวลาของชีวิต เหลืออีกแค่เพียง 6 ปี
 
ผู้เขียน ขอใช้วันเวลาของชีวิต ที่มีเหลืออยู่ ไม่มากนักนี้
 
ให้มีคุณค่าประโยชน์ต่อชีวิต ทั้งในชาตินี้ และ ชาติต่อๆไป
 
ด้วยการเพียรหมั่น เดินไปตาม “หนทางสู่ความดับทุกข์ คือ อริยมรรคมีองค์ 8
 
***************
“บุคคลผู้เกิดมาแล้ว ไม่ตาย ไม่มี”
 
การตาย” คือ การเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ตามกรรมตามวิบาก ตามเวลาอันควร เท่านั้นเอง
 
การเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิของคนเรา” จะขึ้นอยู่กับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน
 
ที่มีอยู่ภายในจิตใจ หรือ ที่ครอบงำจิตใจอยู่ ก่อนตาย
 
***************
 
ผู้เขียนไม่มีความกังวลใจใดๆ
 
หากผู้เขียนจะต้องตายจากโลกนี้ไป
 
เพราะผู้เขียน มีความเชื่อมั่นว่า
 
การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8
 
จะช่วยนำพาชีวิตของผู้เขียน
 
ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ดีขึ้น อย่างแน่นอน
 
ชาญ คำพิมูล
24 พฤษภาคม 2568




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2568    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2568 7:41:30 น.
Counter : 254 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

146. ทางเดินไปสู่ “ความดับทุกข์” คือ “อริยมรรคมีองค์ 8” ตอนที่ 6



การทำความดับทุกข์ คือ การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8

ด้วยการปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

ให้เกิดเป็น “อธิศีล (ศีลที่ยิ่ง) อธิจิต (จิตที่ยิ่ง) และ อธิปัญญา (ปัญญาที่ยิ่ง)

 
********************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

คือการปฏิบัติ เพื่อปรับเปลี่ยน “การงานอาชีพ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม

ที่มีปกติเป็น “บาปอกุศล (มิจฉา)

ให้มีปกติเป็น “กุศล (สัมมา)


********************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

คือการทำความเห็น ให้ถูก ให้ตรง ให้เป็นสัมมา

ให้พ้นสักกายทิฏฐิ ให้พ้นวิจิกิจฉา ให้พ้นสีลัพพตปรามาส ให้พ้นกามราคะ ให้พ้นปฏิฆะ

ให้พ้นรูปราคะ ให้พ้นอรูปราคะ ให้พ้นมานะ ให้พ้นอุทธัจจะ และ ให้พ้นอวิชชา
เพื่อชำระล้าง หรือ เพื่อดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน

ในระดับหยาบ (วีติกกมกิเลส) ระดับกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) และ ระดับละเอียด (อนุสัยกิเลส)

ที่เป็นมูลเหตุของ “อกุศลกรรมและความทุกข์” ทั้งหลาย

ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ (เพื่อทำจิตใจ ให้ผ่องแผ้ว)


********************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

คือการเจริญ สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ สัมมาสมาธิ และ สัมมาทิฏฐิ

โดยใช้การเจริญ สัมมาวายามะ (สัมมัปปธาน 4) และ สัมมาสติ (สติปัฏฐาน 4) ร่วมด้วย
 
********************
 
การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8

ด้วยการปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

จะทำให้เกิด การบรรลุธรรมตามลำดับ คือ

1.พระโสดาบัน (สมณะผู้ไม่หวั่นไหว)

2.พระสกิทาคามี (สมณะเหมือนดอกปุณฑริก)

3.พระอนาคามี (สมณะเหมือนดอกปทุม)

4.พระอรหันต์ (สมณะผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะ)
 
********************
 
3. บุคคลเป็นสมณะเหมือนดอกปทุม
 
บุคคลเป็นสมณะเหมือนดอกปทุม หมายถึง พระอนาคามี

“พระอนาคามี เป็นโอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไป จะปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก”

พระอนาคามี คือผู้ปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” จนละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) 5 ประการได้แล้ว ได้แก่ “สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ และ ปฏิฆะ
 
พระอนาคามี คือผู้ละ “ปฏิฆะ” ได้หมดสิ้นแล้ว ไม่หลงเหลือ “ความไม่ชอบใจไม่พอใจ” (อรติ) แล้ว และ ไม่หลงเหลือ “ปฏิฆะ ที่นอนเนื่องอยู่ในจิต” แล้ว (ดับปฏิฆานุสัยได้แล้ว)
 
พระอนาคามี คือผู้ละ “กามราคะ” ได้หมดสิ้นแล้ว ไม่หลงเหลือ “ความยินดีในกาม” (กามฉันทะ) แล้ว และ ไม่หลงเหลือ “กามราคะ ที่นอนเนื่องอยู่ในจิต” แล้ว (ดับกามราคานุสัยได้แล้ว)

พระอนาคามี ได้ชื่อว่า เป็นผู้ดับ “กามภพ” ได้แล้ว ไม่มีการเวียนเกิดใน “กามภพ” อีกแล้ว
 
********************

โอปปาติกะ [โอปะ] น. ผู้เกิดผุดขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยอดีตกรรม  ได้แก่ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย อุปปาติกะ ก็เรียก. (ป.). (พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน)
 
ปฏิฆะ (มค. ปฏิฆ) น. ความขัดใจ เป็นอาการของจิตอย่างหนึ่ง หากระงับไว้ไม่ได้ จะกลายเป็นความโกรธและพยาบาทต่อไป เมื่อจิตของเรา ไม่พอใจกับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง (อรติ) แล้ว หากไม่ระงับความไม่พอใจนั้นเสีย ก็จะเกิดปฏิฆะ คือ ความขัดใจ หมายถึง จิตไม่อาจลืมอารมณ์นั้นเสีย (พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร)
 
ชาญ คำพิมูล
11 พฤษภาคม 2568 วันวิสาขบูชา

 




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2568    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2568 9:58:30 น.
Counter : 169 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

145. โอวาทปาติโมกข์ 3 บทสรุปของการปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์




พระพุทธองค์ ได้ทรงแสดง “โอวาทปาติโมกข์ 3” ในวันมาฆบูชา
 
โอวาทปาติโมกข์ 3 ได้ชื่อว่า “เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
 
เพราะเป็น “บทสรุปของการปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์
 
***************
 
โอวาทปาติโมกข์ 3 ประกอบด้วย

1. การไม่ทำบาปทั้งปวง

2. การทำกุศลให้ถึงพร้อม

3. การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
 
***************
 
คนเราเกิดมา เพื่อมารับผลของกรรม ที่ตนได้เคยกระทำ สั่งสมเอาไว้ ในชาติก่อนๆ
 
กรรมดี หรือ การกระทำดี ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ (กุศลกรรม) มีผลเป็น “วิบากกรรมดี” หรือ “กุศลวิบาก
 
วิบากกรรมดี หรือ กุศลวิบาก หมายถึง การได้รับ และ การได้ประสบกับ “สิ่งที่ดีๆทั้งหลาย” (ทำให้ชีวิตเป็นสุข)
 
กรรมไม่ดี หรือ การกระทำไม่ดี ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ (อกุศลกรรม) มีผลเป็น “วิบากกรรมไม่ดี” หรือ “อกุศลวิบาก”
 
วิบากกรรมไม่ดี หรือ อกุศลวิบาก หมายถึง การได้รับ และ การได้ประสบกับ “สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย” (ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์)
 
***************
 
เมื่อคนเราเกิดมาแล้ว
 
คนเราก็จะทำ ทั้ง “กรรมดี (กุศลกรรม)” และ “กรรมไม่ดี (อกุศลกรรม)” คละเคล้ากันไป
 
ทำให้ต้องเวียนวน กลับมาเกิดอีก
 
เพื่อมารับผลของกรรม ที่ตนได้เคยกระทำ สั่งสมเอาไว้
 
เป็นความสุขและความทุกข์ คละเคล้ากันไปอีก
 
ทำให้ชีวิต ต้องเวียนวน อยู่ในวังวนของ “ความสุข (โลกียสุข) และความทุกข์” ไม่มีที่สิ้นสุด เป็น “วัฏสงสาร
 
***************
 
ถ้าต้องการจะทำความดับทุกข์

ต้องปฏิบัติตาม “โอวาทปาฏิโมกข์ 3” ทั้ง 3 ข้อ คือ

1. ไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง ทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ หมายถึง ไม่สร้างอกุศลวิบาก หรือ วิบากกรรมที่ไม่ดี มาเติมเพิ่มให้กับชีวิต
 
2. ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ หมายถึง หมั่นสร้างกุศลวิบาก หรือ วิบากกรรมดี มาเติมเพิ่มให้กับชีวิต
 
3. ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว หมายถึง หมั่นชำระล้าง หรือ หมั่นทำความดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่มีอยู่ภายในจิตใจ หรือ ที่ครอบงำจิตใจอยู่ ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ เพื่อทำให้จิตใจ ใสสะอาด ปราศจาก “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” เพราะ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” คือ มูลเหตุของ “อกุศลกรรมและความทุกข์” ทั้งหลาย
 
***************
 
การปฏิบัติตาม “โอวาทปาฏิโมกข์ 3” ทั้ง 3 ข้อ คือ การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” ด้วยการปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ
 
การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ เป็นการปฏิบัติเพื่อปรับเปลี่ยน “การงานอาชีพ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม” ที่มีปกติเป็น “บาปอกุศล (มิจฉา)” ให้มีปกติเป็น “กุศล (สัมมา)
 
การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ เป็นการทำความเห็น ให้ถูก ให้ตรง ให้เป็นสัมมา ให้พ้นสักกายทิฏฐิ ให้พ้นวิจิกิจฉา ให้พ้นสีลัพพตปรามาส ให้พ้นกามราคะ ให้พ้นปฏิฆะ ให้พ้นรูปราคะ ให้พ้นอรูปราคะ ให้พ้นมานะ ให้พ้นอุทธัจจะ และ ให้พ้นอวิชชา เพื่อชำระล้าง หรือ เพื่อดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ในระดับหยาบ ระดับกลาง และ ระดับละเอียด ที่เป็นมูลเหตุของ “อกุศลกรรมและความทุกข์” ทั้งหลาย ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ (ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว)
 
การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ เป็นการเจริญสัมมาอาชีวะ เจริญสัมมากัมมันตะ เจริญสัมมาวาจา เจริญสัมมาสังกัปปะ เจริญสัมมาสมาธิ และ เจริญสัมมาทิฏฐิ โดยใช้การเจริญสัมมาวายามะ (สัมมัปปธาน 4) และ การเจริญสัมมาสติ (สติปัฏฐาน 4) ร่วมด้วย  
 
ชาญ คำพิมูล
12 กุมภาพันธ์ 2568 วันมาฆบูชา

 




 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2568    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2568 6:10:53 น.
Counter : 343 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

144. พ.ศ. 2568 ปี พ.ศ. ที่ 64 ของชีวิต



ก่อนเริ่มต้นปีใหม่ ปี พ.ศ. 2568
 
เราควรทบทวน สิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิต ดังนี้
 

  1. เราได้เข้าใจจนชัดแจ้ง ในสิ่งที่ควรทำความเข้าใจ ให้ชัดแจ้ง แล้วหรือยัง?
 
  1. เราได้เรียนรู้จนชัดแจ้ง ในสิ่งที่ควรเรียนรู้ ให้ชัดแจ้ง แล้วหรือยัง?
 
 
  1. เราได้ทำ ในสิ่งที่เราควรทำ แล้วหรือยัง?
 
  1. เรามีความก้าวหน้า ในสิ่งที่เราควรทำ หรือไม่?
 
  1. ในปีใหม่นี้ มีอะไร? ที่เราควรทำความชัดแจ้ง ให้ชัดแจ้ง
 
  1. ในปีใหม่นี้ เราควรจะดำเนินชีวิต อย่างไร? เพื่อให้เกิดความก้าวหน้า ในสิ่งที่เราควรทำ
 
***************
 
สิ่งที่ควรทำความเข้าใจ ให้ชัดแจ้ง คือ คนเราเกิดมาเพื่ออะไร? อะไร? ที่ทำให้ชีวิตของคนเรา มีความแตกต่างกัน มีความสุขมีความทุกข์แตกต่างกัน และ อะไร? คือ "ความสุขที่แท้จริง" ที่เราควรมุ่งแสวงหา
 
สิ่งที่ควรเรียนรู้ คือ เรียนรู้ทุกข์ เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ เรียนรู้ความดับทุกข์ และ เรียนรู้วิธีการดับทุกข์
 
สิ่งที่ควรทำ คือ ทำความดับทุกข์
 
การทำความดับทุกข์ คือ การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” ด้วยการปฏิบัติศีล สมาธิ และ ปัญญา ให้สูงขึ้นโดยลำดับ เพื่อชำระล้าง หรือ เพื่อดับ กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน ในระดับหยาบ ระดับกลาง และ ระดับละเอียด ที่เป็นมูลเหตุของความทุกข์
 
การปฏิบัติศีล สมาธิ และ ปัญญา ให้สูงขึ้นโดยลำดับ ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย และ ต้องมองให้เห็นมรรคผล (ความก้าวหน้า) แม้มีประมาณน้อย
 
***************
 
เพราะวันเวลาของชีวิต ล่วงผ่านพ้นไป ไวจริงๆ
 
ประเดี๋ยววัน ประเดี๋ยวเดือน ประเดี๋ยวปี
 
เพราะชีวิตคนเรานี้ น้อยนัก สั้นนัก และ ไม่แน่นอน
 
ดังนั้น เราจึงไม่ควรประมาท ในการดำเนินชีวิต
 
เราไม่ควรประมาทว่า เรายังหนุ่มอยู่ เรายังสาวอยู่ เรายังแข็งแรงดีอยู่
 
เราควรใช้วันเวลาของชีวิต ที่มีเหลืออยู่ไม่มากนักนี้ ให้มีคุณค่าประโยชน์ต่อชีวิต
 
ด้วยการทำความชัดแจ้ง ในสิ่งที่ควรทำความชัดแจ้ง
 
ด้วยการเรียนรู้ ในสิ่งที่ควรเรียนรู้
 
และ ด้วยการเพียรทำ ในสิ่งที่ควรทำ
 
***************
 
ถ้าเรา ไม่เดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8
แล้วเรา จะถึงจุดหมายปลายทาง คือ “ความดับทุกข์” ได้อย่างไร?
เพราะ “อริยมรรคมีองค์ 8” คือ “หนทางสู่ความดับทุกข์
 
เตสัง วูปสโม สุโข ความระงับดับเสีย ซึ่งสังขาร (การปรุงแต่งทางจิตใจ) ทั้งหลาย นั้นแล เป็นสุขอย่างยิ่ง
 
นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง (บรมสุข)

ชาญ คำพิมูล
31 ธันวาคม 2567

 




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2567    
Last Update : 31 ธันวาคม 2567 8:11:18 น.
Counter : 757 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.