138. ทางเดินไปสู่ ความดับทุกข์ คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ตอนที่ 4
การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” เพื่อทำความดับทุกข์ โดยใช้ “อริยมรรคมีองค์ 8” เป็นแนวทางในการปฏิบัติ จะทำให้เกิด “การบรรลุธรรม” ตามลำดับ คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์ *************** “การบรรลุธรรม” ตามลำดับ จะใช้ “สังโยชน์ 10” เป็นเกณฑ์ ดังที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสเอาไว้ ใน “สังโยชน์สูตร” ดังนี้ ๘. สังโยชน์สูตร
ว่าด้วย ผู้สิ้นสังโยชน์
[๘๘] ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก บุคคล ๔ จำพวกไหนบ้าง คือ
๑. บุคคลเป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหว
๒. บุคคลเป็นสมณะเหมือนดอกปุณฑริก
๓. บุคคลเป็นสมณะเหมือนดอกปทุม
๔. บุคคลเป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะ
บุคคลเป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหว เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ ประการสิ้นไป ไม่มีทางตกต่ำ มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า บุคคลเป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหว เป็นอย่างนี้แล
บุคคลเป็นสมณะเหมือนดอกปุณฑริก เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ ประการสิ้นไป เพราะราคะโทสะและโมหะเบาบาง มาสู่โลกนี้อีกเพียงครั้งเดียว ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลเป็นสมณะเหมือนดอกปุณฑริก เป็นอย่างนี้แล
บุคคลเป็นสมณะเหมือนดอกปทุม เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นโอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไป จะปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก บุคคลเป็นสมณะเหมือนดอกปทุม เป็นอย่างนี้แล
บุคคลเป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะ เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน บุคคลเป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะ เป็นอย่างนี้แล
ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
สังโยชน์สูตรที่ ๘ จบ
{ที่มา: โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๑ หน้า :๑๓๔-๑๓๕} *************** สังโยชน์ หมายถึง น. เครื่องพัวพัน, เครื่องผูกรัด, หมายเอากิเลสที่ผูกคนไว้กับวัฏสงสาร มี ๑๐ อย่าง มีสักกายทิฐิ เป็นต้น พระอริยบุคคลเมื่อละสังโยชน์เป็นลําดับจนหมด ก็เป็นพระอรหันต์
...ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน *************** สังโยชน์ 10 ประกอบด้วย
1. สักกายทิฏฐิ หมายถึง การยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนของตน หรือ เป็นของของตน
2. วิจิกิจฉา หมายถึง ความลังเลสงสัยไม่แน่ใจ
3. สีลัพพตปรามาส หมายถึง การถือศีลแบบลูบๆคลำๆ การถือศีลตามหลักศาสนาหรือตามประเพณีนิยม เป็นการถือศีลหรือการปฏิบัติศีล ที่ไม่ก่อให้เกิด "มรรคผล" คือ ไม่ทำให้ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ลดลง จางคลายลง และ ดับสิ้นไป จนทำให้ศีล กลายเป็นปกติของตน (ไม่ต้องยึดไม่ต้องถือ) 4. กามราคะ หมายถึง ความกำหนัดในกาม ความหลงใหลติดใจในกาม ความใคร่อยากในกาม (กามเมถุน กามคุณ 5)
5. ปฏิฆะ หมายถึง ความเคืองใจ ความขัดใจ
6. รูปราคะ หมายถึง ความหลงใหลติดใจใคร่อยากในความสุข ที่เกิดจากรูปฌาน หรือ ความสุขที่เกิดขึ้นในจิต โดยอาศัยรูปในจิต (นามรูป)
7. อรูปราคะ หมายถึง ความหลงใหลติดใจใคร่อยากในความสุข ที่เกิดจากอรูปฌาน หรือ ความสุขที่เกิดขึ้นในจิต โดยไม่อาศัยรูป
8. มานะ หมายถึง ความถือตัวยกตนข่มท่าน
9. อุทธัจจะ หมายถึง ความฟุ้งซ่านของจิต
10. อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้จริงจนชัดแจ้งที่ใจ ใน “ความทุกข์ ความเกิดแห่งกองทุกข์ ความดับแห่งกองทุกข์ และ วิธีการทำความดับแห่งกองทุกข์” จึงทำให้เกิด “การปรุงแต่ง (สังขาร)” ไปตามอำนาจของกิเลส จนทำให้เกิด “การยึดมั่นถือมั่นไปตามอำนาจของกิเลส (อุปาทาน)”
ชาญ คำพิมูล
Create Date : 11 พฤษภาคม 2567 | | |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2567 4:47:15 น. |
Counter : 174 Pageviews. |
| |
|
|
|