ถ้าขจัดความกลัวออกไปได้ ไม่นานความสำเร็จก็จะตามมา
Group ตัวอย่าง
<<
พฤศจิกายน 2555
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
26 พฤศจิกายน 2555
นวนิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 27
จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ 9
นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๘
นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๗
นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๖
นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๕
นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๔
นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๓
นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๒
นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๑
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 32
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 31
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 30
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 29
นวนิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 28
นวนิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 27
อดีตรักเหมืองป่า บทที่ 26
อดีตรักเหมืองป่า บทที่ 25
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 24
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 23
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 22
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 21
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 20
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 19
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 18
นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 17
นิยาย /อดีตรักเหมืองปา ตอนที่ 16
นิยาย /อดีตรักเหมืองปา ตอนที่ 15
เรื่องสั้น/ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว
นิยาย อดีตรักเหมืองปา ตอนที่ 14
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 13
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 12
เรื่องสั้นตกรอบครับ
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 11
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 10
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 9
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 8
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 7
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 6
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 5
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 4
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 3
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 2
นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 1
เรื่องสั้น/คืนวันล่องไหลชั่วกะพริบตา
เรื่องสั้น-ดักไซแห้ง
นวนิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 27
การเรียนแบบเดินหาห้องเรียนของผมรอบนี้ เป็นปัญหาสำหรับผมอย่างมาก เพราะผมไม่ได้เข้าเรียนอย่างปรกติเหมือนคนอื่น แต่เป็นการเรียนซ่อมรายวิชา ต้องพลอยห้องเรียนรุ่นน้องปีที่แล้วที่เขยิบขึ้นมาอยู่ปีที่ 2 ในปีนี้ จึงต้องสลับห้องสลับวิชากันวุ่นวาย ตารางเรียนวิชาต่าง ๆ ที่ผมยังไม่ได้เรียน ไม่ระบุตรงกับห้องเรียนใดห้องเรียนหนึ่งโดยเฉพาะ สมมติเช้านี้ ผมจะต้องเรียนสังคม 1 ผมก็ต้องไล่จัดตารางเรียนเอาเองว่า สังคม 1 ชั่วโมงแรกมันตรงกับชั้นไหน ซึ่งตอนนั้นเขาเรียกกันเป็น F... F1 F2 F3 ต่อกันไปเรื่อย จนถึง F 21 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้าย ผมก็ต้องดูว่า อ้ายสังคม 1 ของผมนี้ ชั่วโมงแรกในรอบเช้ามันจะไปตรงกับ F ไหน แล้วผมก็เดินตามไปเรียนห้องเดียวกับเขา
เขาเรียกว่าพวก "ทองพลอย"
บางวันเจ้าทองพลอยได้เรียน แค่ 3-4 วิชาเท่านั้น เพราะชั่วโมงเรียนมันซ้อนกัน จัดยังไงก็จัดไม่ลง แถมอุตส่าห์วิ่งเต้นขอไปเรียนกับพวกภาคค่ำด้วย ก็ไม่อาจเข้ารูปเข้ารอย
ปีนี้ผมจะเรียนไม่จบหลักสูตรแน่นอน อย่างน้อยต้องบวกเพิ่มอีกเทอม ไม่นับเทอมที่ต้องออกฝึกสอนอีกต่างหาก ก็เลยทำให้อ่อนล้าไปในที่สุด
เดือนแรกผ่านไปอย่างโหวงเหวงในอารมณ์ แม้ผมจะไม่ใช่คนซีเรียสง่ายดายเหมือนผู้อื่น แต่เมื่ออยู่ในห้องเรียนก็มิอาจพูดจาเล่นหัวกับเด็กรุ่นน้องได้สนิทใจนัก โดยเฉพาะพวกที่ค่อนไปทางขี้มัน(เห็นแก่ตัว) เวลาทำกิจกรรมก็แอบไปมุบมิบทำกันแต่พวก ทำให้ผมหากลุ่มยาก เพราะกะล่อนไม่เป็น มีอะไรก็เว้ากันซื่อ ๆ โผงผาง บางทีก็ไปขัดหูเขา โต้แย้งก็สู้เหตุผลผมไม่ได้ ยิ่งกลายเป็นกำแพงปิดกั้นกันมิตรภาพหนักขึ้น นาน ๆ เข้า ก็รู้สึกจะกลายเป็นแกะขาวไปเสียแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ผมไม่สุงสิงกับใครเลย ไม่ใช่เข็ด! แต่ดู ๆ แล้วพวกเขาค่อนข้างจะสุดโต่งไปสักหน่อย อ้ายที่ซ้ายก็ซ้ายอย่างบ้าระห่ำ อ้ายที่ขวาก็ขวาตกขอบ อ้ายที่เฉย ๆ เห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง... ผมเข้าห้องเรียนสายไปซักสองสามนาที ถามมันว่าสมุดลงชื่ออยู่ที่ไหน? ส่งอาจารย์หรือยัง? มันก็ไม่บอก...
สมัยนั้นการลงชื่อในสมุดลงชื่อประจำชั่วโมงเรียน แต่ละชั่วโมง แต่ละอาจารย์ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาจารย์แต่ละท่านจะนำไปพิจารณาเป็นส่วนประกอบในการตัดเกรด
ว่ากันว่า สมัยนั้นใครเรียนครูก็ขอให้เข้าเรียนทุกชั่วโมง อย่าโดดเรียน โอกาสที่จะติด E หรือสอบไม่ผ่านแทบไม่มีเลย
จริงเท็จอย่างไรผมไม่ยืนยัน เพราะผมไม่เข้าใจระบบตัดเกรดของอาจารย์มากนัก อีกทั้งไม่เคยวิ่งขอเกรดกับเขาเลยสักครั้ง
พอย่างเข้าเดือนที่สอง ความอดทนในการเดินเรียนร่วมกับพวกน้อง ๆ ก็ชักจะหมดลงไปเรื่อย แม้จะเอาทางพระเข้าข่มก็เอาไม่อยู่ เมื่อตอนเรียนอยู่ปีแรก พอมีเวลาว่างก็มักจะแวบเข้าห้องสมุดหาหนังสืออ่านใฝ่หาความรู้ แต่ตอนนี้ไม่อย่างนั้น... พอว่างก็มักจะแวบเข้าเมือง ไปดูหนัง... รอบเที่ยง รอบบ่าย รอบดึก ดูหมด ตั้งแต่หนังไทยยันหนังฝรั่ง หนังจีน กระทั่งหนังอินเดีย... ดูไปดูมา ก็มีอีแม่สาวเดินตั๋วหน้าตาจิ้มลิ้มรายหนึ่งคอยยักตั๋วไว้ให้ พอหนังในโรงของหล่อนเปลี่ยนโปรแกรม เราก็เจอหน้ากัน เป็นเหตุให้อ้ายเสือนุ้ยชักจะอยู่ วค. ไม่ติด ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องนั่งรถสองแถวเข้าในเมือง บางครั้งก็ขอให้หล่อนลางาน ชวนกันไปดูหนังโรงอื่น... และจบลงที่โรงแรม
กระทั่งเดือนสุดท้ายสอบปลายภาคเรียน เสือนุ้ยติด E สี่วิชารวด!
คราวนี้อย่าว่าแต่ปีครึ่งเลย ต่อให้อีก 2 ปีก็ไม่รู้จะเรียนจบหลักสูตรหรือไม่? เพราะเขากำหนดให้เรียนหลักสูตรละไม่เกิน 4 ปี ถ้าไม่จบก็รีไทร์
ผมก็เลยตัดสินใจแบบโง่ ๆ
ลาออกดีกว่า อย่าอยู่รอให้เขาไล่ตะเพิดต่อไปเลย เสียยี่ห้อ
ยื่นใบลาออกและได้ใบสุทธิชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 คืนจากแผนกทะเบียนและวัดผลเสร็จ ก็เป็นอันเสร็จพิธี นายนุ้ยก็หมดสภาพจากนักศึกษา กลายเป็นสุนัขสองเท้าเต็มขั้น สะพายกระเป๋าใบย่อม ๆ สองใบ กับขลุ่ยประจำกายเลาหนึ่งโบกรถเมล์กลับบ้าน... ทิ้งวิทยาลัยครูฯสถานศึกษาที่เคยใฝ่ฝันอยากจะเข้ามาศึกษามาตั้งแต่เด็ก ๆ กระทั่งเพื่อน ๆ และสาวเดินตั๋วโรงหนังอันเป็นที่รักไว้ข้างหลัง...
ลาก่อน...
ผมบอกลาทุกสิ่งด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำ ต่อไปนี้เราคงต้องกลายเป็นอดีตต่อกันแล้ว แม้ผมยังรักและจะรำลึกถึงอดีตอันขมขื่นนี้อยู่เสมอ และไม่เคยคิดโทษใคร นอกจากตัวผมเอง...ที่เสือกเกิดมาเป็นตัวผม...
พ่อและแม่นั่งน้ำตาคลอเบ้า แต่ไม่ได้กล่าวตำหนิลงโทษลูกชายแม้แต่คำเดียว
"ทำสวนกับพ่อก็ได้" พ่อว่า "ถ้าเราทำให้จริงจัง เมื่อสวนได้รับผล พ่อรับรอง- -แม้แต่เงินเดือนนายอำเภอก็สู้เราไม่ได้"
แต่แม่ไม่เห็นด้วยกับพ่อ
"อายุยังน้อย ถ้าคิดจะตั้งต้นเรียนใหม่ที่ไหนสักแห่งก็ยังไม่สาย"
"ผมอยากขึ้นกรุงเทพฯ" ผมพูด "จะไปเรียนศึกษาผู้ใหญ่ให้จบระดับ 5 แล้วต่อรามฯ"
"จะเข้าเรียน กศน. ทำไมต้องไปไกลถึงกรุงเทพฯ บ้านเราก็มี ไม่ต้องเปลืองค่าใช้จ่าย" แม่ออกความเห็น
"ผมจะพาสาวบัวไปด้วย จะให้เธอเรียนศึกษาผู้ใหญ่ด้วยกันกับผม" ผมบอกเหตุผล "เราจะหางานทำ เพราะศึกษาผู้ใหญ่เขาเรียนกันตอนเย็นหลังเลิกงานถึงสามทุ่ม ถ้าเรียนที่นี่ สาวบัวก็ไม่รู้จะหางานอะไรทำ นอกจากร่อนแร่ในเหมือง ซึ่งมันอยู่ไกล"
"เรื่องนั้นแม่เข้าใจ" แม่ว่า "แต่ถ้าพลาดท่าพลาดทางเข้าอีก คราวนี้แหละได้เอาปิ๊บคลุมหัว"
พ่อหัวเราะ ฮา ฮา
"แล้วตอนนี้คลุมอะไรอยู่ล่ะ เขาว่ากันทั้งบ้าน ว่าไอ้นุ้ยหลงอีบัวจนไม่เป็นอันเรียน"
"ก็มันไม่จริง แล้วเราจะไปฟังเขาทำไม"
แม่ทำตาเขียว โดยไม่รู้ว่าเข้าทางของพ่อพอดี พ่อจึงหันมาทางผมแล้วพูดขึ้นว่า
"เช่นเดียวกัน ไปกรุงเทพฯถ้ามันเรียนไม่จบขึ้นมาอีก ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหัวใคร ไปเถอะลูก พยายามให้เต็มที่ก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็กลับมาบ้าน เรือกสวนไร่นาของเราก็มี มาช่วยกันสร้างช่วยกันทำ จะได้เก็บเงินส่งเสียให้น้อง ๆ ได้เรียนกันต่อไปอีก ส่วนเรื่องที่จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์ และทำให้ไม่มีเวลาว่างสำหรับจะเหลวไหล"
ต้นเดือนกันยายน 2519 ผมและสาวบัวก็นั่งรถทัวร์ขึ้นกรุงเทพฯด้วยกัน...
การเดินทางคราวนี้ผมได้เตรียมตัวอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องที่พักในกรุงเทพฯ ก็ได้พูดคุยกับเพื่อน ๆ ที่บ้านส้องไว้ก่อนแล้ว เพราะผมเรียนหนังสือจบชั้นมัธยมต้นที่นั่น เพื่อนร่วมรุ่นของผมหลายคนเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เมื่อเจอกันที่บ้านส้องก็ได้พูดคุยนัดแนะเรื่องที่อยู่ไว้เสร็จสรรพ คือซอยวัดดงมูลเหล็ก ย่านจรัญสนิทวงศ์ ฝั่งธนบุรี
แถวนี้ส่วนมากจะเป็นที่พักของพวกเด็กใต้ที่มาเรียนและมาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ
ผมได้ห้องเช่าเป็นห้องแถวชั้นเดียว พื้นที่ประมาณ 24 ตารางเมตร ที่เพื่อนพวกนั้นติดต่อไว้ให้ เป็นที่พักอาศัยอยู่กับสาวบัว วันแรก ๆ เมื่อพวกเขารู้ข่าวก็แห่มาเยี่ยมเป็นแถว คนไหนเรียนอาชีวะ ก็อยู่ชั้น ปวช. ปีสุดท้าย พวกเรียนมหาวิทยา ก็เพิ่งเป็นน้องใหม่ปีแรก
ตอนนั้น ผมนึกถึงตัวเองแล้วเศร้า เพราะถ้าไม่มีเรื่องบ้า ๆ พุ่งเข้ามาขัดแข้งขัดขาทำให้เป้าหมายของชีวิตเบี่ยงเบน ป่านนี่ก็คงได้แต่งชุดข้าราชการครูโก้หรูสมใจอยากไปแล้ว แต่นี่กลับต้องมาตั้งต้นใหม่ตามหลังพวกเพื่อน ๆ เขาอีก
คิดแล้วท้อเหมือนกัน!
แต่สาวบัวกลับไม่คิดอย่างนั้น หล่อนหัวเราะคิก ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องเรียนหนัง "ต่อไปนี้บัวก็เป็นสาวลงแล้ว"
"อะไรกัน... คนอื่นเขามีแต่สาวขึ้น แล้วนี่จะว่าเป็นสาวลงได้อย่างไร" ผมสงสัย
"อ้าว- ก็เค้าได้กลับไปเป็นเด็กนักเรียนอีกนี่นา ศึกษาผู้ใหญ่ระดับ 3 ก็เทียบเท่าชั้น ม.ศ. 3 ไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นอายุก็น่าจะไม่เกินสิบหกปี เห็นไหมล่ะ บัวสาวลงตั้งห้าปีแน่ะ"
"อ๋อ- -เล่นมุข งั้นดีล่ะ- คืนนี้ผมจะได้เมียเด็ก ฮา ฮา"
สาวบัวอายหน้าแดง หันซ้ายหันขวาคล้ายกับกลัวใครมาได้ยิน เพราะที่นี่ผู้คนพลุกพล่านทั้งวันทั้งคืน เสียงรถยนต์วิ่งอยู่บนถนนดังอื้ออึงตลอดเวลา ผิดกับเหมืองป่าที่เราจากมา ที่นั่นทั้งเงียบสงบ อากาศเย็นสดชื่นหายใจโล่งจมูก ต่างจากที่นี่ราวฟ้ากับดิน
วันสองวันแรก ผมกับสาวบัวก็ออกหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้จำพวกถ้วยจาน หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า กระติกไฟฟ้าสำหรับต้มน้ำร้อนชงกาแฟ กระทั่งมุ้งหมอนสารพัด หมดค่าใช้จ่ายไปพันกว่าบาท ที่เหลือก็ไปเปิดบัญชีธนาคารโดยใช้ชื่อผม
สาวบัวไม่ยอมเป็นเจ้าของบัญชี "ไม่คล่องตัวเหมือนนุ้ย" หล่อนให้เหตุผล
และเราสองคนก็โชคดีเหลือเกิน ที่เผอิญไปเปิดบัญชีฝากเงินกับธนาคารที่มีเพื่อนเก่าซี้ปึ๊กกันมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมด้วยกัน ทำงานเป็นพนักเดินสารอยู่ที่นั่น
เขาชื่อสนธิ ผมเรียกมันว่า "ไอ้สน" เป็นนักมวยเก่า เริ่มชกมวยตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยม ตระเวนชกไปทั่ว บางครั้งผมก็ตามไปเชียร์มันด้วย เมื่อชกเสร็จ ลงจากเวทีได้ค่าตัวครั้งละห้าร้อยหกร้อย มันก็เลี้ยงข้าวปลาพวกที่ตามไปจนพุงกาง
บางครั้งเมื่อชกชนะคู่ต่อสู้ นอกจากจะได้รางวัลจากผู้จัดแล้ว แถมได้รางวัลพิเศษจากเซียนมวยที่ชนะพนันอีกต่างหาก กระทั่งจบ ม.ศ.3 มันจึงเข้ากรุงเทพฯ หวังเอาดีทางนั้น แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็สู้ไม่ไหวกับการจ้างล้มมวย มันเล่าว่า จะขัดขืนก็ไม่ได้ เพราะเจ้าของค่ายรับเงินเขาไปแล้ว ในที่สุดเมื่อเจอผู้ใจบุญรับอุปการะและพาไปทำงานอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง มันก็แขวนนวม และหันหลังให้เวทีผืนผ้าใบอย่างเด็ดขาด
"กูก็เพิ่งสมัครเข้าเรียนศึกษาผู้ใหญ่ปีนี้เหมือนกัน มึงสองคนไปสมัครเรียนที่เดียวกับกูก็ได้ กูจะขอใบสมัครมาให้--ตกลงนะ"
สนธิพูดกับผมและสาวบัวด้วยสีหน้าเบิกบาน เพราะดีใจที่จะได้มีเพื่อนไปเรียนด้วยกัน
หลังจากนั้นมันก็เทียวมาเทียวไปที่ห้องพักของผมเป็นประจำ กระทั่งวันหนึ่งผมปรึกษาเรื่องอยากจะได้งานทำ...
ไอ้สนนั่งใช่สมองครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วว่า "เรื่องงานของน้องผู้หญิง น่าจะหาได้ง่ายกว่าของมึง..."
มันพูดแล้วยิ้มกวนตีนจนผมต้องชี้หน้าด่ามัน
"หัวทอ... อย่าบอกนะเว้ย ว่าจะพาเมียกูไปเป็นเด็กเสิร์ฟ"
"ไอ้สัตว์ พูด--banned-- ๆ"
นักมวยเก่าเผลอพูดกรุงเทพฯออกมาชัดถ้อยชัดคำ จนผมนึกขำ
"ยัดแม่ - หวางนี้แหลงข้าหลวงชับเลยนะมึง"
"เออ-ว่ะ กูลืมไป" ไอ้สนยิ้มอาย ๆ "ว่าแต่งานที่กูว่า ค่อนข้างไกลหน่อยนะ แต่เขามีเงินเดือน มีสวัสดิการ ประกันสังคมพร้อม"
"แล้วทำไมกูถึงไปสมัครกะเขาด้วยไม่ได้" ผมสงสัย
"มันเป็นโรงงานเย็บผ้า ที่เขารับเฉพาะผู้หญิงนะซี"
"อ๋อ - -เข้าใจล่ะ" ผมพยักหน้า "แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะรับเมียกู"
"ที่นั่นเป็นโรงงานของลูกพี่เก่าของกู คนที่กูเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ แกมีหุ้นใหญ่อยู่ในนั้น เมื่อก่อนกูก็เคยช่วยดูแลคนงาน-แล้วก็ช่วยขับรถให้แกอยู่พักหนึ่ง แต่แม่-ง วัน ๆ มันว่างซะจนไม่ได้หยิบจับอะไรเลย กูเลยเบื่อ แล้วขอให้แกช่วยหางานให้ใหม่... ก็ได้งานเดินสารของธนาคารนี้แหละ สมใจกูเลย... แม่-ง เดี๋ยวซิ่งไปโน่น เดี๋ยวซิ่งมานี่... ทั้งวัน-ไม่ได้อยู่นิ่ง วันนั้นโชคดีนะที่มึงไปเจอ เพราะได้จังหวะว่างนิดหนึ่ง... ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่างหวังได้เจอ นอกจากนัดแนะไว้ก่อน"
"งั้นก็วานช่วยเป็นธุระให้เมียกูหน่อยละกัน-เพื่อน"
ผมยื่นมือขวาออกไป
"โอเค เพื่อน"
เราสองคนจับมือและเขย่ากันอย่างแรง
******************************************************
Create Date : 26 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2555 19:07:06 น.
0 comments
Counter : 1003 Pageviews.
Share
Tweet
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
หลวงเส
Location :
สุราษฏร์ธานี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
ดอยสะเก็ด
diamondsky
บ้าได้ถ้วย
ยาชมภู
เกศสุริยง
KeRiDa
วัวป่าหลงเงาจันทรา
nonguide
Webmaster - BlogGang
[Add หลวงเส's blog to your web]
Bloggang.com