"ไม่มีใครผู้ใด ที่จะทำให้เรา พ้นทุกข์ได้ ตัวของเราเท่านั้น ที่จะทำให้เรา พ้นทุกข์ได้"

BlogGang Popular Award#21


 
สมาชิกหมายเลข 5067499
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ศึกษาและปฏิบัติธรรม มากกว่า 40 ปี
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 5067499's blog to your web]
Links
 

 

152. ล้างความทุกข์ออกจากจิต ทำความเข้าใจชีวิตให้ชัดแจ้ง



ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่แล้ว
 
ในช่วงอายุประมาณ 14-24 ปี
 
ผู้เขียนมีความสับสนในชีวิต ไม่เข้าใจชีวิต
 
มีความทุกข์ มีความเครียด และ มีความวิตกกังวลใจ มากมาย
 
ภายในจิตใจของผู้เขียน มีคำถาม เกิดขึ้นมากมาย ดังเช่น
 
คนเราเกิดมาเพื่ออะไร?
 
อะไร? คือมูลเหตุที่ทำให้คนเรา เกิดมาแตกต่างกัน
 
ทำไม? คนบางคน เกิดมาแล้ว จึงมีความทุกข์ มากกว่า ความสุข
 
ทำไม? คนบางคน เกิดมาแล้ว จึงมีความสุข มากกว่า ความทุกข์
 
ทำไม? คนบางคน ได้เกิดมา ในครอบครัว ที่มีฐานะดี
 
ทำไม? คนบางคน ได้เกิดมา ในครอบครัว ที่มีฐานะยากจน
 
ทำไม? คนเรา จึงไม่มีความสุข โดยถ่ายเดียว
 
ทำไม? ความสุข ที่เราได้รับ จึงไม่อยู่กับเรา ตลอดไป
 
ความสุข ที่เป็นความสุขนิรันดร์ มีไหม?
 
อะไร? คือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต
 
อะไร? คือสิ่งที่เราควรเรียนรู้
 
อะไร? คือสิ่งที่เราควรมุ่งมั่นหมั่นทำ ฯลฯ
 
***************
 
ผู้เขียนพยายามค้นหาคำตอบอยู่หลายปี
 
ในที่สุด ผู้เขียนก็ได้พบกับคำตอบ
 
จากคำสอนของพระพุทธองค์
 
และ จากการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์
 
***************
 
ผู้เขียนพบว่า
 
คนเราเกิดมา เพื่อมารับผลของกรรม ที่ตนได้เคยกระทำ สั่งสมเอาไว้ ในชาติก่อนๆ
 

กรรมดี หรือ การกระทำดี ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ (กุศลกรรม) มีผลเป็น “วิบากกรรมดี” หรือ “กุศลวิบาก
 
วิบากกรรมดี หรือ กุศลวิบาก หมายถึง การได้รับ และ การได้ประสบกับ สิ่งที่ดีๆทั้งหลาย” (ทำให้ชีวิตเป็นสุข)
 
กรรมไม่ดี หรือ การกระทำไม่ดี ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ (อกุศลกรรม) มีผลเป็น “วิบากกรรมไม่ดี” หรือ “อกุศลวิบาก
 
วิบากกรรมไม่ดี หรือ อกุศลวิบาก หมายถึง การได้รับ และ การได้ประสบกับ “สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย” (ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์)
 
กรรมวิบาก คือสิ่งที่ทำให้คนเรา เกิดมาแตกต่าง ได้รับความทุกข์และความสุข แตกต่างกัน
 
ถ้าต้องการให้มีแต่สิ่งที่ดีๆ หมุนเวียนเข้ามาในชีวิต ต้องเพียรหมั่นทำกรรมดี และ ต้องไม่ทำกรรมที่ไม่ดีทั้งหลาย
 
***************
 
ความสุขในทางโลก (โลกียสุข) เป็นความสุข ที่มีความไม่เที่ยง มีความไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวน มีความไม่แน่นอน ไม่อาจจะยึดถือเอาไว้ได้ และ เป็นมูลเหตุหลักของความทุกข์ทั้งหลาย (มีทุกข์เจือ)
 
ความสุขในทางโลก (โลกียสุข) เป็นสิ่งที่ ไม่ควรไปหลงใหลติดใจ และ ไม่ควรหลงไปยึดมั่นถือมั่น
 
ความสุขในทางโลก (โลกียสุข) เป็นสิ่งที่ ควรละ ควรปล่อย และ ควรวาง
 
ถ้าเราไม่ละ ไม่ปล่อย ไม่วาง “ความสุขในทางโลก (โลกียสุข)”
 
ชีวิตของเรา จะเวียนวน อยู่ในวังวนของความสุข (โลกียสุข) และความทุกข์ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวัฏสงสาร
 
***************
 
ความสุขที่แท้จริง ที่คนเรา ควรมุ่งมาดปรารถนา และ ควรมุ่งแสวงหา คือ วูปสโมสุข
 
เตสัง วูปสโม สุโข ความระงับดับเสีย ซึ่งสังขาร (การปรุงแต่งทางจิตใจ) ทั้งหลาย นั้นแล เป็นสุขอย่างยิ่ง”
 
วูปสโมสุข เป็นโลกุตรสุข เป็นความสุขที่อยู่เหนือโลก

วูปสโมสุข เป็นความสุข ที่ไม่มีความทุกข์เจือ มีความเที่ยง มีความยั่งยืน ไม่แปรปรวน ได้แล้วได้เลย
 
ที่สุดของวูปสโมสุข คือ ความสุขในพระนิพพาน
 
นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง (บรมสุข)”
 
ความสุขที่แท้จริง คือ ความสุขที่ไม่ต้องอิงสิ่งใด


***************

เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ที่คนเรา ควรทำให้ได้ ควรไปให้ถึง คือ ความดับทุกข์ หรือ พระนิพพาน
 
สิ่งที่คนเราควรเรียนรู้ คือ เรียนรู้ทุกข์ เรียนรู้การเกิดแห่งทุกข์ เรียนรู้การดับแห่งทุกข์ และ เรียนรู้วิธีการดับทุกข์
 

สิ่งที่คนเราควรทำ คือ ทำความดับทุกข์
 
***************
 
สิ่งที่ทำให้ชีวิตของคนเรา ต้องเวียนวน อยู่ในวังวนของความสุข (โลกียสุข) และความทุกข์ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวัฏสงสาร ในลักษณะจมดิ่งลงไปในกองทุกข์ คือ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่ครอบงำจิตใจอยู่
 
กิเลส ราคะ ตัณหา และอุปาทาน” ที่ครอบงำจิตใจอยู่ คือสิ่งที่ทำให้เกิด ความหลงใหลติดใจใน “ความสุข (โลกียสุข)
 
กิเลส ราคะ ตัณหา และอุปาทาน” ที่ครอบงำจิตใจอยู่ คือสิ่งชักนำจิตใจ ให้มุ่งแสวงหา “ความสุข (โลกียสุข)
 
กิเลส ราคะ ตัณหา และอุปาทาน” ที่ครอบงำจิตใจอยู่ คือสิ่งที่ทำให้เกิด ความมุ่งมาดปรารถนาใน “ความสุข (โลกียสุข)” ที่มากยิ่งขึ้น ทำให้ต้องมุ่งแสวงหา “ความสุข (โลกียสุข)” มากยิ่งขึ้น และ ทำให้ต้องประสบกับความทุกข์ มากยิ่งขึ้น
 
จิตใจที่ถูก “กิเลส ราคะ ตัณหา และอุปาทาน” ครอบงำอยู่ คือสิ่งนำพาชีวิต ให้เวียนตายและเวียนเกิด อยู่ในวัฏสงสาร ไม่มีที่สิ้นสุด
 
ถ้าต้องการทำความดับทุกข์ ต้องเพียรหมั่นชำระล้าง (ดับ) “กิเลส ราคะ ตัณหา และอุปาทาน” ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ (ทำจิตใจให้ใสสะอาด บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว)
 
ผู้ที่มีจิตใจใสสะอาด “ปราศจากกิเลส ราคะ ตัณหา และอุปาทาน” แล้ว คือผู้ที่สามารถดับทุกข์ที่เกิดขึ้นจาก “กิเลส ราคะ ตัณหา และอุปาทาน” ได้แล้ว แต่ยังคงต้องเวียนตายเวียนเกิด มาประสบกับ “ความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (สภาวทุกข์)” คือ การเกิด (ชาติ) ความแก่ (ชรา) ความเจ็บป่วย (พยาธิ) และ ความตาย (มรณะ)
 
ถ้าต้องการจะทำความดับทุกข์ให้หมดสิ้น “ต้องปล่อยวางจิต” เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เพราะจิต คือสิ่งนำพาชีวิตให้เวียนเกิด
 
ชาญ คำพิมูล

 




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2568    
Last Update : 4 ตุลาคม 2568 7:35:09 น.
Counter : 104 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

151. การพิจารณาปล่อยวาง (ดับ) อารมณ์ทุกข์ (ทุกขเวทนา)



ความทุกข์ เป็นสิ่งที่ทุกคน ไม่ได้มุ่งมาดปรารถนา
 
แต่เป็นสิ่งที่ทุกคน ต้องประสบพบเจอ เป็นธรรมดา
 
มากบ้าง น้อยบ้าง
 
ขึ้นอยู่กับ กรรมวิบากของแต่ละคน
 
และ ขึ้นอยู่กับ กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน ที่ครอบงำจิตใจของแต่ละคนอยู่
 
***************
 
อารมณ์ทุกข์ (ทุกขเวทนา) คือมูลเหตุหลักของ ความทุกข์
 
อารมณ์ทุกข์ (ทุกขเวทนา) เป็นสิ่งที่ บั่นทอนชีวิต บั่นทอนสุขภาพกาย และ บั่นทอนสุขภาพจิต
 
ดังนั้น เราจึงควรเพียรหมั่นเพ่งพิจารณา เพื่อปล่อยวาง (ดับ) “อารมณ์ทุกข์ (ทุกขเวทนา)” ที่เกิดขึ้น ในจิตใจ
 
ด้วยการเพียรหมั่นเพ่งพิจารณา ให้เห็นถึง “ความจริงตามความเป็นจริงของอารมณ์ทุกข์ (ทุกขเวทนา)
 
และ เพียรหมั่นเพ่งพิจารณา ให้เห็นถึง “ความจริงตามความเป็นจริงของสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์ทุกข์ (ทุกขเวทนา)” ในจิตใจ
 
***************
 
ในลำดับแรก

ผู้เขียนจะกล่าวถึง แนวทางในการเพ่งพิจารณา เพื่อให้เห็นถึง “ความจริงตามความเป็นจริงของอารมณ์ทุกข์ (ทุกขเวทนา)

และ ในลำดับต่อๆไป

ผู้เขียนจะกล่าวถึง แนวทางในการเพ่งพิจารณา เพื่อให้เห็นถึง “ความจริงตามความเป็นจริงของสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์ทุกข์ (ทุกขเวทนา)” ในจิตใจ
 
***************
 
แนวทางในการเพ่งพิจารณา เพื่อให้เห็นถึง “ความจริงตามความเป็นจริงของอารมณ์ทุกข์” (พิจารณาเวทนาในเวทนา) มีดังนี้
 

  1. เพ่งพิจารณาให้เห็นถึง ความไม่เที่ยง ความไม่ยั่งยืน ความแปรปรวน และ ความไม่แน่นอน ของอารมณ์ทุกข์ (อนิจจัง)
 
อารมณ์ทุกข์” เป็นสิ่งที่ มีความไม่เที่ยง มีความไม่ยั่งยืน เพราะ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป เป็นธรรมดา
 
อารมณ์ทุกข์” เป็นสิ่งที่ มีความแปรปรวน และ มีความไม่แน่นอน แม้จะเกิดจากเหตุปัจจัยเดียวกัน บางครั้งทุกข์มาก บางทุกข์น้อย บางครั้งไม่ทุกข์เลย
 
  1. เพ่งพิจารณาให้เห็น จนชัดแจ้งว่า อารมณ์ทุกข์ คือมูลเหตุของ ความทุกข์ ความเครียด ความวิตกกังวลใจ ความซึมเศร้าเหงาหงอย และ โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย (ทุกขัง)
     
  1. เพ่งพิจารณาให้เห็นถึง ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของตน และ ไม่ใช่ของของตน ของอารมณ์ทุกข์ (อนัตตา)
 
อารมณ์ทุกข์” ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของตน เพราะ ไม่อาจจะกำหนดได้ และ ไม่อาจจะควบคุมได้
 
อารมณ์ทุกข์” ไม่ใช่ของของตน เพราะ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าเราไม่ปรุงแต่งตาม หรือ ถ้าเราไม่หลงไปยึดมั่นถือมั่น มันจะตั้งอยู่ได้ไม่นานนัก แล้วมันจะดับไปเอง 

อารมณ์ทุกข์” เป็นแค่เพียง “อุปาทาน” ที่คนเรามีอยู่แตกต่างกัน เท่านั้นเอง
 
อารมณ์ทุกข์ เป็นแค่เพียง การปรุงแต่ง (สังขาร) ของจิตใจ ไปตาม “อุปาทาน” ที่มีอยู่ในจิตใจ หรือ ที่ครอบงำจิตใจอยู่ เท่านั้นเอง ถ้าเราไม่ปรุงแต่งร่วม หรือ ถ้าเราไม่หลงไปยึดมั่นถือมั่น มันจะดับไปเอง ในเวลาไม่นานนัก
 
เมื่อมีอารมณ์ทุกข์ เกิดขึ้นในจิตใจ ให้เพียรพยายามทำความรับรู้ การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และ การดับไป ของอารมณ์ทุกข์ (ทุกขเวทนา) โดยไม่ปรุงแต่งร่วม และ โดยไม่หลงไปยึดมั่นถือมั่น (สักแต่ว่ารู้)

อารมณ์ทุกข์ เป็นสิ่งที่ สามารถทำให้ “ลดลงได้ จางคลายลงได้ และ ดับสูญสิ้นไปจากจิตใจของเราได้
 
อุปาทาน หมายถึง ความยึดมั่นถือมั่นไปตามอำนาจของกิเลส

***************
 
อารมณ์ทุกข์” เป็นสิ่งที่ ไม่ควรไปหลงยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตนของตน หรือ เป็นของของตน
 
เพราะ มันเป็นมูลเหตุของ ความทุกข์ ความเครียด ความวิตกกังวลใจ ความซึมเศร้าเหงาหงอย และ โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย
  
***************
 
การเพียรหมั่นเพ่งพิจารณา ตามที่กล่าวมา จะทำให้เกิด การละหน่ายคลาย และ ปล่อยวางได้ (ไม่หลงยึดมั่นเป็นตัวเป็นตนของตน หรือ ของของตน) ชื่อว่า พ้นสักกายทิฏฐิ
 
การเพ่งพิจารณา จนเห็นจริงชัดแจ้ง จนเกิดการละหน่ายคลายและปล่อยวางได้ ชื่อว่า พ้นวิจิกิจฉา
 
การเพ่งพิจารณา จนพ้นสักกายทิฏฐิและพ้นวิจิกิจฉาแล้ว จะทำให้ “อารมณ์ทุกข์ (ทุกขเวทนา)” ค่อยๆลดลง จางคลายลง และ ดับสูญสิ้นไปจากจิตใจ ชื่อว่า พ้นสีลัพพตปรามาส
 
ชาญ คำพิมูล

 




 

Create Date : 14 กันยายน 2568    
Last Update : 15 กันยายน 2568 3:59:19 น.
Counter : 226 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

150. ครบรอบ 40 ปี ของการปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์




ผู้เขียนเริ่มต้น ศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรม อย่างจริงจัง

เมื่อเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2528
 
จากวันนั้น ผู้เขียนอายุ 24 ปี
 
ถึงวันนี้ ผู้เขียนอายุ 64 ปีแล้ว

 
***************


สิ่งสำคัญสำหรับ “การปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์” มีดังนี้
 
1. ต้องปฏิบัติอย่างถูกมรรคถูกทาง จึงจะถึงจุดหมายปลายทาง คือ “ความดับทุกข์
 
การปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์ ที่ถูกมรรคถูกทาง
 
คือ การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8
 
โดยใช้ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ขับเคลื่อน
 
2. ต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องตามลำดับ จึงจะทำให้เกิด “การบรรลุธรรม” ตามลำดับ
 
การปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์ ที่ถูกต้องตามลำดับ
 
คือ การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ
 
โดยใช้ “อริมรรคมีองค์ 8” เป็นแนวทางในการกำหนดตั้งศีล ให้สูงขึ้นตามลำดับ
 
เพื่อชำระล้าง หรือ เพื่อละ หรือ เพื่อดับ "กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน"
 
ในระดับหยาบ (วีติกกมกิเลส) ในระดับกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) และ ในระดับละเอียด (อนุสัยกิเลส) ตามลำดับ
 
จึงจะเกิด “การบรรลุธรรมตามลำดับ
 
คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์
 
3. ต้องเริ่มต้นปฏิบัติ อย่างถูกต้องเหมาะสม ตรงตามฐานการปฏิบัติเริ่มต้นของตน จึงจะสามารถก้าวเดินต่อไปได้ อย่างถูกต้องและเหมาะสม
 
การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” สู่ความดับทุกข์ ของแต่ละคน

จะมีจุดเริ่มต้น ที่แตกต่างกัน เพราะ
 
คนบางคน ยังมีการงานอาชีพ ที่ยังไม่พ้นมิจฉาอาชีวะ 5 อยู่
 
คนบางคน มีการงานอาชีพ ที่พ้นจากมิจฉาอาชีวะ 5 แล้ว
 
คนบางคน ยังคงมี การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่
 
คนบางคน มีปกติ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่แล้ว
 
คนบางคน ยังคงมี การถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้อยู่
 
คนบางคน มีปกติ ไม่ถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้อยู่แล้ว
 
คนบางคน ยังคงมี การประพฤติผิดในกามอยู่
 
คนบางคน มีปกติ ไม่ประพฤติผิดในกามอยู่แล้ว
 
คนบางคน ยังคงมี การพูดโป้ปดมดเท็จอยู่
 
คนบางคน มีปกติ ไม่พูดโป้ปดมดเท็จอยู่แล้ว ฯลฯ
 
4. ต้องมี “ผัสสะ” เป็นปัจจัย จึงจะทำให้เกิด “การบรรลุธรรม” จริง
 
การปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์
 
ต้องมี “ผัสสะ” เป็นปัจจัย
 
จึงจะทำให้เกิด “ความก้าวหน้าในธรรม” จริง
 
หรือ จึงจะทำให้เกิด “มรรคผล” จริง
 
หรือ จึงจะทำให้เกิด “การบรรลุธรรม” จริง
 
ผัสสะ หมายถึง การกระทบ สัมผัส ถูกต้อง ที่ทำให้เกิดความรู้สึก
 
ผัสสะ เป็นความประจวบกันของสามสิ่ง คือ อายตนะภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) อายตนะภายนอก(รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์) และ วิญญาณ (การรับรู้ได้ การรู้แจ้งอารมณ์)
 
ผัสสะ ทำให้เกิด อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ อารมณ์ชอบใจ และ อารมณ์ไม่ชอบใจ
 
ผัสสะ ทำให้เกิด ความหลงใหลติดใจ ความหลงยึดมั่นถือมั่น
 
ผัสสะ ทำให้เกิด ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเป็น ที่มากมายเกินความจำเป็นของชีวิต
 
ผัสสะ ทำให้เกิด ความขัดเคืองใจ ความโกรธ โทสะ และ ความพยาบาทอาฆาตแค้น
 
ผัสสะ เปรียบเสมือน “ข้อสอบ” หรือ เปรียบเสมือน “บททดสอบ”
 
“ถ้าไม่มีผัสสะ เป็นปัจจัย เราจะไม่สามารถทำความดับของกิเลสได้ อย่างแท้จริง”
 
“ถ้าไม่มีผัสสะ เป็นปัจจัย จะเกิดการนอนเนื่องของกิเลส”
 
“ถ้าไม่มีผัสสะ เป็นปัจจัย เราจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่า เราสามารถทำความดับของกิเลส ได้จริง หรือยัง?”
 
5. ต้องมองให้เห็นมรรคผล” แม้มีประมาณน้อย จึงจะทำให้เกิด “พลัง (พละ)” ขับเคลื่อนการปฏิบัติธรรม


การชำระล้าง หรือ การละ หรือ การดับ "กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของความทุกข์  ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
 
ดังนั้น เราจึงต้องมองให้เห็น “มรรคผล” หรือ เราต้องมองให้เห็น “ความก้าวหน้า” แม้มีประมาณน้อย (ต้องมองให้เห็นความชนะ ในความแพ้)
 
จึงจะทำให้เกิด “กำลัง” หรือ จึงจะทำให้เกิด “พลัง (พละ)” ขับเคลื่อนการปฏิบัติธรรม ไปสู่ความดับทุกข์ 
 
ชาญ คำพิมูล
24/08/2568




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2568    
Last Update : 24 สิงหาคม 2568 8:23:05 น.
Counter : 94 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

149. การพิจารณาปล่อยวาง (ดับ) ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขทางโลก


ความสุข (ทางโลก)” และ “ความทุกข์” เป็นสิ่งคู่กัน ไม่อาจจะแยกออกจากกันได้
 
ความสุขทางโลก (โลกียสุข) เป็นความสุข ที่เจืออยู่ด้วย “ความทุกข์
 
ความสุขทางโลก เป็นความสุข ที่มีประมาณน้อย มีความไม่เที่ยง มีความไม่ยั่งยืน เป็นธรรมดา
 
ถ้าไม่ปล่อยวางความสุข (ทางโลก) จะไม่มีทาง “พ้นทุกข์ (ดับทุกข์)” ได้
 
ถ้าไม่ปล่อยวาง “ความสุข (ทางโลก)” ชีวิตจะเวียนวน อยู่ในวังวนของ “ความสุข (ทางโลก)” และ “ความทุกข์” ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวัฏสงสาร
 
***************
 
เพราะวางสุข (ทางโลก) ได้ จึ่งได้สุขจริง (วูปสโมสุข)
 
เตสัง วูปสโม สุโข ความระงับดับเสีย ซึ่งสังขาร (การปรุงแต่งทางจิตใจ) ทั้งหลาย นั้นแล เป็นสุขอย่างยิ่ง”
 
วูปสโมสุข เป็นความสุข ที่ไม่มีความทุกข์เจือ มีความเที่ยง มีความยั่งยืน
 
ที่สุดของวูปสโมสุข คือ ความสุขในพระนิพพาน
 
นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง (บรมสุข)”
 
***************
 
ความสุขทางโลก หรือ โลกียสุข มีดังนี้
 

  1. ความสุขอันเกิดจาก การเสพสุรายาเมา และ สิ่งเสพติดทั้งหลาย
  2. ความสุขอันเกิดจาก การได้ลาภ การได้ทรัพย์สมบัติในทางโลก การได้ยศ การได้รับคำสรรเสริญ
  3. ความสุขอันเกิดจาก กามเมถุน
  4. ความสุขอันเกิดจาก กามคุณ 5 (รูป เสียง กลิ่น รส และ การสัมผัสทางกาย)
 
***************
 
แนวทางในการเพ่งพิจารณา “ปล่อยวาง (ดับ)” ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขทางโลก (พิจารณาเวทนาในเวทนา) มีดังนี้
 
  1. เพ่งพิจารณาให้เห็นถึง ความไม่เที่ยง ความไม่ยั่งยืน ความแปรปรวน ความไม่แน่นอน ความไม่อาจยึดถือเอาไว้ได้ ของอารมณ์สุขทางโลก (อนิจจัง)
 
อารมณ์สุขทางโลก” เป็นสิ่งที่ มีความไม่เที่ยง มีความไม่ยั่งยืน ไม่อาจจะยึดถือเอาไว้ได้ เพราะ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับสิ้นไป ในเวลาไม่นานนัก
 
อารมณ์สุขทางโลก” มีความแปรปรวน และ มีความไม่แน่นอน แม้จะเกิดจากเหตุปัจจัยเดียวกัน บางครั้งสุขมาก บางครั้งสุขน้อย บางครั้งไม่สุขเลย
 
  1. เพ่งพิจารณาให้เห็น จนชัดแจ้งว่า อารมณ์สุขทางโลก คือมูลเหตุของ ความทุกข์ ความโศก โรค โทษ และ ภัยทั้งหลาย (ทุกขัง)
 
ความสุขทางโลก” เป็นความสุข ที่เจืออยู่ด้วย “ความทุกข์
 
  1. เพ่งพิจารณาให้เห็นถึง ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของตน ไม่ใช่ของของตน ของอารมณ์สุขทางโลก (อนัตตา)
 
อารมณ์สุขทางโลก” ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของตน เพราะ ไม่อาจจะกำหนดได้ และ ไม่อาจจะควบคุมได้
 
อารมณ์สุขทางโลก” ไม่ใช่ของของตน เพราะ ไม่อาจจะยึดถือเอาไว้ได้
 
อารมณ์สุขทางโลก” เป็นแค่เพียง “อุปาทาน” ที่คนเรา มีอยู่แตกต่างกัน เท่านั้นเอง
 
ความอยากได้อารมณ์สุขทางโลก (ตัณหา) ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขทางโลก (ราคะ) และ ความหลงยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์สุขทางโลก (อุปาทาน) เป็นสิ่งที่ สามารถทำให้ “ลดลงได้ จางคลายลงได้ และ ดับสูญสิ้นไปจากจิตใจของเราได้
 
***************
 
อารมณ์สุขทางโลก” เป็นสิ่งที่ ไม่ควรไปหลงยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตนของตน หรือ เป็นของของตน
 
เพราะ มันมีความไม่เที่ยง มีความไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวน มีความไม่แน่นอน ไม่อาจยึดถือเอาไว้ได้
 
และ มันเป็นมูลเหตุของความทุกข์ ความโศก โรค โทษ และ ภัยทั้งหลาย
 
ถ้าหลงไปยึดมั่น เป็นตัวเป็นตนของตน หรือ เป็นของตน
 
จะทำให้ชีวิต ต้องเวียนวน อยู่ในวังวนของความสุข (ทางโลก) และความทุกข์ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวัฏสงสาร
 
***************
 
การเพียรหมั่นเพ่งพิจารณา ตามที่กล่าวมา จะทำให้เกิด การละหน่ายคลาย และ ปล่อยวางได้ (ไม่หลงยึดมั่นเป็นตัวเป็นตนของตน หรือ ของของตน) ชื่อว่า พ้นสักกายทิฏฐิ
 
การเพ่งพิจารณา จนเห็นจริงชัดแจ้ง จนเกิดการละหน่ายคลายและปล่อยวางได้ ชื่อว่า พ้นวิจิกิจฉา
 
การเพ่งพิจารณา จนพ้นสักกายทิฏฐิและพ้นวิจิกิจฉาแล้ว จะทำให้ ความอยากได้อารมณ์สุขทางโลก (ตัณหา) ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขทางโลก (ราคะ)  และ อารมณ์สุขทางในโลก ค่อยๆลดลง จางคลายลง และ ดับสูญสิ้นไปจากจิตใจ ชื่อว่า พ้น
สีลัพพตปรามาส


 
***************
 
การเพ่งพิจารณาปล่อยวาง (ดับ) ความกำหนัดยินดีในอารณ์สุขทางโลก ต้องทำไปตามลำดับ คือ หยาบ กลาง และ ละเอียด
 
ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขทางโลก ในระดับหยาบ คือ ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขอันเกิดจาก การเสพสุรายาเมาและสิ่งเสพติดทั้งหลาย ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขอันเกิดจาก การได้ลาภ การได้ยศ และ การได้สรรเสริญ ที่มีมาก จนเกิดการเบียดเบียนผู้อื่นและสัตว์อื่น (จนเกิดความโลภ) และ ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขอันเกิดจาก กามเมถุน ที่มีมาก จนเกิดการเบียดเบียนผู้อื่นและสัตว์อื่น (จนเกิดการละเมิดศีลข้อ 3)
 
ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขทางโลก ในระดับกลาง คือ ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขอันเกิดจาก การได้ลาภ การได้ยศ และ การได้สรรเสริญ ที่มีไม่มาก ไม่เกิดการเบียดเบียนผู้อื่นและสัตว์อื่น  ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขอันเกิดจาก กามเมถุน ที่มีไม่มาก ไม่เกิดการเบียดเบียนผู้อื่นและสัตว์อื่น (มีผัวเดียวเมียเดียว) และ ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขอันเกิดจาก กามคุณ 5 (รูป เสียง กลิ่น รส และ การสัมผัสทางกาย)
 
ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขทางโลก ในระดับละเอียด คือ กามราคานุสัย (ความกำหนัดยินดีในอารมณ์สุขทางโลก ที่นอนเนื่องอยู่ในจิต)
 
ชาญ คำพิมูล

 




 

Create Date : 17 สิงหาคม 2568    
Last Update : 17 สิงหาคม 2568 7:43:16 น.
Counter : 120 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

148. การเดินไปตามทางอริยมรรคมีองค์ 8 ที่ผู้เขียนยึดถือปฏิบัติ



การทำความดับทุกข์ คือ การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8

การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” คือ การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ ให้เกิดเป็น “อธิศีล อธิจิต และ อธิปัญญา”  เพื่อทำให้เกิด การเคลื่อนไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” สู่ "ความดับทุกข์"
 
***************
 
อธิศีล หรือ อธิสีล หมายถึง ศีลที่ยิ่ง
 
อธิจิต หมายถึง จิตที่ยิ่ง หรือ จิตเป็นสมาธิยิ่ง
 
อธิปัญญา หมายถึง ปัญญาที่ยิ่ง

********************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

คือการปฏิบัติ เพื่อปรับเปลี่ยน “การงานอาชีพ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม

ที่มีปกติเป็น “บาปอกุศล (มิจฉา)

ให้มีปกติเป็น “บุญกุศล (สัมมา)


********************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

คือการทำความเห็น ให้ถูก ให้ตรง ให้เป็นสัมมา

ให้พ้นสักกายทิฏฐิ ให้พ้นวิจิกิจฉา ให้พ้นสีลัพพตปรามาส ให้พ้นกามราคะ ให้พ้นปฏิฆะ

ให้พ้นรูปราคะ ให้พ้นอรูปราคะ ให้พ้นมานะ ให้พ้นอุทธัจจะ และ ให้พ้นอวิชชา

เพื่อชำระล้าง หรือ เพื่อดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน

ในระดับหยาบ (วีติกกมกิเลส) ระดับกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) และ ระดับละเอียด (อนุสัยกิเลส)

ที่เป็นมูลเหตุของ “อกุศลกรรมและความทุกข์” ทั้งหลาย

ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ (เพื่อทำจิตใจ ให้ผ่องแผ้ว)

********************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ

คือการเจริญ สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ สัมมาสมาธิ และ สัมมาทิฏฐิ

โดยใช้การเจริญ สัมมาวายามะ (สัมมัปปธาน 4) และ สัมมาสติ (สติปัฏฐาน 4) ร่วมด้วย
 
***************

การปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” ให้สูงขึ้นตามลำดับ
สามารถปฏิบัติได้ 2 แนวทาง คือ

  1. ใช้ศีลที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้แล้ว คือ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 และ ศีลพระปาฏิโมกข์
  2. กำหนดตั้งศีล ให้สูงขึ้นตามลำดับ โดยใช้อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวทางในการกำหนดตั้ง ชื่อว่า “อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และ อธิปัญญาสิกขา” (อ้างอิงจาก วัชชีปุตตสูตร)
ผู้เขียน เลือกใช้แนวทางปฏิบัติที่ 2 ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติ ที่เป็น “ฆราวาส
 
***************
 

ศีล คือสิ่งที่กำหนดตั้งขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยน “การงานอาชีพ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม” ที่มีปกติเป็นมิจฉา (อกุศล) ให้มีปกติเป็นสัมมา (กุศล) ด้วยการเพียรหมั่นชำระล้าง หรือ เพียรหมั่นละ หรือ เพียรหมั่นทำความดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ในระดับหยาบ (วีติกมกิเลส) ระดับกลาง (ปริยุฎฐานกิเลส) และ ระดับละเอียด (อนุสัยกิเลส) ที่เป็นมูลเหตุของอกุศลกรรมและความทุกข์ทั้งหลาย
 
การกำหนดตั้งศีล จะใช้ “อริยมรรคมีองค์ 8” เป็นแนวทางในการกำหนดตั้ง ดังนี้
  1. ไม่ประกอบอาชีพที่เป็นมิจฉาวณิชชา 5 และ ไม่กอบอาชีพที่เป็นมิจฉาอาชีวะ 5
  2. ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
  3. ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
  4. กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ ความหลงใหลติดใจและความหลงยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์สุขอันเกิดจาก กามเมถุนและกามคุณ 5 กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ กามฉันทะ (ความยินดีในกาม) และ กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ กามราคานุสัย (ความกำหนัดในกามที่นอนเนื่องอยู่ในจิต) เป็นการทำความดำริออกจากกาม ให้บริบูรณ์
  5. กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ ความพยาบาท โทสะ โกธะ ปฏิฆะ (ความขัดเคืองใจ) อรติ (ความไม่ชอบใจไม่พอใจ) และ ปฏิฆานุสัย (ความขัดเคืองใจที่นอนเนื่องอยู่ในจิต) เป็นการทำความดำริออกจากพยาบาท ให้บริบูรณ์
  6. กำหนดตั้งศีลเพื่อละหรือเพื่อดับ ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเป็น ความอยากครอบครอง ในสิ่งที่เกินความจำเป็นของชีวิต จนเกิดการเบียดเบียนผู้อื่นและสัตว์อื่น (ละความโลภหรือดับตวามโลภ) เป็นการทำความดำริออกจากการเบียดเบียน ให้บริบูรณ์
     
***************
 

การปฏิบัติสมาธิ (สมถภาวนา) หมายถึง การอบรมจิต

การอบรมจิต หมายถึง การทำจิตใจ ให้สงบ ให้ตั้งมั่น ให้เป็นสมาธิ เพื่อรับรู้ “การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และ การดับลงไป” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” เมื่อมี “ผัสสะ” มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ
 
แล้วเพียรพยามไม่ปล่อยให้จิตใจ “ปรุงแต่ง (สังขาร)” ไปตามอำนาจของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ที่กำลังเกิดขึ้นในจิต เพื่อไม่ให้เกิด “การละเมิดศีล” เป็นการทำให้ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ระงับดับลงไป (ทำความระงับดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล”)
 

***************
 
การปฏิบัติปัญญา (วิปัสสนาภาวนา) หมายถึง การอบรมปัญญา
 
การอบรมปัญญา หมายถึง การเพ่งพิจารณา เพื่อให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง จนชัดแจ้งที่ใจ (โยนิโสมนสิการ) ในความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” จนพ้นสักกายทิฏฐิ จนพ้นวิจิกิจฉา และ จนพ้นสีลัพพตปรามาส
 
พ้นสักกายทิฏฐิ หมายถึง สามารถปล่อยวาง “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ได้แล้ว ไม่หลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนของตนหรือเป็นของของตนแล้ว
 
พ้นวิจิกิจฉา หมายถึง หมดสิ้นความลังเลสังสัย ใน “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” เพราะมีความเห็นจริง จนชัดแจ้งที่ใจ ในความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล
 
พ้นสีลัพพตปรามาส หมายถึง สามารถทำให้ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ลดลง จางคลาย และ ดับสูญสิ้นไปจากจิตใจได้แล้ว ทำให้ “ศีล” กลายเป็นปกติของตนได้แล้ว

***************
 
การปฏิบัติศีล สมาธิ และ ปัญญา มีแนวทางดังนี้
 
  1. กำหนดตั้งศีลขึ้นมา เพื่อยึดถือปฏิบัติให้เป็นปกติ (เจริญสัมมาอาชีวะ เจริญสัมมากัมมันตะ เจริญสัมมาวาจา และ เจริญสัมมาสังกัปปะ)
  2. เมื่อกำหนดตั้งศีลขึ้นมาแล้ว ให้เพียรหมั่น (เจริญสัมมาวายามะ) ทำความมีสติ (เจริญสัมมาสติ) เพื่อรับรู้ การเกิดขึ้นในจิต ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของการละเมิดศีล เมื่อมีผัสสะมากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ
  3. เมื่อเกิด “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของการละเมิดศีล ในจิตแล้ว
ให้ทำจิตใจ ให้สงบ ให้ตั้งมั่น ให้เป็นสมาธิ ให้ไม่หวั่นไหว ให้ไม่กระเพื่อมไหว ให้ไม่ปรุงแต่ง (สังขาร) ไปตามอำนาจของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่กำลังเกิดขึ้นในจิต

ทำความรับรู้ “การเกิดชึ้น ตั้งอยู่ และ การดับลงไป” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” โดยไม่ปรุงแต่งตาม

เป็นการทำความระงับดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดศีล (เจริญสัมมาสมาธิ)

 
  1. เพียรหมั่นเพ่งพิจารณา (เจริญสัมมาทิฏฐิ หรือ เจริญปัญญา) เพื่อให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง จนชัดแจ้งที่ใจ (โยนิโสมนสิการ) ในความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” จนเกิดการละหน่ายคลาย และ เกิดการปล่อยวางได้ (พ้นสักกายทิฏฐิ) จนหมดสิ้นความลังเลสงสัยใน ความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา” ของ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” (พ้นวิจิกิจฉา) และ จนทำให้ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่เป็นมูลเหตุของ “การละเมิดศีล” ค่อยๆลดลง จางคลายลง และ ดับสิ้นไป ทำให้ศีลกลายเป็นปกติของตน (พ้นสีลัพพตปรามาส)
 
***************
 
การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” ตามที่กล่าวมาข้างต้น
 
เป็นสิ่งที่ผู้เขียน เพียรพยายามศึกษาและทำความเข้าใจ แล้วนำมายึดถือปฏิบัติ
 
อาจมีความแตกต่าง จากที่ท่านผู้อ่าน ได้เคยรับรู้มาก่อน
 
ผู้เขียนไม่ได้ต้องการ ให้ท่านผู้อ่าน หลงเชื่อตาม

จงอย่าหลงเชื่อตาม สิ่งใดๆ โดยง่าย

โดยไม่ผ่านการพิจารณาไตร่ตรอง โดยรอบคอบ

และ โดยไม่ผ่านการพิสูจน์ให้เห็นจริง ด้วยตนเอง
 
จงยึดหลัก “กาลามสูตร” ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้

วัตถุประสงค์หลัก ของการนำเสนอบทธรรมนี้ คือ
 
เพื่อ “ให้เป็นแง่คิดมุมมองหนึ่ง” ของการศึกษาธรรมและการปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์
 
ชาญ คำพิมูล




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2568    
Last Update : 14 มิถุนายน 2568 6:35:42 น.
Counter : 297 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.