หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค11 --หลวงพ่อแช่ม7

ไม่รู้สมมุติ

ธรรมชาติกับธรรมชาติสะอาดใส
ดูมาดูไปใสกว่าแก้ว
ช่างปรุงแต่งทุกสิ่งยิ่งเพริศแพร้ว
แต่ไม่แคล้วจะทำลายให้หายไป
แล้วกลับปั้นให้ฟื้นขึ้นมาอีก
ไม่มีใครหลบหลีกไปได้ไม่
ปั้นคนให้ประเสริฐเกิดแล้วตาย
แล้วก็เกิดมาใหม่ให้เป็นคน
คนก็ปั้นสิ่งทุกสิ่งว่าของกู
เพราะไม่รู้จึงตู่อยู่สับสน
ถ้ารู้ว่าคนคือสมมุติคงหยุดวน
พ้นคนพ้นธรรมชาติพ้นสะอาดเลย

กตธุโร

อย่ารอแก่

เวลาหนุ่มเวลาสาวกร้าวกล้าหาญ
เวลาผ่านความแก่แน่รู้สึก
ทั้งหนุ่มสาวเคล้าสุขสนุกคึก
จะรู้สึกเมื่อตนแก่แย่ใกล้ตาย
เอาไม่ได้ยึดไม่ได้มือไม้สั่น
แม้จะยืนจะหันมันไม่ไหว
เมื่อสาวหนุ่มอวดตัวไม่กลัวตาย
พอเจ็ดสิบขึ้นไปนึกถึงตัว
จะเรียนธรรมก็ไม่ทันเพราะมันสาย
พูดอะไรลืมหลงงงจนมั่ว
อกุศลเข้าพิชิตมันติดตัว
พอยิ่งแก่ก็ยิ่งกลัวตัวเกิดตาย

กตธุโร
ดูตัวเอง

ถ้ามองจิตตัวเองเพ่งดูจิต
ไม่มีถูกไม่มีผิดจิตสดใส
ไม่เศร้าหมองขึ้นลงส่งเกิดตาย
เพราะจิตเดิมมันเพียงได้รับรู้เอา
อยู่เฉยเฉยมันก็เคยอยู่ทุกวัน
ไม่จัดสรรให้ขึ้นลงและตรงเป้า
จิตเป็นจิตเป็นอนัตตาอย่ามีเรา
ที่สุขเศร้าเป็นเขาเจตสิกธรรม
เขาเกิดดับกลับไปได้ทุกเมื่อ
ใครหลงเชื่อเกิดดับกลับกระหน่ำ
พอรู้ทันมันก็หายไม่ติดตาม
ไม่ต้องถามไม่ต้องทำอะไรเลย

กตธุโร

โลกราบเรียบ

โลกทั้งโลกราบเรียบเปรียบไม่ได้
ไม่มีอะไรเป็นที่ตั้งและหวังอยู่
มองทางซ้ายมองทางขวาหมดน่าดู
ทั้งของคู่ถูกผิดไม่ติดเลย
เหมือนดักลอบบนอากาศฉลาดนัก
เวลาดักเวลากู้ดูเฉยเฉย
ไม่มีอะไรที่จะติดสักนิดเลย
เปล่าเปล่าอย่างเคยที่เกิดมา
ถ้าแยกรูปแยกนามได้ตามสั่ง
อะไรเล่าที่จะตั้งบนขันธ์ห้า
เหลือแต่ธาตุส่วนเกินเดินไปมา
ทั้งขันธ์ห้าและอนิจจังตั้งขึ้นเอง

กตธุโร



บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๘
----------
ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่มา :ผมมีเรื่องสงสัยจะถามหลวงพ่อ เกี่ยวกับปัญหาที่มีคนสงสัยกันมาก ว่า “ตายแล้วจะเกิดอีกไหม หรือตายแล้วสูญไปเลย?” หากคนเราได้ทราบความจริงคงจะขวนขวายกันทำดีมากขึ้นเป็นแน่
หลวงพ่อแช่ม :โยมผู้ใหญ่ฟังให้ดีนะ เรื่องนี้แม้แต่พระพุทธองค์ก็ระมัดระวังมาก จะไม่ทรงตอบกับผู้ที่ไม่ควรตอบ แต่พระองค์จะทรงเลือกตอบกับผู้ที่ควรจะตอบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เขาในการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เข้าใจไหม?
พระพุทธองค์ตรัสว่า “กรรมเป็นสิ่งจำแนกสัตว์ทั้งปวง” “กรรม” คือ การกระทำ “ทำดี-ดี ทำชั่ว-ชั่ว” ตามสื่อภาษา จึงมีดี มีชั่ว ซึ่งล้วนแต่คนตั้งเอาทั้งนั้น ภาษาธรรมหมายถึงว่า “ถ้าทำสิ่งใด ผลก็จะตามมาตามเหตุ เหตุดี-ผลก็จะดี เหตุชั่ว-ผลก็จะชั่ว แต่ชั่วๆ ดีๆ นั้นเกิดแก่ธรรมชาติ เพราะไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา”
อันที่จริงสวรรค์หรือนรกนั้นมีประจำอยู่สำหรับสัตว์โลกตามการกระทำ ถ้าประพฤติดีก็ได้ไปสวรรค์ ประพฤติชั่วก็ถูกส่งไปนรก บาป-บุญ ดี-ชั่ว ย่อมติดตามสัตว์ไป โดยวิญญาณรับจากสังขาร สัญญา เวทนา ที่ก่อตัวขึ้นแล้ว ยึดถือกันเป็นตัวเป็นตน ผู้ก่อจะนำไปตามความนึกคิดหรือสังขารตามเหตุปัจจัย เรื่องนี้จึงต้องเป็นไปตามกรรมของสัตว์ที่ยึดถือ
ผู้ใหญ่มา :ผมใคร่ขอให้หลวงพ่อได้กรุณาอธิบาย เรื่อง “วิญญาณที่มาเกิดมาตาย” ด้วยครับ
หลวงพ่อแช่ม :เรื่องนี้ก็เหมือนกัน มีการสอนแต่เรื่อง “วิญญาณหก” ทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นส่วนมาก ถ้าจะให้หลวงพ่ออธิบายเรื่องวิญญาณหลังตายแล้ว ก็ออกจะเป็นเรื่องเพ้อฝันและเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อก็ได้ทราบมาจากพระอริยสงฆ์เก่าๆ ที่มีชื่อเสียง ซึ่งรู้เห็นจากใจด้วยปัญญาญาณ จึงนำมาพูดให้โยมฟัง ฟังแล้วเอาไปพิจารณาดูเองก็แล้วกันว่าจะเชื่อได้หรือไม่ คือ
“เวลามีใครตายก็ตาม จะมียมฑูตมารับวิญญาณทันที บางครั้งยมฑูตจะรออยู่ขณะใกล้ตาย แล้วจะพาไปในที่แห่งหนึ่ง ไปสอบถามดูว่าอยู่บนมนุษย์โลกได้ประพฤติตนอย่างไร? แล้วจำแนกแยกแยะไปรับกรรมในที่ต่างๆ บางครั้งวิญญาณที่เก็บไม่หมด จะเที่ยวร่อนเร่พเนจรไป เป็นผีไม่มีศาล จนกว่าจะมีวิญญาณใหม่มาแทนตามกำหนดของกรรม จึงจะไปเกิดได้ แต่ต้องกระทำความดีในที่ต่างๆ วนเวียนกันในภพอื่นมากมาย จนเพียงพอที่จะมาเกิดเป็นคนได้ใหม่ ซึ่งไม่ไช่ของง่ายเลย”
จะเห็นว่า “สัตว์ทั้งหลายล้วนแต่อยากจะมาใช้ชีวิตเป็นคนทั้งสิ้น แม้แต่เทวดา ถ้าคนได้รู้ความจริงว่าเป็นเช่นนี้ คงจะเร่งทำความดีจนหลุดพ้นไปจากกรรมดี ไม่ต้องเวียนว่ายไปสู่ภพน้อย ภพใหญ่ กันให้เหน็ดเหนื่อยและทรมานเป็นแน่” มีแต่จะมุ่งประพฤติปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นอรหันต์กันทั้งนั้น เพราะจะพ้นเกิดพ้นตายได้
อย่างไรก็ตาม, สัตว์โลกทุกชนิดต่างต้องเดินทางไปสู่นิพพานเป็นภพสุดท้ายทั้งสิ้น ไม่ช้าก็เร็ว ตามกรรมของสัตว์นั้นๆ ผู้ที่ตายแล้วเกิดทันทีจะเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ ที่ใกล้เคียงชาติปัจจุบันนั้นได้ และเรียนรู้ธรรมได้เร็วกว่าผู้อื่น เพราะฉะนั้นกรรมเก่าที่มีอยู่บ้าง จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำกรรมในชาติปัจจุบัน สำคัญที่กรรมใหม่ บารมีใหม่ ที่ขยันสร้างในทางดี จนเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพาน
สำหรับ ปฏิสนธิวิญญาณ ที่จะลงสู่ครรภ์มารดา ก็เป็นไปตามกรรมนั่นเอง ไม่ใช่ว่าจะเลือกได้ตามใจชอบ กรรมจะเป็นตัวกำหนด เรียกว่าบารมีเก่าก็ได้ ส่วนความเป็นคนนั้นระบุอยู่ที่พ่อกับแม่ ซึ่งต่างก็ให้ สเปิร์ม และ ไข่ ที่สืบทอดความเป็นคน เช่นเดียวกับเมล็ดพืช แต่ดี-ชั่ว บุญ-บาป และอุปนิสัยอื่นๆ อยู่ที่ปฏิสนธิวิญญาณซึ่งเข้ามาประชุมด้วย ก่อนที่จะคลอดออกมาเป็นคน
ผู้ใหญ่เห็นไหมว่า “การเกิดเป็นคนนั้นแสนจะยาก” บางครั้งจะมีเหตุปัจจัยในครรภ์มารดามาทำแปรเปลี่ยน เกิดความพิการ หรือความไม่สมประกอบแก่ทารกน้อยในครรภ์ จนถึงกับตายก่อนคลอดก็มี หรือออกมาเป็นเด็กพิการต่างๆ นานาก็มี เป็นที่สลดสังเวชต่อพ่อแม่และญาติพี่น้องตั้งแต่ยังไม่โต
ผู้ใหญ่มา :ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด ไม่ตายในชาตินี้ได้เล่าครับหลวงพ่อ?” ผมสนใจจริงๆ บุกมาถึงขั้นนี้แล้ว หลวงพ่อช่วยบอกต่อเถอะครับ
หลวงพ่อแช่ม :ก็มีศาสนาพุทธนี่แหละ ที่สอนให้หมดตัวหมดตน หมดบาป หมดกรรม ไปอยู่เหนือกรรม เหนือสุขเหนือทุกข์ ก็จะไม่มีเชื้อกรรมหรือกิเลสตัณหาอุปาทานไปเวียนเกิด เวียนตาย ต่อไปอีก
ซึ่งวิธีการที่พระพุทธองค์ทรงนำมาสอนสาวกของพระองค์ท่าน มีมากมายหลายวิธี อุปมาดั่งการหาไฟใช้ จะหาโดยวิธีใดก็ได้ แล้วแต่ว่าจะเหมาะกับอุปนิสัยของใครก็เลือกเอาวิธีนั้น เพียงแต่ให้มีไฟใช้ได้ก็แล้วกัน อาจจะช้าหรือเร็วกว่ากัน ยากหรือง่ายกว่ากัน ก็แล้วแต่จะเลือกเอามาปฏิบัติดู ถ้าหมดตัวตน หมดความยึดถือ ว่ามีเรา-มีของเรา เห็นแจ้งว่า “ทุกสิ่งเป็นอนัตตา” ไม่ต้องไปยึดมั่นว่าเป็นอัตตาได้จากใจ และวางมันได้อย่างเด็ดขาด ใช้แต่ขันธ์ห้าล้วนๆ ทำหน้าที่ไปจนถึงที่สุดแบบว่างได้จริง ก็หมดปัญหา เข้าสู่นิพพานได้
แต่ตามหลักธรรมแล้ว พระพุทธองค์ทรงชี้แนะด้วย “โพธิปักขิยธรรม ๓๗” ได้แก่ สติปัฏฐาน๔ สัมมัปปธาน๔ อิทธิบาท๔ อินทรีย์๕ พละ๕ โพชฌงค์๗ มรรคมีองค์๘ ซึ่งใครจะเรียนหัวข้อธรรมหมวดใดก็ได้ เลือกเอาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะเลือกเอาขันธ์ห้า หรืออริยสัจจ์๔ ก็ได้ แต่ต้องให้เห็นว่า เป็นพระไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องเรียนจนหมดทุกหมวด
ถ้าใครยังหลงว่าจะต้องรู้ทั้งหมด ก็เท่ากับต้องรู้จักใบไม้ทั้งป่า ซึ่งเหนื่อยมาก และไม่ได้ประโยชน์มากไปกว่ารู้จัก ใบไม้เพียงกำมือเดียว ตามที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะ แต่ต้องเรียนรู้ให้เห็นจริงซึ่งสัจธรรมตามที่เป็นจริง
ผู้ใหญ่มา :ที่หลวงพ่อพูดมาทั้งหมด ไม่มีตัวการปฏิบัติเลย ทำอย่างไรจึงจะรู้เห็นแจ้งลงไปว่าจะเข้าสู่นิพพานได้ ขอหลวงพ่อกรุณาอธิบายต่อเถอะครับ
หลวงพ่อแช่ม :ตกลง หลวงพ่อจะบอกวิธีปฏิบัติอย่างลัดสั้นให้ แบบเปิดให้เห็นตัวจริงของนิพพานกันเลย ไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบมากมายนัก จะติดรูปแบบเสียเปล่าๆ
การถือศีล กินอาหารมังสวิรัติมื้อเดียว ไม่สวมรองเท้า ไม่แต่งเนื้อแต่งตัวตามแฟชั่นหรือตามสมัยนิยม ปฏิบัติธุดงควัตรอย่างเคร่ง เดินจงกรมภาวนาทุกย่างก้าว เพ่งดูลูกแก้ว หรือนิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติสมาธิภาวนา พร้อมทั้งบริกรรมคำภาวนาชนิดต่างๆ ใครที่เคยทำมาแล้ว จะฝึกต่อไปก็ได้ แต่ในขณะที่มาสนใจศึกษาวิธีลัดสั้นขอให้วางวิธีเก่าๆ ไว้ก่อน และไม่จำเป็นว่าจะต้องถือบวชเป็นพระภิกษุ หรือเป็นนักบวชหญิงจึงจะเข้าสู่นิพพานได้ ถ้านำสิ่งเหล่านี้มาถือเป็นกฎตายตัวด้วยความหลงผิดจะบังนิพพานได้
อ้อ... เมื่อเร็วๆ นี้ หลวงพ่อก็ได้รับหนังสือจากคุณประพันธ์ ชื่อว่า “อะไรๆ ก็ไม่จริง” ซึ่งลูกศิษย์อาจารย์กตธุโร ช่วยกันเขียนจากประสบการณ์ของตนที่ได้ปฏิบัติมาจนสามารถเห็นธรรม หมดตัวตนหรือหมดคนในขันธ์ห้า เข้าถึงธรรมเดิมที่ว่างได้มากน้อยตามสมควรแก่ภูมิธรรม หลวงพ่ออ่านดูแล้วรู้สึกว่าลัดสั้นแบบที่หลวงพ่อปฏิบัติอยู่ แต่อาจจะมีบางแห่งที่เขาว่าของเขาลัดสั้นกว่าก็คงจะมี หลวงพ่อก็ไม่เถียงถ้าเขาทำได้
แบบของอาจารย์กตธุโร ท่านก็ว่าไม่จำเป็นต้องออกบวช เพียง รู้จักปฏิบัติแยกรูปแยกนาม ให้เห็นรูปนามตามความเป็นจริงก็ใช้ได้ และนำจิตซึ่งไม่มีตัวตนและไม่ยึดขันธ์ห้า พ้นจากขันธ์ห้าเข้าสู่นิพพาน จิตนั้นก็จะทำหน้าที่สักแต่ว่ารู้ขันธ์ห้า แต่ต้องสลัดจิตที่ยืนรู้อยู่นี้ไปสู่ความหลุดพ้นจากนิพพานด้วย แรกๆ ก็ให้เห็นธรรม แบบทำในใจให้ระลึกรู้ด้วย ปัญญา มีสติระลึกได้ว่ากายใจไม่ใช่เราทำหน้าที่ จะเห็นรูปเห็นนามส่งต่องานซึ่งกันและกันเอง
ต่อไปเมื่อสติมีกำลังมากขึ้น พร้อมทั้งมีสมาธิมั่นคงขึ้น จิตจะจดจ่อและเห็นแจ้งรูปนามตามความเป็นจริง เกิด วิปัสสนาญาณ (ปัญญาเห็นแจ้ง) เห็นว่ากายเป็นสิ่งซึ่งเป็น อนัตตา อนิจจัง ทุกขัง และค่อยๆ ขาดจากความยึดถือว่ากายเป็นเราไปเรื่อยๆ จนออกจากกายได้
ต่อไปเรื่องใจหรือนามก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีเราในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และไม่มีเราในจิต ให้เห็นชัดลงไปด้วยการเฝ้าดูด้วยสติปัญญา เจาะ เพ่งเข้าไปจนเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของนามขันธ์และจิต ฝ่ายนามทั้งหมดจึงเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ตามธรรมชาติที่อาศัยกันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย
ถ้าไม่มีสัญญาหมายรู้ในรูปนามแต่อดีตเข้ามาปรุงแต่ง เมื่อมีการกระทบสัมผัสของรูปนามปัจจุบัน ความพอใจ ไม่พอใจหรือเฉยๆ จะเกิดขึ้นทันทีไม่ได้ และไม่มีการยึดถือจนเป็นทุกข์ จึงต้องมีสติปัญญาเข้าไปรู้ เห็น แจ้ง แทงตลอด ขันธ์ห้าว่าไม่มีตัวตนและไม่เป็นอะไรตามเดิม ธรรมชาติเดิมเขาโกรธไม่เป็น เกลียดและโลภไม่เป็น สัญญาหมายรู้ที่สมมุติขึ้นนี่เอง เป็นตัวการให้เกิดความยึดถือผิดๆ และหลงกันว่าทุกสิ่งมีจริง
เมื่อทุกสิ่งเป็นของโลกปั้นขึ้นมาเล่นๆ โดยไม่รู้ จะเป็นของจริงได้อย่างไร? จึงแสดงความจริงให้ปรากฏด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีมาชั่วขณะแล้วก็หายไปทุกสิ่งอย่างไม่ยกเว้นอะไร แม้ตัวรู้ที่เข้าไปรู้ว่าอะไรๆ ก็ไม่จริง ก็เป็นธาตุรู้ที่รู้ขึ้นมาตามเหตุของโลกเขา จะยึดถือหรือประคองให้ยืนรู้อย่างถาวรไม่ได้ ต้องปล่อยให้เขาทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระตามเหตุตามปัจจัยที่มี
ในที่สุดทุกสิ่งจะเข้าสู่สภาวะที่ว่างจากตัวตนหมด จึงไม่มีอะไรจะยึดถือมาเป็นของตนได้เลย ดังคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า “สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ” แปลว่า “ธรรมทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตน เป็นของตน” คือไม่ควรรู้สึกแล้วสำคัญมั่นหมายว่าเป็นอะไรจริงนั่นเอง
ผู้ใหญ่มา :ผมพอจะเข้าใจถึงวิธีการที่จะออกจากขันธ์ห้าและจิตให้ถึงที่สุดโดยไม่ยึดถือว่ามีอะไรได้ชัดขึ้นแล้ว เพราะ “อวิชชา” ความไม่รู้ตามที่เป็นจริง ทำให้หลงยึดถือว่าเรามีตัวตน-เป็นของตนจริง ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเราไม่ได้เกิดมาในโลกนี้ เราเป็นเพียงคนโดยสมมุติ ใช้เรียกแทนสภาวะซึ่งแตกต่างจากสิ่งอื่นโดยลักษณะภายนอกและการแสดงออก การกำหนดภาษาขึ้นมาใช้ก็เพื่อให้รู้ความหมายของสิ่งต่างๆ มีเรา มีฉัน มีเธอ มีสู กู มึง ฯลฯ ขึ้นมา
ทำอย่างไรจึงจะให้คนทั้งหลายได้รู้ว่า คน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา นั้นมีไม่จริง? ถ้าไม่มัวหลงกันอยู่ ความทุกข์ก็จะไม่มีใช่ไหมครับ? ผมจะขยันมาฟังการปฏิบัติธรรมขั้นสูงจากหลวงพ่อใหม่ วันนี้ผมขอกราบลาก่อน
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดี โยมผู้ใหญ่ ขอให้เจริญธรรมเถิด
โลกมายา

โอ้เจ้าโลกมายาข้าเพิ่งเห็น
ปรุงให้เต้นเร่าเร่าเร้าไฝ่หา
ตั้งแต่เกิดจนตายที่ได้มา
มีแต่ของมายาค่าไม่มี
ใครไม่รู้ก็ตรูไปจับจอง
เป็นเจ้าของหลงรักเพิ่มศักดิ์ศรี
ทั้งแก้วแหวนเงินทองว่าของดี
พอรู้ธรรมถ้วนถี่หนีเงินทอง
มันไม่แท้ของเทียมเพราะคนทำ
จึงเป็นกรรมให้ติด คิดเกี่ยวข้อง
ความไม่รู้หน้ามืดเข้ายึดครอง
พอรู้ทันก็ป่าวร้องว่ามายา

กตธุโร

โลกมันเป็นของมัน

แต่เดิมทีไม่มีสิ่งทุกสิ่ง
น่าแปลกจริงทำไมมีสิ่งนี้ได้
คำว่าโลกที่เห็นเป็นของใคร
แล้วคนเกิดคนตายใครกระทำ
โอ้ปัญหาโลกแตกแยกไม่ออก
ใครจะบอกให้รู้ดูน่าขำ
พอฉันพูดก็ไม่เชื่อเบื่อถ้อยคำ
กลับพูดซ้ำหาว่าบ้าไม่น่าฟัง
ก็มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง
ใครจะเก่งเกินมันนั้นอย่าหวัง
มันสร้างขึ้นเต็มบ้านแล้วก็พัง
ไม่มีใครหยุดยั้งมันได้เลย
กกตธุโร




ความเกิดเป็นทุกข์

สิ่งใดเกิดก็เป็นทุกข์ไม่สุขเลย
เกิดเสียเคยเลยไม่ทุกข์สนุกหลาย
รู้ว่าเกิดแล้วไม่สุขทุกข์จนตาย
คงไม่มีผู้ใดยอมเกิดมา
จงระวังเหยื่อล่อก่อให้หลง
ที่ตายลงเพราะเหยื่อก็เหลือหลาย
เพราะติดรสอันประเสริฐเลยเกิดตาย
ไม่ว่ารสใดใดต้องเลิกรา

กตธุโร

วิมุตติธรรม

เพราะขันธ์ห้าพาไปได้ทุกเรื่อง
ทั่วทั้งโลกทั่วทั้งเมืองเรื่องเหลือหลาย
สั่งให้หยุดไม่ยั้งกระทั่งตาย
ทุกรูปนามเกิดใหม่หยุดไม่เป็น
ต้องเรียนธรรมรู้ธรรมกรรมจึงหยุด
พูดไม่พูดถ้าหยุดดูจึงรู้เห็น
เราทุกคนจงเห็นธรรมมันจำเป็น
มิฉะนั้นจะต้องเต้นไปตามกรรม
อย่าคิดว่าตัวตนข้าพ้นได้
นั่งหัวร่องอหงายใจเหยียดหยาม
ต้องรู้เห็นแจ้งหลุดวิมุติธรรม
หมดทั้งกรรมหมดขันธ์ห้าว่าของกู

กตธุโร
บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๙
ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ ได้ข่าวว่าไปต่อธรรมกับคุณประพันธ์ที่ลพบุรีมาด้วยหรือ มีอะไรจะเล่าให้หลวงพ่อฟังไหม?
ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ ตอนนี้รู้สึกว่าทั้งคนหนุ่มและคนแก่พากันตื่นตัวในการปฏิบัติธรรมกันมาก แต่เท่าที่ผมสังเกตดูและถามหลายๆ ท่านที่มีประสบการณ์ เขาจะบอกว่า ถ้าไม่สามารถปฏิบัติลงไปที่จิต ให้จิตรู้กาย เห็นกาย และจิตเอง แล้วออกจากกาย ออกจากจิต คือไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่มีตัวตนของใครเพราะเห็นแจ้งว่าไม่มีอะไรจริงแท้ถาวรจากใจเองแล้ว จะไม่เกิดผล
การเรียนธรรมเพียงแต่รู้และเข้าใจยังไม่เพียงพอที่จะดับทุกข์ได้เด็ดขาด ต้องเห็นธรรมลงไปจริงๆ ตามสภาพธรรมที่เป็นจริง ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผู้ปฏิบัติธรรมที่บากบั่นมามาก จึงหันมาเจริญวิปัสสนาภาวนา คือเฝ้าดูจิตด้วยสติปัญญา จนมีสติปัฏฐานสี่ สมบูรณ์และใช้การได้ แล้วแต่ว่าใครจะใช้แนวปฏิบัติของอาจารย์องค์ไหน
ผมได้คุยกับคุณประพันธ์ถึงแนวปฏิบัติของอาจารย์กตธุโร เขาบอกว่าเข้าใจง่ายและมีผลให้เห็นธรรมชัดแจ้งจนถึงที่สุดได้จริงๆ มีพระพุทธเจ้าและพระธรรมอยู่ในใจ ตลอดจนเป็นพระสงฆ์เสียเอง แต่ออกจะแปลกด้วยโวหารและคำพูด ตรงที่ท่านสอนว่า “เมื่อโลกไม่มี ทุกสิ่งจะไม่มี เมื่อมีโลก ทุกสิ่งย่อมมาจากโลกและเป็นของโลก หาใช่ของใครไม่ โลกให้มาทำหน้าที่ชั่วคราวแบบไม่จริง แล้วก็เรียกคืนไปหมดเมื่อถึงเวลาของสิ่งนั้น”
เพราะฉะนั้นการยึดถือว่ามีอะไรจริงและเป็นของตนย่อมเป็นทุกข์ เพราะยึดได้ไม่จริง ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนไปตามสภาพ ตามกฎธรรมชาติเสมอ ถ้ารู้จักทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามเหตุ และใช้ของที่มีชั่วคราวอย่างไม่ยึดถือ ก็จะหมดทุกข์แน่นอน
คุณประพันธ์แนะนำว่า ให้ลูกศิษย์ใหม่ๆ ที่เรียนธรรมแบบนี้ทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า
๑. เมื่อจะเรียนรู้ธรรมแบบนี้ ก็ต้องมีศรัทธาในคำสอน และผู้สอน เป็นเบื้องต้นแล้วตั้งใจที่จะมารับธรรมจากอาจารย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปฏิบัติให้หมดอยาก
๒. เวลามารับธรรมจากอาจารย์ ควรจะตอบคำถามของอาจารย์ทุกข้อจากใจ หรือส่งคำถามให้อาจารย์ตามที่สงสัยหรือเป็นปัญหาของตน ไม่ใช่ของผู้อื่น แล้วตั้งใจฟังคำตอบ อย่าไปมัวคิดเรื่องอื่นหรือหาคำตอบเองในใจ หรือคิดค้านอยู่ในใจ ตามที่ตนเคยได้รับความรู้มา ขอให้ฟังจนจบเสียก่อน อาจจะพิจารณาตามไปในขณะนั้นด้วยจิตใจที่มั่นคงมีสมาธิ แล้วจ่อหรือเพ่งดูลงไปจนเกิดเป็นปัญญาเห็นธรรมได้เลยก็มี จะรู้สึกโล่งโปร่งเบาขึ้นมาให้รู้ได้ด้วยตนเอง หรือหากยังไม่กระจ่าง จะเก็บไปพิจารณาย้อนหลังดู และเห็นธรรมเองในภายหลังก็มี
๓. ยอมให้อาจารย์กระหนาบได้ เพื่อความก้าวหน้าในธรรม นำตัวตนออกไปเรื่อยๆ จนหมดสงสัย หมดปัญหา
๔. เมื่อเปิดกระแสธรรมได้ในครั้งแรก อย่าหนีอาจารย์ไปไกลๆ เพราะคิดว่ารู้แล้ว เห็นแล้ว ต้องขยันมาเรียนต่อจนอาจารย์บอกว่าจบหลักสูตร หรือรู้ได้ด้วยตนเองแน่ชัด
๕. ต้องขยันทำการบ้าน ทั้งที่อาจารย์ให้และตนพบเอง แล้วก็ส่งการบ้านให้อาจารย์ตรวจยืนยันว่าถูกต้อง (รู้จริง เห็นจริง) ทำให้แน่ใจว่าเข้าถึงธรรมได้จริง
อาจารย์กตธุโรท่านมีวิธีการเปิดกระแสธรรมให้แบบเซ็น ซึ่งเข้าถึงธรรมเดิมที่เป็นอนัตตา สุญญตากันเลย บางคนก็เปิดได้กว้างไกล แต่บางคนก็เปิดได้ไม่ชัดเจนนัก ขึ้นอยู่กับภูมิธรรมของจิตแต่ละจิต ถ้าขยันกลับไปดูไปพิจารณาบ่อยๆ ด้วยตนเอง จะเห็นธรรมชัดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสงสัยก็ให้กลับมาถามอาจารย์
ท่านมักจะขอร้องผู้ที่มารับธรรมใหม่ๆ ว่าอย่าเพิ่งเอาความรู้ในตำราที่เคยศึกษา เคยจำได้ มาเปรียบเทียบ จนกว่าจะได้เห็นธรรมชัดแจ้งจากใจ แล้วค่อยกลับไปอ่านตำราเพื่อศึกษาความละเอียดละออของความรู้ทั้งหลาย ซึ่งเขียนมาจากจิตแต่ละจิต จะยิ่งมีปัญญารอบรู้กว้างขึ้น และใช้เป็นประโยชน์กับผู้มาสนทนาที่มีจุดสนใจและปัญหาแตกต่างกันออกไปจนหายสงสัยได้
คุณประพันธ์เล่าว่า เขามีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดอาจารย์มาก เพราะขยันไปคุยกับท่านบ่อยๆ ได้เห็นการสอนธรรม และโต้ตอบปัญหาธรรมกันระหว่างอาจารย์กับศิษย์ใหม่หลายคน แต่ละคนต่างก็เปิดกระแสธรรมได้ไม่เหมือนกัน ประดุจลูกไก่แตกออกมาจากฟองไข่ได้แบบแปลกๆ
บางคนพอตกกระแสธรรมจะมีปิติน้ำตาไหล บางคนดีใจจนหน้าตาแดงก่ำ กำไม้กำมือด้วยท่าทางแปลกๆ บางคนตะโกนภาษาธรรมออกมาดังๆ ว่า “โธ่! ไม่น่าหลงอยู่จนป่านนี้ แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ!” บางคนเคยสงบเสงี่ยมไม่ช่างพูด แต่กลับพูดออกมาแบบต่อยหอย บางคนตื่นเต้นพูดไม่ออก ผุดลุกผุดนั่งอยู่ครู่หนึ่งวางตัวไม่ถูก บางคนวางเฉยได้เป็นปกติ ดูไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร ได้แต่พยักหน้าว่า “อ๋อๆๆ อย่างนี้เอง สาธุ” บางคนก็ทรุดฮวบลงกราบอาจารย์ด้วยความรู้สึกว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หรือรอดตายมาจากแดนทุรกันดารเฉกเช่นทะเลทราย
ฉะนั้น อย่างไรก็ตาม คุณประพันธ์บอกว่าเล่าได้ไม่หมด เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าการตกกระแสธรรมคืออย่างไร เป็นอย่างไร? มันพลิกจิตกันจริงๆ หลุดจากห่วงหรือสิ่งที่เคยร้อยรัดผูกพันจิตอยู่ กลายเป็นจิตที่ว่าง โปร่ง เบา ขึ้นมาทันที ซึ่งในตำราส่วนมากไม่ได้บอกกล่าวกันไว้มากนัก
อาจารย์จะสอนว่าระหว่างที่กำลังฟังธรรมอยู่นั้น ขอให้ผู้ฟังวางจิตเฉยว่างๆ แล้วอาจารย์จะจ่อจิตให้ จะได้ไม่มีคลื่นรบกวน จิตที่ว่าจะเปิดรับธรรมที่ส่งให้โดยตรงและผ่านตลอดไม่ติดขัด ซึ่งท่านมักจะขอร้องให้ศิษย์หรือผู้มารับธรรมจากท่าน เทความรู้เก่าๆ ออกจากจิตเสียก่อน แบบน้ำชาพร่องถ้วยหรือถ้วยชาที่ว่าง จะได้ไม่มีอะไรขัดแย้ง หรือกั้นจิต บังจิต หรือเติมอะไรเข้าไปใหม่ไม่ได้
จุดที่ท่านจะเปิดธรรมให้ คือคลี่สมมุติให้กระจ่าง และดึงคนหรือสมมุติออกมาจากธรรม เป็นการถอนความรู้สึกว่ามีเรา มีตัวตน ออกมาจากสภาวธรรมนั่นเอง พอจิตกระทบกับอารมณ์หรือธรรมารมณ์ ก็รับรู้ได้ทันทีว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรที่ควรเข้าไปยึดถือ จึงเห็นจิตว่างๆ เปล่าๆ เป็นปกติอยู่ได้ ไม่มีความคิดปรุงแต่งใดๆ เกิดขึ้น หมดความสำคัญมั่นหมายที่จะเอาอะไร อยากได้อะไร รู้สึกว่าจิตเฉยแบบสงบเย็นและรู้พร้อม ผู้ฟังจะรู้สึกโล่งโปร่งเบาขึ้นมาเอง เหมือนกับมีอะไรหลุดออกไป อาจจะร้องอยู่ในใจ หรือเปล่งเสียงออกมาว่า อ๋อ... มันเป็นเช่นนี้เอง มัวหลงอยู่ได้ตั้งนาน! แสดงว่าถอนสมมุติออกจากธรรมได้ในขั้นแรก เห็นว่ากายหรือทั้งกายและใจไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และมันว่างอยู่ในขณะนั้น
ต่อไปผู้ปฏิบัติจะต้องขยันพิจารณาดูกายให้ถี่ๆ บ่อยๆ ด้วยการมีสติตามดูตามรู้อิริยาบถทั้งหยาบและละเอียดด้วยปัญญา จนเห็นได้ชัด ว่ามันเป็นมัน และมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเลิกยึดถือกายว่ามีตัวตน และกายไม่ใช่เรา วางกายได้
และต่อไปจะต้องถอนความรู้สึกว่าเรามีในกาย หรือกายมีในเราให้เด็ดขาดด้วย เพราะกายเปลี่ยนของมันเองอยู่เสมอ ท่านจึงพูดว่า มันไม่ใช่เรา มันเป็นเพียง ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ เราไม่ใช่มัน ไม่มีเราในมัน ไม่มีมันในเรา และมันเองก็มีไม่จริง จึงยึดถือไม่ได้ ให้เลิกยึดถืออย่างเด็ดขาด จึงจะพ้นภัย
ถัดจากดูกาย ออกจากกาย ทิ้งกาย ได้แล้ว ให้มีสติตามดู จิต หรือ นาม และเห็นแจ้งด้วยปัญญาเช่นเดียวกันว่า “เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ” ไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราในนามทุกขันธ์ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกาย แม้จิตที่รู้กาย รู้จิตเอง ก็เป็นอนัตตา อนิจจัง ทุกขัง จึงต้องวางความยึดถือจิตมาเป็นตน-ของตนลงเสียด้วย
ท่านใช้คำพูดว่า “อย่าปั้นจิตเล่น” เพราะจิตเพียงอาศัยกาย ทำหน้าที่ดูแลกาย รับรู้เรื่องของกาย ไปตามอำนาจของธรรมชาติและเป็นของโลกเช่นเดียวกับกาย ไม่มีสิ่งใดเป็นจริงโดยถาวร จึงแสดงให้เห็นภาวะเกิด-ดับของกายและใจทุกขณะที่มีการกระทบสัมผัส
ถ้าปฏิบัติจนถอดสมมุติหรืออัตตาออกจากขันธ์ห้าและจิตได้หมด ไม่มีเราในขันธ์ห้าและในจิต แล้วจะมีใครต้องเป็นทุกข์เล่า? จึงรู้แจ้งชัดว่าไม่มีเรามาเกิด และไม่มีเราต้องไปตาย มัจจุราชไม่เรียกหาอีกแล้ว
เมื่อรู้จักขันธ์ห้า เห็นแจ้งในขันธ์ห้า และออกจากขันธ์ห้าเรียบร้อยแล้ว ตัวรู้ก็ถูกสลายไปด้วย เพราะไม่ใช่เรา กลายเป็นรู้ไม่จริง เช่นเดียวกับที่รู้ว่าขันธ์ห้าก็มีไม่จริง เมื่อหมดรู้ที่เป็นเรา-ของเรา ก็หันมาใช้รู้ให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ที่ยังหลงอยู่ ยังยึดว่ามีตัวตน-ของตนอยู่
ท่านยังสั่งว่า เมื่องานเรียนธรรมจบแล้ว ให้ตรวจตราอยู่เสมอว่ายังมีอะไรเสียดแทงจิตให้หวั่นไหวบ้างในวันหนึ่งๆ ถ้ามี แสดงว่ายังมีเราหลงเหลืออยู่ในขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง ให้แก้ไขจนเรียบร้อยด้วย ทุกคนต้องช่วยตัวเองในขั้นตอนท้ายๆ นี้ เท่ากับมีคนมาช่วยปลูกบ้านให้เสร็จแล้ว เจ้าของบ้านต้องเก็บงานให้เรียบร้อยและจัดให้เข้าที่เอง จึงจะอยู่สบายจริงๆ
สรุปว่า เมื่อโลกไม่มีอะไรมาแต่เดิม ที่มีในความรู้สึกว่าเป็นอะไรจริงขึ้นมาหรือเป็นตัวเป็นตนแม้เพียงเล็กน้อย แสดงว่ายังมีอวิชชาหลงเหลืออยู่ ทุกคนจึงต้องตรวจต่อไปอย่างไม่ประมาท นี่แหละครับเป็นใจความที่คุณประพันธ์ได้คุยให้ผมฟัง
หลวงพ่อแช่ม :อือ... ก็นับว่าเป็นวิธีการเข้าถึงธรรมที่ถูกต้องแน่นอนจริง หลวงพ่อฟังดูแล้วยอมรับว่า ตรงกับในสมัยพุทธกาล ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงใช้การแสดงธรรม พูดธรรม แบบเซ็น ให้ศิษย์บางคนฟัง และเกิดการเห็นธรรมโดยฉับพลันขึ้นมาได้ เรียกว่า บรรลุธรรม ซึ่งบางครั้งไม่ต้องใช้เวลาพูดกันมาก หรืออธิบายกันยืดยาว
และหลวงพ่อเข้าใจว่า อาจารย์กตธุโรก็ใช้วิธีการ ของ ศีล สมาธิ ปัญญา ผสมเข้ากับแนวเซ็น แต่มีปัญญานำเจาะทะลวงเข้าไปจนเห็นแจ้งในสมมุติและธรรม จนเข้าถึงธรรมเดิมที่ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร ท่านเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต” ไม่ใช่สอนว่า “ผู้ใดรู้ธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า” จะต้องเห็นธรรมชนิดที่เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในกายใจ จนเคารพตัวเองได้ นั่นแหละจึงจะคุยได้ ว่ารู้ธรรมเห็นธรรมจริง และมีดี แต่ไม่ใช่ดีชนิดมีตัวมีตน-ของตน
ผู้ใหญ่มา :เอ... เรื่องนี้ผมได้ยินคุณประพันธ์เขาเล่าว่า อาจารย์กตธุโรย้ำศิษย์ทุกท่านให้พูดเท่าที่รู้ที่เห็นจากใจ อย่าเอาสัญญาปัญญามาคุยให้ผู้อื่นฟัง อย่าอวดว่าตัวเองรู้มากกว่าผู้อื่น ก่อนจะคุยกับใครก็ต้องตรวจตัวเองก่อนเสมอ อย่าให้มีมานะในใจ เท่าที่ฟังดูผมคิดว่าท่านคงจะสบายของท่านแล้ว
หลวงพ่อแช่ม :หลวงพ่อเห็นด้วย โยมทำถูกแล้วที่รู้จักสนใจธรรมแบบเปิดใจกว้าง ไม่ยึดถือว่าเรามีอาจารย์ของเราอยู่แล้ว เราจะเรียนกับอาจารย์อื่นอีกไม่ได้
คนที่เราเคยคบเป็นสหายธรรมมา ถ้าเขาเกิดไปสนใจปฏิบัติธรรมแนวอื่นซึ่งถูกกับจริตของเขา และทำให้เขาเห็นธรรมได้จริง ก็ควรจะอนุโมทนาให้เขา อย่าไปถือตน โกรธเขา รังเกียจเขา หรืออิจฉาริษยาเขา แต่ควรย้อนกลับมามองตัวเองว่าทำอะไรไม่ถูก หรือมีสิ่งใดปิดบังตาใจอยู่ จึงยังเห็นความจริงจนถึงที่สุดไม่ได้
หลวงพ่อดีใจที่ผู้ใหญ่ปฏิบัติตนถูกต้อง หากจะไปเรียนธรรมและเห็นธรรมขั้นสูงสุดกับอาจารย์องค์ไหนได้ ก็จงไปเถิด หลวงพ่อจะไม่ว่าและไม่ห้ามเลย หลวงพ่อยินดีรับฟังผลของการปฏิบัติธรรม ถ้าประจักษ์ซึ่งนิพพานได้ก็จะสาธุให้ หลวงพ่อฟังมาทั้งหมดก็คิดว่าท่านกตธุโร คงจะเห็นที่พึ่งแก่ผู้ที่สนใจเรียนธรรมจริงปฏิบัติจริงได้มากขึ้นในยุคนี้ หากลูกศิษย์ของท่านได้ช่วยกันบอกปากต่อปากไปยังเพื่อนทุกข์ทั้งหลายที่พอจะเปิดตาใจมารับธรรมจากท่าน
ฟังดูแล้วลูกศิษย์ของท่านก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่ารู้ธรรม เห็นธรรม แบบที่ท่านสอนได้จริง ก็น่าสรรเสริญในสติปัญญาและความเพียร ตลอดจนเมตตาที่ผู้ถึงธรรมได้ให้ต่อผู้ที่ยังลำบาก หลงเวียนว่ายอยู่ในความเป็นคน จนพ้นจากความเป็นคนขึ้นมาเรื่อยๆ เออ... ว่าแต่ว่าลูกศิษย์เขานัดพบกันที่บ้านอาจารย์กตธุโรวันไหนบ้างนะ?
ผู้ใหญ่มา :คุณประพันธ์บอกว่าเป็นวันอาทิตย์ต้นเดือน ใครว่างก็มาพบปะสังสรรค์กันในทางธรรม มาต่อธรรมกัน มาร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเพื่อนรุ่นน้องให้มีความก้าวหน้าในธรรม เพื่อแบ่งเบาภาระของอาจารย์ไปบ้าง มิฉะนั้นท่านจะเหนื่อยมาก เพราะท่านป่ายเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย และในวันอื่นๆ ก็มีผู้สนใจไปรับธรรมจากท่านเสมอ ทั้งกลางวันและกลางคืน บางครั้งก็หลายคน โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์จะมากันมาก
บางครั้งมีโทรศัพท์มาจากที่ต่างๆ ทั้งใกล้และไกล มาถามปัญหาธรรมกับท่าน ซึ่งท่านก็อดทนและมีเมตตาธรรมให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ศิษย์เก่าๆ มักจะมาเยี่ยมเยียนท่าน พร้อมทั้งนำอาหารคาวหวานติดมือมาฝากท่านบ้างเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งก็ร่วมรับประทานอาหารกับท่าน บางคนก็พักที่บ้านท่านเพื่อต่อธรรมกับท่านอย่างเป็นกันเอง เพราะการฟังธรรมไม่ว่าจากอาจารย์คนไหนเพียงครั้งเดียว จะเปิดธรรมจนถึงที่สุดโดยไม่ต้องมาเรียนรู้อะไรอีกย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกคนจะต้องช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง อย่างมากด้วย
หลวงพ่อแช่ม :เออ... ว่างๆ หลวงพ่อจะหาโอกาสแวะไปสนทนาฉันกัลยาณมิตรกับท่านกตธุโรบ้าง เผื่อมีอะไรที่จะแลกเปลี่ยนกันได้บ้างในทางปฏิบัติ เพื่อสอนให้ลูกศิษย์ได้เห็นธรรมง่ายขึ้น
ผู้ใหญ่มา :ผมทราบจากคุณประพันธ์ว่า มีลูกศิษย์จากที่อื่นไปขอฟังธรรมจากท่านกตธุโรเหมือนกัน เป็นทำนองมาขอดูหน้าไพ่ มาดูว่าท่านสอนอย่างไร? ผิดแผกไปจากอาจารย์ของตนอย่างไร? เป็นธรรมะของพระพุทธองค์จริงหรือเปล่า? หรืออยากจะเทียบเคียงกันดูว่าวิธีไหนจะดีกว่ากันก็มี บางคนมาแบบไม่ได้ตั้งใจจะเรียนธรรมรู้เห็นธรรม เมื่อฟังดูแล้วเอาไปแปลผิดๆ ว่าท่านสอนให้ยึดสัญญาปัญญา, บ้างก็ว่ายอมรับไม่ได้เพราะท่านสอนว่า ปัญญาก็ไม่มีจริง จึงเหมาเอาว่าพูดเอาเองทั้งอาจารย์และศิษย์โดยไม่ได้เห็นธรรมจริง ซึ่งใครๆ ก็พูดได้ จึงไม่ได้ธรรมกลับไป คงได้แต่การมาดูบ้านอาจารย์ ดูหน้าอาจารย์และรู้จักศิษย์บางคนเท่านั้น
คุณประพันธ์เล่าอีกว่า ผู้ที่เปิดธรรมในเบื้องต้นยังไม่ได้ แต่ถ้าใส่ใจมาฟังซ้ำ หรือบางคนมีศรัทธาและตั้งใจอัดเทปของตัวเองไปฟังต่อที่บ้าน ไปใคร่ครวญต่อด้วยปัญญา และลองปฏิบัติดูก็จะเห็นธรรมขึ้นมาได้ ถ้าได้ปฏิบัติต่อไปพร้อมทั้งขยันมารับฟังหรือโทรศัพท์มาถามอาจารย์ ท่านก็จะชี้แนะให้หลุดพ้นจากการยึดถือตัวตนเป็นลำดับไปตามขั้นตอนของการละสังโยชญ์ ๑๐ ประการ เพราะท่านสอนให้ทิ้งหมด ไม่ติดแม้กระทั่งตัวรู้หรือปัญญา เพราะรู้นั้นไม่ใช่เรา ถ้ายังติดรู้ก็จะมีเราไปเกิด ไปตายอยู่ร่ำไป
หลวงพ่อแขม :อือๆ... หลวงพ่อเข้าใจทั้งสองฝ่าย ความจริงบัณฑิตทั้งหลายน่าจะปรองดองกันและช่วยกัน ร่วมมือกันทำสิ่งที่ยากให้ง่ายเข้า เปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำให้เห็นจริงอย่างที่พระพุทธองค์ทรงกระทำมาแล้ว เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้ความจริงได้รู้ง่ายๆ และเห็นความจริงเร็วขึ้น
ถ้าหลวงพ่อจำไม่ผิด เคยได้ยินคุณประพันธ์เล่าว่ามีอริยสงฆ์องค์หนึ่งไปสนทนากับท่านกตธุโรที่บ้าน และสนับสนุนวิธีการสอนของท่านกตธุโรที่สามารถเจาะลูกไก่ออกมาจากฟองไข่ออกจากเปลือกไข่ได้แบบลัดสั้น ท่านยังพูดว่าขออนุโมทนาในเทคนิคของท่านกตธุโรจริงๆ ที่ทำให้ผู้ปฏิบัติละสักกายทิฏฐิได้เร็วขึ้นแบบจิตจ่อจิตกันเลย โดยอาศัยนิทานแบบเซ็นและโวหารเด็ดๆ มาตะล่อมจนจิตผู้ฟังยอมจำนนด้วยปัญญา ออกมาจากการยึดติดในสมมติ และเกิดปัญญาเห็นธรรมแบบฉับพลันตามที่เป็นจริงได้ และในโอกาสต่อมาพระอริยสงฆ์ท่านนั้นยังพาพระลูกศิษย์ของท่านมาเปิดกระแสธรรมกับท่านกตธุโรอีก ๒-๓ องค์ นับว่าน่าสนใจจริงๆ หลวงพ่อจะหาโอกาสไปคุยกับท่านกตธุโรในเร็วๆนี้แหละ ผู้ใหญ่ช่วยนำทางไปก็แล้วกัน
ผู้ใหญ่มา :ตกลงครับหลวงพ่อ เมื่อไรหลวงพ่อพร้อมก็บอกผมเถอะครับ ผมจะพาไป วันนี้ผมกราบลาก่อน
หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ เจริญธรรมเถิด
-------------------------



Create Date : 20 สิงหาคม 2554
Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:50:49 น. 0 comments
Counter : 1386 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.