ทำบุญ สะเดาะเคราะห์ แต่ได้บาป--แก่นพุทธศาสน์

ทำบุญ สะเดาะเคราะห์ แต่ได้บาป--แก่นพุทธศาสน์

สุนัขได้เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานขั้นสูง--ใช่ครับ การยึดถือว่า นั่นเขา นี่เรา อันนี้ตัวกู ของๆกู มันก็ผิดหลักศาสนาเรื่องอนัตตาแล้วเต็มๆ จริงๆแล้วเราต้องเคารพมันในฐานะสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง

และมันชอบยั่วให้เราโกรธ นั่นก็เหมือนมาร คอยทดสอบการปฎิบัติจิต เรื่องความโกรธ ตัดไม่ได้สักที กว่าจะรู้ตัว กิเลสขี่คอไปล้ว ตีมันไปหลายตุ้บ เรื่องนี้เทพโกรธมาก ตอนเช้าก็โดนด่าไปหนึ่งรอบ

-------เพราะจริงๆแล้ว ผิดที่ถือตัวเองว่าเป็นสัตว์ชั้นสูง มองมันเป็นสัตว์ชั้นต่ำ จึงได้แสดงอากหาร ใช้เท้าถีบ เตะบ้าง แต่ก้ไม่ทำแรงหรือทำจริง แม้จะตี ก็ตีไม่ถูกหรอก มันเป็นแชมป์เรื่องการหลบหลีก จริงๆแล้ว หมาตัวนี้เป็นตัวเมีย แต่ท่าทางคล้ายๆหมาตัวผู้ เพราะดื้อและซนมาก

-----และเทพก็เอาวิญญาณมาฝากไว้อีก คือเป็นเป็นวิญญาณของงูตัวนึง เป็นตัวผู้ ชื่อไอ้ทอง แรกๆมามันชอบพุ่งมาจากด้านหลัง แล้วขวางเราทางด้านหน้า เหมือนงูไม่มีผิด บางทีก็ยืดตัวสูงๆแบบคนยืน อันนี้ก็เหมือนงู

-----นิสัยยียวนกวนบาทา เข้าที่ไหนพังที่นั่น คือนิสัยไอ้ทอง เทวดายังไม่กล้าทำอะไร แต่พอดีมันเลื้อยไปทางฝั่งยักษ์มาร ก็เลยโดนฆ่าตาย ตอนนั้นยักษ์ตัวนั้นก็โดนฆ่าไปเรียบร้อย พอดีกับเราได้นังขนุนมา เทพจึงขอเอาวิญยาณมาฝากไว้พักนึงก่อน

----มีชาติหนึ่งที่พระพุทธองค์ท่านบำเพ็ญมารมี เป็นยาจกปอนๆ นั่งในป่าช้า เด็กๆก็เอาไม้ไล่ขว้างท่านก็วางเฉย ต้องทำใจให้ได้อย่างนั้น

----อะไรคือความทุกข์ คือความอึดอัด คับแค้น ไม่สบายใจ ต้องทนกับสิ่งที่ไม่อยากจะทน--ความทุกแสนทุกข์นั้นจะทำให้เราทนทาน จะมีมาอีกก็ทนได้ เพราะเคยชิน และทุกข์มีคุณประโยชน์เหลือจะพรรณนา เพราะเราต้องวิ่งหาวิธีที่จะดับทุกข์พ้นทุกข์ ได้นิพพานก็ดี เพราะนิพพานคือความเย็น แต่เอาน่ะ แค่เฉพาะหน้าก็ดีแล้ว

---ผมเห็นนักธุรกิจคนนึง นั่งรำพึงว่า เป็นหนี้มาก ทุกข์เหลือเกิน และสรุปเองว่า ไม่เอาใจใส่ ปล่อยวางก็จะไม่ทุกข์--จริงๆแล้ว ก็ไม่ถูก เพราะเป็นหนี้ ก็ต้องใช้ ความรับผิดชอบลึกๆ ก็ทำให้ทุกข์ ความเมินเฉยในหนี้ แต่ลึกๆ ก็ทุกข์ เขาแก้โดยการไปกินเหล้า เที่ยว ให้ลืมทุกข์ แต่ก็เป็นแค่ชั่วคราว (ผมก็พลอยได้อาศัยไปกินกะเค้าด้วย) ทั้งใจส่วนตื้น ใจส่วนลึก โดนหมดเลย

-----ผมไม่เห็นจะทุกข์เลย กับเรื่องของคุณๆ เพราะทุกข์มันอยู่ที่คุณ(ยึดถือ)ไง เอางี้ เขียนใบโอน โอนความทุกข์มาที่ผมนี่

บางคนคิดว่า ไปบุญสะเดาะเคราะห์แล้วจะดี เรากำลังผลัดหนี้ หรือโยนหนี้กันแน่
--พี่สาวเล่าว่า ไปหบพระเกจิรูปหนึ่ง ท่านแก่แล้ว พอดีมีคนมาสะเดาะเคราะห์ ท่านก้ให้คนไปบอกว่า ไม่รับ ให้ไปทำที่อื่น แล้วท่านบ่นว่า อาตมารับไม่ไหวแล้ว เพราะแก่แล้ว
--พี่สาวมานึกๆ อ๋อ นี่ท่านต้องไปรับกรรมแทนทุกๆคนที่มาแน่นอนเลย เหมือนเราไปบอกเจ้าหนี้ของคนนั้นว่า ผมขอรับรองเอง เซ็นค้ำประกันให้ เจ้าหนี้ก็มาทวงกรรมเอากับเรา อย่างนี้ชัดไหมครับ---ท่านไส บาบา แม้มีบารมีมาก ท่านก็รับกรรม -รับเคราะห์แทนลูกศิษย์ บางครั้ง ถึงกับปากเบี้ยว ขาพิการไปแถบหนึ่ง แต่ก็พยายามเดิน จนคนรอบข้างต้องร้องไห้
---ทุกข์ แปลว่า ทนไม่ได้ เหลือทน--ทุกขัง อย่าไปขังไว้ครับ เดี๋ยวจะเน่า
--สมุทัย--ตรวจค้นดูสาเหตุแห่งทุกข์
--นิโรธ--ภาวะพิ้นทุกข์
---มรรค แนวทางที่จะต้องทำเพื่อการพ้นทุกข์

---ทีนี้มาดูสาเหตุ (ไม่ใช่พระเทศน์นะเนี่ย) ทุกข์ เกิดจากการมีร่างกาย สังขารทุกข์ เพราะเรามาเกิดไง ไม่มีร่างกายก็ไม่ทุกข์ แต่ทำไงได้ มันคือการสืบต่อของการเวียนว่ายตายเกิด เรียกได้ว่า เราคนเดียวก็กระดูกกองเป็นภูเขาเลากา น้ำตาแห่งความทุกข์ยังมากกว่ามหาสมุทรทั้งหมด

--"ถามฟ้า ฟ้าไร้คำ" เพราะในธรรมชาติไม่มีอะไรให้คำตอบเราได้ มนุษย์ต้องอยู่กับความหวาดกลัวจากภัยธรรมชาติ ผีสางเทวดา สัตว์ร้าย จึงได้เกิดเป็นศาสนาขึ้นมา

---พุทธศาสนาได้ให้แนวทาง รูปแบบวิธีที่เราจะหาคำตอบแห่งการพ้นทุกข์ แต่เราจะต้องเก่ง ต้องโดดลงมาทำเอง อภิมหาสงครามแห่งชีวิตนี้
ข้าศึกยกมาเป็นแสน พร้อมอาวุธร้ายแรง แต่เราต้องเป็น วัน แมน อาร์มี่ คือเป็นกองทัพที่มีคนเดียวเท่านั้น และไม่มีอาวุธเลย คือให้ใช้ใจเป็นอาวุธ แต่ถ้าเตรียมตังวพร้อม ฝึกมาดี ก็จะทรงประสิทธิภาพ

---จะว่าไป ก็ใช้ใจเรา สู้กับตัวเรานะแหละ แต่อีกฝ่ายมันคือกิเลส เปรียบเทียบดั่งพระพุทธองคืผจญกับพญามาร ก็น่าจะเป็นกองทัพกิเลส มีสิ่งเย้ายวนต่างๆนานา สาวงามทั้งสาม คือนาง ราคะ โทษะ โมหะ ก็เป็นพฤติกรรมของจิตทั้งสิ้น

--หัวใจพุทธศาสนา คือ หลักแห่ง ปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาท คือการวนเวียนแห่งการเกิดดับของจิต ที่เรามักแทนด้วยธรรมจักร-
---อย่างก่อนเราจะตาย(สิ้นใจ) ถ้าเราชอบนางแบบสาวสวย อาจได้เกิดเป็นสาวงาม หรือว่าเป็นกระเทยก้ได้ หรืออยากเกิดเป็นสุนัข ก็ได้เป็นสมใจ(คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้) เพราะจิตก่อนตายจะมีพลังมาก จะรวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนมิติ
---จริงๆแล้ว ก็ไม่มีอะไรผ่านสู่ความเป็นอะไร ทุกสิ่งว่างเปล่าอยู่เป็นนิจ แต่เราใช้ข้อความให้เห็นภาพ เพื่อสื่อถึงอะไรอย่างหนึ่ง บางคนก็อาจจะมองทะลุไปถึงสัจจธรรมได้เลย โอ ถ้าได้อย่างนั้นจะดีมาก ลูกศิษย์จะต้องเก่งกว่าอาจารย์
---คนชอบพูด -ชอบเขียนแบบข้าพเจ้านี้ เรียกว่า"ใบลานเปล่า" คือไม่รู่เท่าไหร่หรอ แบบว่า "ปี๊ปเปล่า" ก็จะเสียงดังหน่อย มีน้ำเต็มก็ไม่มีเสียงแล้ว

---ปฏิจจสมุปบาท
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2009 เวลา 13:55 น. | Author: ธนวัฒน์ สวัสดิ์แก้ว |
คำว่าปฏิจจสมุปบาท หมายความว่าเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นทุกอย่างย่อมมีที่มา โดยเราต้องรู้ผลที่เรากระทำขึ้น หากเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นกับเราก็ตาม เราต้องหาเหตุผลที่แท้จริงให้ได้ว่าเราได้ทำสิ่งใดลงไป เพราะเมื่อเราทำสิ่งนั้นลงไปแล้วย่อมมีผลพวงจากการกระทำของเราเสมอ แม้แต่หลักสูตรที่เป็นพระธรรมที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกก็ใช้ปฏิจจสมุปบาทในการสร้างทั้งสิ้น เมื่อเป็นดังนี้ปฏิจสมุปบาทจึงเป็นสุดยอดวิชาของพุทธศาสนา

ตัวอย่างของปฏิจสมุบปาท เช่นก่อนที่เราจะเปิดประตูบ้านได้ต้องเอากุญแจไขประตู ถ้าเราไม่เอากุญแจไขประตูก็เข้าบ้านไม่ได้ ดังนั้นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราเข้าบ้านได้เพราะเราเอากุญแจไขประตูบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้านได้ก็เข้ามาเปิดน้ำในตู้เย็นกินได้ การเปิดน้ำในตู้เย็นกินได้เป็นผลพลอยได้ของการใช้กุญแจไขประตูเข้าบ้านได้ เมื่อเรากินน้ำผลของการได้ดื่มน้ำเย็นทำให้คอที่เคยแห้งก็บรรเทาลงไปได้ ให้เราคิดย้อนกลับไปกลับมาแบบนี้ จะเริ่มจากผลท้ายสุดไปยังเหตุแรกสุด ถ้าคิดจากผลท้ายสุดคือคอที่เคยแห้งได้บรรเทาไปแล้วเพราะเหตุมาจากเรากินน้ำ เหตุที่เรากินน้ำได้มีผลมาจากเราสามารถเข้าบ้านได้ การเข้าบ้านได้เป็นผลมาจากเหตุที่เราไขประตูเข้าบ้านได้ การใช้ปฎิจจสมุปบาทคือเราต้องเริ่มเหตุที่ดีก่อน เพราะผลของเหตุตั้งต้นจะเป็นเหตุของสิ่งที่จะเกิดตามมาตามตัวอย่าง นั่นคือทำ ก. เกิดได้ผลเป็น ก. ผลของ ก. เป็นเหตุของ ข. เมื่อเราทำ ข. ผลของ ข. จะเกิด แล้วผลของ ข. อาจจะทำให้เกิด ค. ซึ่ง ค. นี้เราอาจไม่ได้เป็นผู้สร้างก็ได้ ปฏิจจสมุปบาทสำคัญที่ ผลที่เกิดจากการที่เราไม่ได้สร้างขึ้น เพราะหากเราทำเหตุตั้งต้นที่เป็น ก. ดีผลของ ก. ก็จะดี แล้วผลของ ก. ก็คือเหตุของ ข. ก็จะดี ผลที่เกิดจาก ข. จะดี เป็นเหตุให้เกิด ค. ก็ดีด้วย ไปเรื่อย ๆ จนถึงผลสำเร็จ

การฝึกปฏิจสมุปบาท ทำให้ผู้ฝึกมีปัญญา แล้วการใช้ปฏิจจสมุปบาทจะใช่ร่วมกับความรู้ที่มาจากจิตในรูปของสัมผัสที่ 6 ได้แก่สิ่งที่จิตบอกให้เราทำ ซึ่งจะมาในรูปของความคิด เมื่อเราทำไปแล้ว ตามตัวอย่างด้านบน คือเราเริ่มทำเหตุ ก. ขึ้นแล้ว เช่นมีความคิดแวบเข้ามาว่าให้ผู้เขียนไปนครสวรรค์ ผู้เขียนอยากไปเจอคนหนึ่ง สมมุติว่าชื่อ ก. แต่เมื่อผู้เขียนไปนครสวรรค์ผู้เขียนไม่เจอ ก. แต่เจอ ข. กับ ค. แทน ซึ่ง การได้เจอ ข. กับ ค. เป็นผลโดยตรงมาจากผู้เขียนได้ไปนครสวรรค์ แล้วทั้ง นาย ข. และ นาย ค. กลายเป็นผู้เกื้อหนุนที่ดีของผู้เขียนในเวลาต่อมา

ประโยชน์ของปฏิจจสมุปบาท จะทำให้เรากลายเป็นรู้จักกตัญญูรู้คุณคนด้วย เพราะเราจะคิดอยู่เสมอว่า บรรดาสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรามีที่มาอย่างไร แล้วต่อไปในอณาคตข้างหน้าจะมีที่ไปอย่างไร ทำให้เราไม่ลืมต้นกำเนิดของเรา อีกทั้งยังช่วยเราขจัดความหลงตนและการถือตัวอันเกิดจากความภาคภูมิใจในผลสำเร็จที่เราได้ด้วย เมื่อเรามีความกตัญญู ความกตัญญูนี้จะช่วยทำให้เราเจริญก้าวหน้าจากการปฏิบัติได้ ผู้ฝึกปฏิจจสมุปบาทจนชำนาญ มีความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทอย่างลึกซึ้ง จึงเป็นการกตัญญูซึ่งเป็นคุณธรรมสูงสุด เช่นผู้เขียนมีความกตัญญูต่อผู้ที่เข้ามาให้ผู้เขียนแนะนำวิธีการปฏิบัติให้ ถ้าไม่มีใครเข้ามาให้ผู้เขียนแนะนำ ผู้เขียนอาจจะไม่สามารถเข้าถึงธรรมชั้นสูงได้ เมื่อผู้เขียนมีความกตัญญูต่อผู้มาเรียนการปฏิบัติกับผู้เขียนแล้ว ทำให้ผู้เขียนมีแรงบรรดาลบใจที่จะทำอะไรเพื่อผู้อื่นแล้วน้ำอดน้ำทนที่จะทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่ย้อท้อต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นได้ดีขึ้น เมื่อผู้เขียนมีความกตัญญูต่อผู้มาเรียนการปฏิบัติธรรม ย่อมส่งผลให้ผู้เขียนมีความเจริญก้าวหน้าในทางธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นโดยที่ไม่ต้องมีผู้ใดมาคอยแนะนำเลยก็ตาม ผู้เขียนก็ยังสามารถเข้าใจธรรมะอันเป็นสัจธรรมได้ด้วยตนเองอยู่
--------------------------------------------------------------------
บทความข้างต้นก็ชัดเจน แต่ยังไมถูกใจข้าพเจ้านัก

--คนเรา-- ตัวเราคือผลของจิต-ความคิดเมื่อเสี้ยววินาทีก่อน

--เนื่องจากในโลกของจิตวิญญาณ ไม่มีแรงเสียดทาน ดังนั้น จิตจะหมุน จะเกิดดับได้ตลอด โดยไม่มีทางที่จะหยุดได้ นอกจากสติที่ไวกว่า จะจับการทำงานของจิตได้ จิตจะช้าลงๆจนสงบเย็น จนมองเห็น"ใบหน้าของเราก่อนที่จะเกิดมา"

--ไม่อยากจะบอกว่า การกินน้ำชา จะทำให้ร่างกายทำงานช้าลงีสติทุกขณะ ประเพณีการชงชา จะทำให้มีสติพอที่จะเห็นการทำงานของจิตได้ชัดเจน
--ในการฝึกการต่อสู้ เราจะฝึกมากๆ จนเป็นพลังของข้อมูล-ดาต้าเบส พอถูกโจมตี เราก็โต้ตอบโดยอัตโนมัต ถ้าสติเร็วพอ มันยังสามรถเห็นพฤติกรรมของจิต ในตอนที่ทำงานได้ด้วย
--นั้นคือเราสามารถบรรลุธรรมได้บนสังเวียนการต่อสู้ หรือตอนที่ยูโก๋วาดต้นไผ่ เขาไม่คิดอะไรนอกจากต้นไผ่ จนเหมือนว่าเขาเป็นต้นไผ่เสียเอง จึงวาดออกมาได้งดงามยิ่ง

สิ่งเหล่านี้เอามาประยุกต์ใช้ได้ เช่นการแสดงละคร บ่อยครั้งที่ดาราจะ"อิน"ไปกับบท จนต้องไปร้องไห้ที่บ้านต่อ-
-ดังนั้นทุกสิ่งก็คือการปฏิบัติธรรม ขับรถ นั่งเรือ กินเหล้า (เอ๊ยไม่ใช่แล้ว นี่มีอบายมุข) นักธุรกิจว่า กินเหล้าแบบมีสติไม่เป็นไร ไม่กินจะดีกว่าไหม ขวดตั้งหลายร้อย

--ในเมื่อใจเป็นใหญ่ กินน้ำชา กินโค้กก็เหมือนกินเหล้า ความเมาอยู่ที่จิต (เมาชีวิต หลงชีวิต)"สุรามังสะผ่านท้อง พุทธะอยู่ที่ใจ"
--อยากจะกระซิบดังๆว่า มีหลายๆสิ่งมากเลยที่เราคิดว่าเป็นประเพณี แต่คนโบราณท่านแฝงธรรมมะ แฝงนิพาน แฝงอนัตตามาให้แล้ว แต่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจกันเอง
--โชคดีครับที่เกอดเป็นคน โชคดีที่ได้พบพุทธศาสนา โชคดี ที่ได้ศึกษาพระธรรมกรรมฐาน เพื่อการหลุดพ้น เหมือนเด็กสอบเข้าป.1ได้ ยังไงๆ ครูต้องเข็นให้จบ ได้นิพพานจนได้ คนโง่ ก็จบไวหน่อย เพราะไม่คิดอะไร คนฉลาดขี้สงสัยนะจบช้า เพราะคิดหาเหตุผลอยู่
---จริงๆแล้ว ระบบของจิตใจ ต้องโปรแกรม(สั้งงาน)ด้วยรูปภาพ ไม่ใช่ถ้อยคำ หรือเหตุผล
--ไม่หนี ไม่อยู่ ไม่สู้ ไม่ถอย ไม่หนีทุกข์ ไม่ยอมอยู่ร่วมกับความทุกข์ ไม่สู้กับความทุกข์
(ใช้การปล่อยวางแทน) ไมถอย คือไม่ถอยให้กับกิเลสชั่วร้ายที่จะพาเราไปในทางที่ไม่ดี
---โอกาสการเกิดของมนุษย์เท่ากับเต่าตาบอดกับแอกวัว-- มาเจอกันในมหาสมุทร

ฏิจสมุปบาท /ปะติดจะสะหฺมุบบาด/ (สันสกฤต:ปรตีตยสมุตปาทะ) เป็นหลักธรรมข้อหนึ่งในพุทธศาสนา อธิบายถึง การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกัน จึงเกิดมีขึ้น

การที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา มีองค์หรือหัวข้อ 12 ดังนี้ คือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี
เพราะอุปทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี

อธิบายได้ว่า เป็นกลไกการทำงานของจิต ในทุกๆขณะ มีการหมุนเวียน จนได้ไปเกิดอีกครั้ง เรียกว่า กงล้อจิต(ธรรมจักร)ทำงานไปตลอดเวลา และมีผลตอนที่เราตาย ใกล้ตายจิตคิดอย่างไร เห็นภาพอะไรก็จะไปเกิดเป็นสิ่งนั้น เรียกว่าสร้างภพ สร้างฉาก สร้างภาพของเราเอง

--ท่านพุทธทาสก็พูดถูกที่ว่าให้มองเห็นกลไกของจิตตัวนี้ (ทำงานตลอด ดับได้ก่อน ไม่ต้องรอตอนใกล้ตาย)ให้ขัดเจน พอรู้ทัน ก็ให้ดับการสร้างภพ สร้างขาติ การเกิด เสียด้วยปัญญา เรียกว่า ตายก่อนตาย
---อวิชชา ก็เหมือนคำว่า อวิทยา คือความโง่ ความไม่รู้ในกฏธรรมชาติ ไม่รู้หลักธรรมมะ เรียกว่าเป็นความมืดบอด อย่างชาวตะวันตก คิดสร้าง รถ เรือ เครื่องบิน แต่ยังไม่รู้จักการเวียนตายเวียนเกิด ก็นับว่า โง่เง่าแบบอวิชชาทั้งสิ้น

----วันนี้ผู้เขียนดีใจมากครับ ที่ได้เขียนเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนา ตีความกันให้ดี และหมั่นนำมาตรึกตรอง โดยใช้หลักอนัตตา -ความไม่มีตัวตน เป็นพื้นฐาน *ท่านผู้อ่านก็อาจจะบรรลุธรรมได้ไม่ยากจริงๆ * ต้องยกความดีนี้ให้กับทุกท่านที่มาขอธรรมมะ และทุกท่านที่มีทุกข์มากมายให้ช่วยแก้ (อนัตตาสิครับท่าน ฟาดทีเดียวกิเลสแตกกระจาย หนีหายไปไม่เหลียวหลังกลับ)

---ในฐานะเป็นเพียงบุคคลๆหนึ่ง พระพุทธองค์องค์ท่าน ต้องนับว่าท่านมีสติปัญญาเลิศล้ำเหนือกว่าคนธรรมดา ที่สามารถนำกฏธรรมชาติ ความลี้ลับเป็นหมื่นๆแสนๆปีของการเวียนว่ายตายเกิด--กฏแห่งสากลจักรวาล มาให้เราได้ศึกษากัน เป็นจำนวนถึงแปดหมื่นสี่พันเรื่อง ซึ่งสามารถต้นคว้าต่อไปอีกโดยไม่สิ้นสุด

(หลุดพ้น สู่นิพพานภายในห้านาที--ทำได้โดยพิจารณาข้อความข้างต้น)

-----จริงๆแล้วการเข้านิพพานสำหรับท่านที่ได้บรรลุแล้ว อาศัยพลังบารมีของจิต และ-หรือพลังของจิตตอนเปลี่ยนภพ
ท่านให้เข้าญาณทั้งสี่ โดยลำดับ(ช่วงนี้ตายไปจะเป็นรูปพรหม พรหมที่มีรูป) แล้วเจริญญาณที่เป็นอรูปญาณ ย้อนไปย้อนกลับ
(ช่วงนี้ถ้าตาย จะเป็นรูปพรหม ไม่มีรูปร่าง ลักษณะเป็นดวงแสง หรือแสงทองที่กว้างไกลทั่วขอบฟ้า(เห็นมาแล้วน่ะ เป็นแสงสีเงินวิ่งปล๊าบไปสุดสายตา)) พอได้ที่ที่จิตจะดับ ก็ให้เจริญญาณตรงรอยต่อระหว่าง รูปญาณ กับอรูปญาณ จิตท่านก็จะไปนิพพาน
(อันนี้เป็นรายละเอียดทางเทคนิค) อย่างคุณแม่บุญเรือน ท่านเจริญญาณสี่อยู่ตลอดเวลา และพักจิตไว้ตรงนี้น ก็เกิดปาฏิหารย์ อย่างลมพายุได้
-----อย่างแม่ยายผม หมอจับกดหัวลงถ่ายเอ็กซ์เรย์ เลยถ่ายไม่ติดภาพ จะฉีดยากก็แทงเข็มไม่เข้า เข็มงอหมด เรียกว่าเป็นพลังเทพที่ต้างอยู่

อนุโลม-ปฏิโลมการเทศนาปฏิจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา

หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น

ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชาเป็นปัจจัย

ดังนี้เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา

[แก้] ลำดับแห่งปฏิจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะดับ ชาติ (การเกิดอัตตา"ตัวตน"คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่)

ชาติ จะดับไปได้เพราะดับ ภพ (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ)

ภพ จะดับไปได้เพราะดับ อุปาทาน (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ)

อุปาทาน จะดับไปได้เพราะดับ ตัณหา (ความอยาก)

ตัณหา จะดับไปได้เพราะดับ เวทนา (ความรู้สึกในทางทุกข์หรือสุขหรือความรู้สึกเฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์)

เวทนา จะดับไปได้เพราะดับ ผัสสะ (การสัมผัสด้วยประสาทต่าง ๆ)

ผัสสะ จะดับไปได้เพราะดับ อายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)

อายตนะ จะดับไปได้เพราะดับ นามรูป (ร่างกายและจิตใจ)

นามรูป จะดับไปได้เพราะดับ วิญญาณ (การรับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)

วิญญาณ จะดับไปได้เพราะดับ สังขาร (การนึกคิดหรือการปรุงแต่งของใจ)

สังขาร จะดับไปได้เพราะดับ อวิชชา (ความโง่เขลาหรือความไม่รู้:ไม่รู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง)

[แก้] สมุทยวาร-นิโรธวารการแสดงหลักปฏิจสมุปบาท เป็นการแสดงให้เห็น ความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่างๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจจ์ข้อที่สอง (สมุทัยสัจจ์) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจสมุปบาทที่แสดงแบบนี้เรียกว่า อนุโลมปฏิจสมุปบาท

(ดังแสดงสองตัวอย่างที่ผ่านไป เป็น อนุโลมเทศนา และ ปฏิโลมเทศนา ของอนุโลมปฏิจสมุปบาท ตามลำดับ)

การแสดงตรงกันข้ามกับข้างต้นนี้ เรียกว่า นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจจ์ข้อที่สาม (นิโรธสัจจ์) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจสมุปบาท แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย สืบทอดกันไป เช่น

เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ เพราะชาติ ดับชรามรณะ (จึงดับ) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ

ดังนี้เรียกว่า อนุโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจสมุปบาท

ส่วนปฏิโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจสมุปบาท ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะเป็นต้น ดับเพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ

[แก้] อิทัปปัจจยตา ธรรมนิยาม ปัจจยาการปฏิจสมุปบาทนี้ มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ที่สำคัญคือ อิทัปปัจจยตา(ภาวะที่มีอันนี้ๆเป็นปัจจัย) และปัจจยาการ (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน)

ก้] ข้อความอ้างอิงจาก มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร ...

ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ

จาก ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖

ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่าปฏิจสมุปบาท

(ภิกฺขเว ยา ตตฺร ตถตา อวิตถตา อนฺถตา อิทปฺปจฺจยตา อย วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท)

(ถ้าเขียนทับศัพท์จะได้ว่า -ภิกษุทั้งหลาย ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา หลักอิทัปปัจจยตา ดังพรรณนามาฉะนี้แล เรียกว่าปฏิจสมุปบาท)

[แก้] อ้างอิงพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์".
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม".
มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐
ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖
พุทธทาสภิกขุ. "ตัวกู-ของกู ฉบับย่อความ".

พท์แปลกๆ
--- วิญญาณ ต้องเรียกว่า จิตวิญญาณ เพราะวิญญาณแปลว่า การรับรู้อารมณ์ เบื้องบนเรียก "ญาณ" เฉยๆ เท่านั้นเอง
---อภัย แปลว่า ไม่มีภัย ปลอดภัย
---เวทนา แปลว่า ความรู้สึก คนไทยแปลว่า สงสาร เพราะใช้คำว่า "สมเพชเวทนา"บ่อยๆ เลยย่อมา
--วิริยะแปลว่า ความเพียรอย่างกล้าหาญ
--คนไทยเรียก "สมบัติพัสถาน" เบื่องบนเรียกว่า "สมบัติมาตราฐาน"
---------------------------------------------------------------
(เปลี่ยนเครื่องกลับมาเครื่องสำรอง ลงโปรแกรมไม่ได้ ลงแล้วไม่ทำงาน)
ช่วงนี้ติดฟังเพลง แต่อยากนอนก่อน--

ฉิคคฬสูตร ว่าด้วยความเป็นมนุษย์ยาก


[๑๗๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษโยนแอก ซึ่งมีช่องเดียวลงไปในมหาสมุทร
เต่าตาบอดมีอยู่ในมหาสมุทรนั้น ต่อล่วงร้อยปี ๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่ง ๆ เธอทั้งหลายจะสำคัญ
ความข้อนั้นเป็นไฉน เต่าตาบอดนั้น ต่อล่วงร้อยปี ๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่ง ๆ จะสอดคอให้เข้าไป
ในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นได้บ้างหรือหนอ?

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าล่วงกาลนานไปบางครั้งบางคราว
เต่าจะสอดคอให้เข้าไปในแอกนั้นได้บ้าง.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอด ต่อล่วงร้อยปี ๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่ง ๆ
สอดคอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้น ยังจะเร็วกว่า เราย่อมกล่าวความเป็นมนุษย์
เพราะคนพาลผู้ไปสู่วินิบาตแล้วคราวเดียวก็หามิได้ ข้อนั้น เพราะเหตุไร?
เพราะว่าในวินิบาตนี้ ไม่มีการประพฤติธรรม การประพฤติชอบ การกระทำกุศล การกระทำบุญ
มีแต่การเคี้ยวกินกันและกัน การเคี้ยวกิน ผู้มีกำลังน้อยกว่า
ย่อมเป็นไปในวินิบาตนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร
เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

[๑๗๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาปฐพีนี้มีน้ำเป็นอันเดียวกัน
บุรุษโยนแอกซึ่งมีช่องเดียวลงไปในมหาปฐพีนั้น ลมทิศบูรพาพัดเอาแอกนั้นไปทางทิศประจิม
ลมทิศประจิมพัดเอาไปทางทิศบูรพา ลมทิศอุดรพัดเอาไปทางทิศทักษิณ
ลมทิศทักษิณพัดเอาไปทางทิศอุดร เต่าตาบอดมีอยู่ในมหาปฐพีนั้น ต่อล่วงร้อยปี ๆ
มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่ง ๆ เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เต่าตาบอดนั้น
ต่อล่วงร้อยปี ๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่ง ๆ จะสอดคอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นได้บ้างหรือหนอ?

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่เต่าตาบอด ต่อล่วงร้อยปี ๆ
มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่ง ๆ จะสอดคอเข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นเป็นของยาก.

พ. ฉันนั้นภิกษุทั้งหลาย การได้ความเป็นมนุษย์เป็นของยาก
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลกเป็นของยาก
ธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วจะรุ่งเรืองในโลกก็เป็นของยาก
ความเป็นมนุษย์นี้เขาได้แล้ว พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
อุบัติแล้วในโลกและธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วก็รุ่งเรืองอยู่ในโลก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละเธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร
เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.


พระสูตรนี้สนับสนุนให้เห็นว่า สัตว์ทำบาปมีผล และทำให้ต้องไปนรก หลาย ๆ ต่อหลายครั้ง
จากข้อความที่เน้นไว้ให้ การเกิดเป็นสัตว์นี้ยากขนาดไหนจะเกิดเป็นมนุษย์อีก

ยกพระสูตรนี้มาให้เห็นว่าเกิดเป็นสัตว์นั้นคือวงจร ที่หนักหนาสาหัสเพียงไร
ถ้าเราเป็นมิตรให้มันได้ก็จะได้บุญมาก นั่นคือทำให้มันผิดศีลน้อยลง
niwat28/6/2006 22:32

อิปอน ป่องซา กะป๊อง ซาลี่" แปลว่า....(ทดสอบการสื่อสารแบบเซ็น) ไม่ต้องรู้เรื่องแต่สื่อสารโดยจิตสู่จิต
---แกะเม็ดข้าวด้วยฟัน ปลูกที่ละเมล็ด จนเต็มไร่นา การปลูกข้าวแบบปราณีต มีจริงทำได้จริง ข้าวเมล็ดเดียวจะแตกกอเป็น 32 ต้น ขณะเดียวกันจะชิมรสข้าวไปด้วย เลือกเฟ้นพันธุ์ จริงๆแล้วการปลูกข้าวครั้งแรกช่วงดำนา ไม่จำเป็นต้องมีน้ำ ขอแค่ดินชื้นๆ ซึ่งเราทำผิดมาตลอด
--ซังข้าวกอเดิม ใช้ย่ำตอซัง ล้มซัง ข้าวก็จะแตกกอมาใหม่ ไม่ต้องปลูกใหม่
--ข้าวที่ไม่ใช้สารเคมี ในนาข้าวก็เลี้ยงปลาได้ ถ้ามีหอยเชอรี่ ต้มขายส่ง กทม. เอาไว้ใส่ส้มตำ กก.ละ20 บาท วันๆ หาได้เป็นพันๆบาทครับ
----ใครมีญาติเจอน้ำท่วม ให้ใช้โฟม หรือแพไม้ไผ่ ใส่ดินหน่อยๆ แล้วปลูกผักบนนั้นเลยครับ 90วัน ได้กินผักแน่ๆ ถ้าแพไม่หลุดลอยไปก่อน

"อิปอน ป่องซา กะป๊อง ซาลี่" แปลว่า"ไม่ได้กินข้าวก็กิน ข้าวโพด" ภาษากะเหรียงหรือมูเซอไม่แน่ใจ
---เพลงสามพี่น้อง(ไทยใหญ่) "แต่เจ่น เมอ เขา..." แปลว่า "แต่เช่น เมื่อเขา" ภาษาไทยโบราณ ตอนนี้ใช้อักษรพม่าแทนไปแล้ว
--ที่สิบสองปันนายังใช้อักษรตัวกลม ตัวเมืองของไทยเหนือ พระเณร จะมาเรียนที่ไทยเยอะมาก --มีวีดีโอของทางการจีน แนะนำการท่องเที่ยว พูดว่า "สิบสวง ปานนา" น่าชื่อใจ คนไทยกระจายไปทั่วโลก มีการแต่งกายการฟ้อนรำ วัดวาอาราม ไม่ต่างกับคนเหนือแถวๆเชียงใหม่--ถ้าเขาได้มา --เราได้ไปพบกันคงดีใจน่าดูเลย ยิ่งชนชาติ"จ้วง" พูดเหมือนคนเหนือพูดกันเลย เคยเห็นในหนัง ยิ่งชาวเชียงตุงจะสนิทกับเรา และรักคนไทยมากๆ ชาวไทยใหญ่ ชาวลัวะ ชาวมอญ ก็เคยมาอยู่ร่วมกับเรา จนแทบกลืนไปหมดแล้ว มีเชื่อทางเหนือกลุ่มหนึ่งอยู่แถวตราด ก็รักษาประเพณีได้อย่างดี

----時の流れに身をまかせ (Toki no Nagare ni Mi wo Makase) โทกิ โนะ ทากาเระ โนะ มิ โว มากาเส--ใครฟังแล้วไม่น้ำตาคลอยกมือขึ้น
--- มีครั้งหนึ่งเติ้งลี่จิน ร้องไห้ออกมากลางรายการสด ตอนที่ร้องเพลงนี้ ยิ่งสวยมากขึ้นหลายเท่า ดั่งน้ำค้างพร่างพรมบนกลีบดอกไม้

https://www.youtube.com/watch?v=PwK7TEfBg9w&feature=related

----ช่วงปีนี้มีจะจานบินเยอะมาก เหมือนหยั่งเชิงว่า ถ้าเราจะจอดแล้ว พวกเธอจะยิงเรามั้ย อะไรแบบนี้ ที่จีนเล่นบินรอบสนามบินสองชั่วโมง เล่นเอาเครื่องบินไม่กล้าขึ้นลง ตีข่าวไปทัวโลก และมีสามครั้ง ไม่ใช่ครั้งเดียว
----------ถ้าเกิดผมตายก่อน ก็ช่วยดูเผื่อละกัน ช่วงนี้คงห้ามตาย เพราะเขียนธรรมมะยังไม่เสร็จ
----------ตะกี้ดูช่องสาม สงสงครอบครัวคุณสุประวัติ ปัทมสูตร ที่สูญเสียลูกสาวคุณกุ้งนางไปแล้ว พอถึงเวลา ชีวิตมนุษย์นี้ก็ไร้ที่พึ่งจริงๆ เดินทางสายเปลี่ยว ถ้าไมมีพทธศาสนาเกิดขึ้นจะทำไงกันดีละครับ
----จริงๆแล้วผมเป็นคนอ่อนไหวง่าย สะทือนใจง่าย รับรู้ทุกข์สุขของคนทั่วไป แถมยังชอบคิดเรื่องใหญ่ เรื่องของบ้านเมือง ประชาชน จนโมโหตัวเองเลยหละ เป็นเพราะเกิดใน ราชาฤกษ์ จึงมีจิตใจเป็นแบบนั้น ก็เลยตามเลย
---ที่มีน้ำท่วมมากทั่วโลก เพราะว่าน้ำแข็งทั่วโลกละลายมาก--- น้ำถูกนำเข้ามาในวงจรของพายุ-ฝนอย่างมาก จึงมีน้ำท่วมมากขึ้นกว่าทุกๆปี..และ ลองคิดสิ ปีหน้า...
---จะแก้ไขเรื่องโลกร้อนตอนนี้ ---ช้าไป 20 ปีแล้ว--- แถมยังแก้ไม่ถูกทางด้วย

---------------------------------------------------------------------------


Create Date : 18 กันยายน 2554
Last Update : 18 กันยายน 2554 21:05:06 น. 0 comments
Counter : 1441 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
18 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.