วิสุทธิ์” ด่านักการเมืองภาค 9 เลวทุกคน + ประเทศไทยในกำมือใคร?

วิสุทธิ์” ด่านักการเมืองภาค 9 เลวทุกคน พัวพันสิ่งผิดกฎหมายในพื้นที่ 90%


พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวว่า “กล่าวได้ว่านักการเมืองในพื้นที่ภาค 9 เลวทั้งนั้น โดย ช่วงเวลาที่ผมอยู่ในพื้นที่สามารถพูดได้ว่าปราศจากตู้ม้าอย่างสิ้นเชิง หรือการที่ตนบุกจับบ่อนการพนันที่หาดใหญ่ จับผู้กระทำผิด 60-70 คน ผมเสนอให้มีการย้าย ผกก.หาดใหญ่ทันที ทั้งๆ ที่ทุกคนรู้ว่า ผกก.คนนี้เป็นเด็กของใคร สิ่งที่ผมเอ่ยมานั้นไม่ใช่สีเทา แต่เป็นสีดำ จนเป็นเหตุให้มีการแทรกแซงการโยกย้ายผมในครั้งนี้คล้ายกับกรณีของ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ที่เสียชีวิตในหน้าที่ ภายหลังจากเดินทางมาร้องเรียนเพื่อขอย้ายออกจากพื้นที่ก่อนการเกษียณอายุ ราชการ แสดงให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้เพราะผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเข้า ล้วงลูกข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรมหรือไม่ การโยกย้ายต้องเอาเงินไปซื้อ นำผลประโยชน์ไปให้นักการเมือง จึงต้องตอบแทนนักการเมือง ทำให้เกิดการทุจริตขึ้น ผมขอเรียกร้องนายกรัฐมนตรีให้ปราบปรามการทุจริตของคนใกล้ตัวและในพรรคร่วมรัฐบาลเสียก่อน ค่อยมาปราบปรามหน่วยงานที่ไกลตัว วันนี้วิญญาณของ พล.ต.อ.สมเพียรอยู่อย่างไม่สงบ กำลังรอนายกรัฐมนตรีไปขอโทษ และผมเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ไปไม่รอด เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระสยามเทวาธิราชมีจริง” พล.ต.ต.วิสุทธิ์กล่าว
----หมวกขาว
เกียกกาย5109

หวัดดีค่ะพี่โน่...ผู้การแกแฉได้สะจาย...ว่าป่ะ

--(-ท่านผู้นี้นับถือเทพกวนอู ตรงไปตรงมา และบอกว่า หากไม่ซื่อสัตย์จริงๆ เทพกวนอูจะให้รเยแก่ผู้ครอบครองได้ ผลงานที่ผ่านมา สามรถบ่งบอกได้ถึงความตั้งใจจริงในการทำหน้าที่)
------------------------------------------------------------------------
ประเทศไทยในกำมือใคร?


แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับที่ประกาศใช้จะมีข้อกำหนดเหมือนกันว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย”แม้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชดำรัสในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ความว่า “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”

---------แต่จากอดีตจนถึงปัจจุบันอำนาจก็ยังไม่ได้เป็นของราษฎร โดยราษฎร และเพื่อราษฎรอย่างพระประสงค์ ยังมีการใช้อำนาจนอกระบบแทรกแซงการบริหาร กำหนดทิศทาง กำหนดนโยบายของประเทศเสมอมาจนกระทั่งปัจจุบัน แม้ในยามที่อำนาจนอกระบบปล่อยมือ ปล่อยวาง เว้นว่างไปเป็นระยะ แต่อำนาจอธิปไตยก็ไม่เคยเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง เพราะประเทศตกอยู่ในกำมือของคนไม่กี่คนที่สามารถจะชี้และกำหนดทิศทางการก้าวเดินได้ตามแต่ใจจะปรารถนา ประชาธิปไตยจึงไม่เคยมีจริงในประเทศนี้ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองและสถาปนาระบอบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนานถึง 78 ปี จนมีคนกระแหนะกระแหนว่า “ประชาธิปไตยอยู่ในมือประชาชนเพียง 1 นาที เมื่อยืนอยู่ในคูหาเลือกตั้งเท่านั้น”
-----------คำพูดที่ว่านั้นก็น่าจะเป็นความจริง เพราะหลังการหย่อนบัตรเลือกตั้งลงกล่อง ประชาชนก็แทบไม่มีส่วนร่วมเกี่ยวกับการกำหนดอนาคตของตัวเองและอนาคตของประเทศชาติอีกเลย หลังประกาศผลการเลือกตั้งอนาคตของประเทศตกอยู่ในกำมือของนักการเมืองที่เป็นเจ้าของพรรค แม้พรรคนั้นจะมีสมาชิกแค่หลักร้อย หลักพัน หรือหลักล้าน แต่สมาชิกก็ไม่ได้มีสิทธิ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจอนาคตของพรรค คงมีเพียงเจ้าของพรรค นายทุนพรรคเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดว่าจะเลือกพรรคการเมืองใดเข้ามาร่วมเป็นรัฐบาล หรือจะเข้าไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองใด วิถีการเมืองเช่นนี้เองที่ทำให้ประชาชนถูกลิดรอนอำนาจในมือ เพราะบางครั้งพรรคการเมืองที่คนหมู่มากของประเทศนี้ลงคะแนนเลือกให้มีจำนวน ส.ส. มากที่สุดในสภาก็ยังไม่ได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ แต่กลับเป็นพรรคการเมืองที่คะแนนเสียงระดับ 10 หรือหลัก 100 ต้นๆ รวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศแทน ข้อกำหนดการรวมเสียงข้างมากในสภาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลจึงไม่ตอบโจทย์ความเป็นประชาธิปไตย จริงอยู่ว่าเมื่อรวมจำนวนประชาชนที่ลงคะแนนเลือกพรรคที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล 5-6 พรรคแล้ว อาจจะมีมากกว่าพรรคที่มีเสียง ส.ส. อันดับ 1 ในสภา แต่ต้องไม่ลืมว่าที่ประชาชนเทคะแนนเสียงให้พรรคหนึ่งพรรคใดได้จำนวน ส.ส. มากที่สุดก็เพราะต้องการให้หัวหน้าพรรคการเมืองนั้นได้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องการให้พรรคการเมืองนั้นนำนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงมาบริหารประเทศ ประชาชนไม่ได้ต้องการให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่คะแนนเสียงรองลงมาเป็นนายกรัฐมนตรี ประชาชนไม่ได้ต้องการให้นำนโยบายของพรรคการเมือง 5-6 พรรคมายำรวมกันแล้วใช้บริหารประเทศ วิถีการเมืองเช่นนี้จึงไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ต่อมาเมื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรคเสร็จ เจ้าของพรรค นายทุนพรรคก็จะเป็นผู้กำหนดอีกว่าจะเอาใครเป็นรัฐมนตรีบริหารงานราชการแผ่นดิน ซึ่งมีรัฐมนตรีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ไม่ได้ลงหาเสียง ไม่ได้ลงสัมผัสกับประชาชน การเลือกคนมาเป็นรัฐมนตรีจะดูที่กลุ่มก๊วนและเงินทุน

----ใครมี ส.ส. อยู่ในกลุ่มมาก ใครลงทุนไปกับพรรคจำนวนมากก็จะได้เก้าอี้รัฐมนตรีเป็นสิ่งตอบแทน วิถีการเมืองเช่นนี้ทำให้รัฐมนตรีในรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยได้คนไม่ตรงกับงาน บางคนเรียนจบครูแต่ได้เป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข บางคนจบหมอแต่เป็นรัฐมนตรีเกษตรฯ บางคนจบเกษตรแต่เป็นรัฐมนตรียุติธรรม ขณะที่บางคนจบกฎหมายแต่เป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม เป็นต้น อนาคตของประเทศจึงถูกกำหนดด้วยนักการเมืองเพียงไม่กี่คน ในบางยุคบางสมัยนอกจากประเทศจะตกอยู่ในมือของนักการเมืองไม่กี่คนแล้ว ประเทศยังตกอยู่ในกำมือของพวกที่มีอำนาจอยู่นอกระบบ แต่มีอำนาจเหนือผู้ที่มีอำนาจอยู่ในระบบ สามารถสั่งการให้เอาใครมาเป็นนายกรัฐมนตรี เอาใครมาเป็นรัฐมนตรี และเอาพรรคการเมืองใดมาเป็นรัฐบาลก็ได้ ในสังคมประชาธิปไตยแบบไทยดูเหมือนว่าผู้คนจะยอมจำนนกับอำนาจนอกระบบเหล่านี้ ทำให้อำนาจนอกระบบยังคงมีอยู่และจะมีต่อไป พร้อมที่จะเข้ามาแทรกแซงได้ทุกเมื่อและทันทีที่เห็นว่าบ้านเมืองก้าวเดินออกนอกกรอบทิศทางที่ตัวเองต้องการ และพร้อมเข้ามาแทรกแซงทันทีเมื่อเห็นว่าอำนาจในระบบเริ่มมีความเข้มแข็งจนกระทบต่ออำนาจในมือตัวเอง การปฏิวัติรัฐประหารคือหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้

-------ความดำรงอยู่ของการมีอำนาจซ้อนอำนาจ มีรัฐซ้อนรัฐ ในการปกครองของประเทศจึงมีอยู่จริง และยังดำรงอยู่จนปัจจุบัน จริงอยู่แม้การทำปฏิวัติรัฐประหารจะกระทำโดยทหาร แต่หลายครั้งการปฏิวัติรัฐประหารก็ไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของหัวหน้าคณะปฏิวัติแต่เพียงผู้เดียว มีหลักฐานปรากฏและยืนยันชัดเจนว่า หลายครั้งหลายหนการปฏิวัติรัฐประหาร หัวหน้าคณะผู้ก่อการเป็นเพียงหุ่นเชิดของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเท่านั้น การปฏิวัติรัฐประการครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็เป็นเช่นนั้น คำถามจึงมีอยู่ว่า แม้ประเทศไทยได้ชื่อว่าใช้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งวันนี้ประเทศไทยอยู่ในกำมือของใคร?หากจะให้ส่องกล้องเอกซเรย์แยกแยะ จำแนก แตกเหล่าของกลุ่มอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบที่อยู่เหนืออำนาจของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของประเทศได้ คงสามารถจำแนกได้เป็นกลุ่มและเป็นลำดับชั้นของความสำคัญดังนี้ กลุ่มนักการเมือง กลุ่มนักการเมืองดูจะเป็นตัวละครและเป็นตัวเดินเรื่องที่สำคัญในการกำหนดทิศทางของประเทศ บางครั้งนักการเมืองสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง แต่หลายครั้งก็ต้องรับสัญญาณพิเศษจากผู้มีอำนาจที่เหนือกว่า ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ประชาชน

---------- หากจะให้กำหนดตัวบุคคลที่เป็นนักการเมืองในปัจจุบันที่มีผลต่อการกำหนดทิศทางของประเทศน่าจะประกอบด้วย

---------1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน การเป็นนายกรัฐมนตรีทำให้นายอภิสิทธิ์มีอำนาจหลายอย่างอยู่ในมือ แม้บางครั้งจะไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่การมีอำนาจในมือทำให้ทัศนคติ แนวคิด มุมมอง และการตัดสินใจมีผลต่อการกำหนดทิศทางของประเทศ ดังมีตัวอย่างที่ชัดเจนจากเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา หากวันนั้นนายอภิสิทธิ์ตัดสินใจคืนอำนาจประชาชน ประเทศไทยก็จะไม่เหมือนปัจจุบัน ไม่มีประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตาย ไม่มีการเผาทำลายอาคารและทรัพย์สิน นายอภิสิทธิ์จึงมีความสำคัญเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มนักการเมืองที่มีผลต่ออนาคตของชาติ เพราะการตัดสินใจใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือสามารถกำหนดทิศทางของประเทศได้

-------2.กลุ่มนายทุนและเจ้าของพรรคการเมืองตัวจริง ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้จะมีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้ตัดสิทธิทางการเมืองนักการเมืองดังๆไปหลายคน มีผลทำให้ไม่สามารถลงสมัครเลือกตั้งได้ เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ แต่นักการเมืองเหล่านั้นจำนวนมากกลับมีบทบาทและมีอำนาจสั่งการอย่างแท้จริงในทุกพรรคการเมืองที่มี ส.ส. อยู่ในสภาขณะนี้ บรรดาหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค มีสถานะเป็นเพียงหุ่นเชิดของนักการเมืองผู้อยู่เบื้องหลัง ไม่มีใครปฏิเสธว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นของนายเนวิน ชิดชอบ นักการเมืองผู้ถูกตัดสิทธิ และมีส่วนหนึ่งเป็นของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน นักการเมืองผู้ถูกตัดสิทธิ ไม่มีใครปฏิเสธว่าพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นของนายบรรหาร ศิลปอาชา นักการเมืองผู้ถูกตัดสิทธิไม่มีใครปฏิเสธว่าพรรคเพื่อแผ่นดินเป็นของกลุ่ม 3 พี อันประกอบด้วย ว่าที่ ร.ต.ไพโจน์ สุวรรณฉวี นายพินิจ จารุสมบัติ และนายปรีชา เลาหะพงศ์ชนะ เป็นของหัวหน้ากลุ่มบ้านริมน้ำที่ชื่อนายสุชาติ ตันเจริญ นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ และพรรคเพื่อแผ่นดินยังเป็นของหัวหน้ากลุ่มปากน้ำที่ชื่อนายมั่น พัฒโนทัย เป็นของหัวหน้ากลุ่มประชาที่ชื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นของหัวหน้ากลุ่มที่ยังมีชื่อเรียกไม่แน่นอนที่มีนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง เป็นผู้นำ ซึ่งนักการเมืองเหล่านี้ไม่ได้ถูกตัดสิทธิ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครปฏิเสธเสธว่าพรรครวมชาติเป็นของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิและไม่มีใครปฏิเสธอีกเช่นกันว่าพรรคเพื่อไทยเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักการเมืองผู้ถูกตัดสิทธิ พรรคการเมืองเหล่านี้ต้องดำเนินนโยบายและเล่นการเมืองตามบทบาทที่เจ้าของพรรคเป็นผู้กำหนด ความชัดเจนประการหนึ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ได้ดีคือ การสลับขั้วเปลี่ยนข้างจากการสนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาเป็นการสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี พลันที่นายเนวินนำ ส.ส. กลุ่มเพื่อนเนวินเดินออกจากพรรคเพื่อไทย พลันที่นายบรรหาร นายสุวัจน์ หัวหน้ากลุ่ม 3 พี และหัวหน้ากลุ่มอื่นๆ ส่งสัญญาณไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ทำให้พรรคเพื่อไทยที่แม้จะมีจำนวนเสียง ส.ส. ในสภามากที่สุดต้องอยู่ในสถานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านแม้การตัดสินใจของบรรดาเจ้าของพรรคตัวจริงจะไม่ได้เป็นไปอย่างอิสระตามที่รับรู้กัน แต่ผลแห่งการตัดสินใจก็เปลี่ยนทิศทางของประเทศประหนึ่งจากซ้ายหันเป็นขวาหันได้ทันทีเช่นกัน และการตัดสินใจของบรรดาตัวจริงหลังจากนี้ก็จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศอย่างไม่ต้องสงสัยได้เช่นกัน

---------------3.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องจับเอา พ.ต.ท.ทักษิณแยกออกมาจากบรรดาเจ้าของพรรคการเมืองอีกชั้นหนึ่งเพราะว่า พ.ต.ท.ทักษิณวันนี้อยู่ในสถานะที่สามารถตัดสินใจได้ค่อนข้างเป็นอิสระจากอำนาจที่เหนือกว่า ซึ่งแตกต่างจากเจ้าของพรรคการเมืองคนอื่นๆ วันนี้อำนาจนอกระบบไม่อาจสั่งให้ พ.ต.ท.ทักษิณซ้ายหันหรือขวาหันได้ตามแต่ใจตัวเองปรารถนาอีกต่อไป ดังนั้น การตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณในแต่ละเรื่องที่เป็นการแสดงออกผ่านพรรคการเมืองจึงมีความสำคัญ จากพรรคไทยรักไทยมาเป็นพรรคพลังประชาชน และจากพรรคพลังประชาชนมาเป็นพรรคเพื่อไทย การรักษา ส.ส. จำนวนมากเอาไว้ในมือได้ท่ามกลางแรงบีบคั้นรอบด้านทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีความสำคัญต่อการกำหนดอนาคตและทิศทางของประเทศได้เช่นกัน หากสั่งลุยต่อตามแนวทางเดิมที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ประเทศในวันข้างหน้าก็จะมีโฉมหน้าอย่างหนึ่ง แต่หากละทิ้งแนวทางเดิม สั่งให้ ส.ส. ในสังกัดและพลังการเมืองนอกสภาปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ปรับเปลี่ยนยุทธวิถี ก็จะมีผลทำให้โฉมหน้าของประเทศเปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่ง การสั่งลุยหรือสั่งถอยของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงมีความสำคัญต่อประเทศไม่น้อย กลุ่มนายทหารที่อยู่บนส่วนหัวของกองทัพ ทหารไทยไม่เคยถอยห่างจากการเมือง โดยเฉพาะทหารบก บางยุคบางสมัยก็เข้าไปแทรกแซงการเมืองมาก บางยุคบางสมัยก็เข้าไปแทรกแซงการเมืองน้อย ขึ้นอยู่กับบริบทของสังคมไทยในช่วงนั้นๆ

-----และขึ้นอยู่กับผู้ที่มีอำนาจสั่งการนายทหารที่เป็นส่วนหัวของกองทัพ บทบาทของทหารไทยตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นที่รู้กันว่าเป็นอย่างไร หลังใช้ปืนยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนมาไว้ในมือ ทหารก็ยังไม่ได้ถอยออกจากการเมืองจนถึงวันนี้ ตัวละครสำคัญของกองทัพในปัจจุบันต้องยกให้ ป หนึ่งคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน อีก ป หนึ่งคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้เป็นผู้บัญชาการทหารบกในปัจจุบัน ทั้ง 2 ป มีบทบาทอย่างมากตั้งแต่ก่อนและหลังการทำรัฐประหาร และจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดทิศทางของประเทศในวันข้างหน้า สำคัญทั้งการตัดสินใจที่กระทำด้วยตัวเอง สำคัญทั้งการตัดสินใจและกระทำตามความต้องการของผู้ที่อำนาจเหนือกว่าเป็นผู้สั่งการ ดั่งเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับการเปลี่ยนรัฐบาลบริหารประเทศและการนองเลือดที่แยกคอกวันและแยกราชประสงค์

-----กลุ่มมือที่มองไม่เห็น กลุ่มอำนาจนอกระบบ คนกลุ่มนี้ไม่ต้องลงเลือกตั้ง ไม่ต้องยกมือไหว้ประชาชน ไม่ต้องเดินหาเสียง แต่มีอำนาจ มีบารมีเพราะมีต้นทุนทางสังคมสูง มีสถานะทางสังคมสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป และมีบุญเก่าที่บรรพบุรุษทำเอาไว้
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้น ประเทศไทยแม้จะใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้บริหารประเทศ แต่ประเทศนี้ก็ยังมีอำนาจเหนืออำนาจ มีความเป็นรัฐซ้อนรัฐอยู่

--------กลุ่มอำนาจนอกระบบ กลุ่มมือที่มองไม่เห็นยังแยกได้เป็น 2 ระดับคือ ระดับที่มีอำนาจจริง และพวกแอบอ้างเพื่อใช้อำนาจ คนกลุ่มนี้อาจใช้อำนาจโดยตรงด้วยการเรียกผู้มีอำนาจในระบบไปสั่งการ หรือใช้อำนาจผ่านพวกนอมินีที่เป็นตัวแทน บุญบารมีและสถานะทางสังคมทำให้สามารถเรียกใช้และสั่งการบุคลากรได้ในทุกองค์กร สามารถสั่งถูกเป็นผิด สั่งผิดเป็นถูก สามารถเลือกที่จะเอาใครหรือไม่เอาใครอยู่ในตำแหน่งใดก็ได้ตามต้องการ สามารถสั่งสร้างสถานการณ์ใดให้เกิดขึ้นเพื่อปูทางสร้างความชอบธรรมก่อนใช้อำนาจ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามต้องการได้ ดังเป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักการเมือง ข้าราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และประชาชน

--------ทุกกลุ่มที่กล่าวมานั้นตัดสินใจและใช้อำนาจโดยหวังผลที่แตกต่างกันไป บ้างทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ตัวเอง ทำเพื่อให้ตัวเองได้มีอำนาจอยู่ต่อไป บ้างทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจอันจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ และบ้างก็ทำเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ในรูปของทรัพย์สินเงินทอง แต่ไม่ว่าคนกลุ่มต่างๆเพียงไม่กี่สิบคนเหล่านี้จะคิดหรือตัดสินใจทำอะไร ล้วนไม่มีประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจ หรือหากจะมีก็เป็นเพียงน้อยนิด เป็นเพียงเส้นใยบางๆที่ไปเกาะเกี่ยวในลักษณะที่ให้กลุ่มอำนาจเหล่านี้ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อดำเนินการในสิ่งที่ตัวเองต้องการเท่านั้น เพราะทุกคนในกลุ่มเหล่านี้ไม่ว่าคิดหรือทำอะไรมักอ้างเสมอว่าทำเพื่อประชาชน  ประชาชนคนไทยจึงมีสถานะเป็นเพียงตัวประกันของกลุ่มอำนาจ หาใช่ผู้มีอำนาจที่แท้จริงตามระบอบประชาธิปไตยไม่ 

ประเทศไทยในกำมือของใคร? จึงไม่ควรเสียเวลาตั้งคำถามอีกต่อไป
เกียกกาย2114

ระดับ: สารวัตรทหาร
:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน ปีที่ 12 T7.



Create Date : 20 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2553 18:57:00 น. 0 comments
Counter : 1750 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
20 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.