สายบ่หยุดเสน่ห์หาย
27 มกราคม 2559
หนังสือเล่มที่ผมอ่านในวันนี้เป็นนวนิยายของนักเขียนสตรีผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่ช่วงเวลาหนึ่งเธอที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นราชินีแห่งเรื่องรัก ในนามปากกา สุวรรณี สุคนธา นวนิยายเรื่อง สายบ่หยุดเสน่ห์หาย นี้ถือเป็นนวนิยายเรื่องแรกของเธอที่แต่งขึ้นในราวปี 2508 ในยุคที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของนวนิยายแนวพาฝัน ที่เริ่มมีนวนิยายรักออกมาสู้ตลาดมากมาย
ผมอ่าน สายบ่หยุดเสน่ห์หาย แล้วมีความรู้สึกเหมือนอ่านนวนิยายแปลเลย เพราะผมคิดว่าวิธีการเขียนการแต่งคล้ายกับเรื่องของต่างประเทศมาก วิธีการเล่าเรื่องที่กระโดดไปกระโดดมาเหมือนสไตล์การเขียนของฝรั่ง วิธีเล่าถึงตัวละครต่าง ๆ ก็ดูเหมือนจะพยายามหลบซ่อนให้ผู้อ่านเดาไม่ออกในตอนแรก อย่างเช่นการขึ้นต้นที่ตัวละครจะถูกเรียกว่า เขา หรือ เธอ โดยตลอด จนทำให้ผู้อ่านต้องพยายามคิดเอาเองตลอดว่า เขา หรือ เธอ นี้หมายถึงตัวละครตัวไหน ซึ่งสไตล์การเขียนในลักษณะนี้อาจะออกเป็นเชิงวรรณกรรม แต่เชื่อว่านักอ่านหลาย ๆ ท่านอาจจะไม่ชอบ เพราะว่าคงแปลกใหม่ในช่วงเวลานั้น อีกทั้งนักเขียนคนอื่น ๆ ไม่ใช้วิธีการเขียนในสไตล์นี้เลย นักเขียนส่วนใหญ่จะเขียนโดยการเล่าเรื่องไปตามลำดับเวลามากกว่า
ส่วนเนื้อเรื่องนั้นเป็นการเล่าถึงความรักของหนุ่มใหญ่กับสาวน้อย ที่กว่าตัวละครเอกฝ่ายชายจะมาพบและรักนางเอกได้ก็ในตอนปลายสุดของเรื่องแล้วจบเลย พล็อตหลักเป็นเรื่องของความรักที่แตกต่างกันทั้งในด้านอายุและสภานะทางสังคม ตัวละครพระเอกดีเลิศเลอดุจเจ้าชาย หน้าตาหล่อร่ำรวยมีการศึกษาดี เกิดในครอบครัวที่มีกิน แต่ตัวละครนางเอกนั้นเปรียบเสมือนนางฟ้าผิดสวรรค์ เพราะว่าเธอสวยมาก สวยมากชนิดที่ตัวละครตัวอื่น ๆ ทุกตัวยอมรับว่าเธอมีรูปร่างและหน้าตาที่สวยมาก แต่นางเอกเกิดในครอบครัวที่ยากจนชนิดไม่มีบ้านจะอยู่ เธอจึงเป็นคนมีการศึกษาต่ำจึงจำเป็นต้องไปทำงานที่สุจริตแต่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป (โดยเฉพาะพระเอก) คือมีอาชีพเป็นนางแบบเปลือยสำหรับให้นักศึกษาศิลปะวาดภาพนู้ด พระเอกกับนางเอกไม่เข้าใจกันตลอด โดยกว่าจะรู้ว่ารักก็ในตอนจบท้ายสุดของเรื่องเลย จึงเป็นนิยายรักแบบเบา ๆ ทีมีอุปสรรคแค่เรื่องความแตกต่างทางอายุ (ตอนต้นเรื่องพระเอก 22 นางเอก 8 ขวบ) และความไม่เข้าใจกันเท่านั้น
นี่หรือหญิงคนที่เคยเข้ามาอยู่ในความนึกคิดของเขา เคยนึกดูหมิ่นหล่อนนัก ค่าที่หล่อนไม่รู้จักความอายอย่างหญิงอื่น คนนี้หรือคือคนที่นั่งจ้องดูเขาอย่างเงียบ ๆ นี้หรือคือเจ้าของร่างเปลือยในรูปที่เขาใคร่จะได้เป็นเจ้าของ โอ้หล่อนดูช่างบริสุทธิ์เกินกว่าเขาจะคิดไปถึง ดูนัยน์ตาหล่อนสิ ดูหน้าอันอ่อนหวานแสนซื่อ และยิ้มราวกับดอกบัว ทำไมต้องเป็นหล่อน ทำไม ทำไมจึงไม่ใช่คนอื่น ... (หน้า 437)
มีนักวิชาการทางภาษาท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า
นักเขียนมีหน้าที่บันทึกเรื่องราวทางสังคมในช่วงเวลานั้น ๆ ด้วย
ซึ่งเรื่อง สายบ่หยุดเสน่ห์หาย นี้ได้ทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวทางสังคมในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี ผมอ่านเรื่องนี้แล้วผมได้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ มากมาย ผมอ่านแล้วได้รู้ว่าในปี 2508 นั้นแถวบางซ่อนยังเป็นชนบทที่ห่างไกลความเจริญมาก , ที่ริมคลองประปาเป็นแถวบางซื่อเป็นทุ่งโล่งสำหรับปลูกผักและดอกไม้เป็นแนวยาวขนานไปกับคลอง , ถนนเพชรบุรีเคยมีวงเวียนน้ำพุซึ่งผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่ามี (อยู่ตรงไหนหว่า?) , ส่วนถนนเพชรบุรีตัดใหม่นั้นสร้างขนานไปกับทางรถไฟซึ่งแถวนั้นยังมีที่โล่งอีกจำนวนมากสำหรับปลูกอาคารสำนักงาน (น่าจะเป็นแถวอาร์ซีเอในปัจจุบันนี้) , การเดินทางจากฝั่งบ้านเพไปเกาะเสม็ดต้องไปด้วยเรือเป็ดลำเล็ก ๆ ฯลฯ ซึ่งภาพในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดแล้ว แต่เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วผมจึงทราบนายละเอียดพวกนี้ นอกจากนั้นสภาพสังคมในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร? คนกินอะไรกัน? คนดูหนังหรือเที่ยวอย่างไร? ในเรื่องนี้ทำให้เรามองเห็นภาพผู้คนเหล่านั้นได้
นอกจากนั้น ในเรื่องอาชีพของนางเอกที่เป็นนางแบบเปลือยสำหรับวาดภาพนู้ดน่าจะเป็นสิ่งที่สังคมยังไม่เคยรู้มาก่อน(ในสมัยนั้น) แต่ว่าตัวผู้เขียน (สุวรรณี สุคนธา) เรียนจบด้านศิลปะมาจึงสามารถเล่าโดยให้รายละเอียดได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีตัวละคร 2-3 ตัวในเรื่องที่เรียนเกี่ยวกับศิลปะด้วย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวคนเขียนแต่ไกลตัวคนอ่านมาก จึงน่าจะเป็นความแปลกใหม่ในสมัยนั้นด้วย รวมทั้งวิธีการคิดและการใช้ชีวิตของตัวละครในเรื่องที่กลายมาเป็นวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ในสังคมที่เราพบเห็นได้ในทุกวันนี้
เรื่องนี้จึงเหมาะสำหรับท่านที่อยากจะอ่านเรื่องรักแบบเบา ๆ แต่มากไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องต่าง ๆ หรือท่านใดอยากเห็นสภาพบ้านเมืองในเวลานั้นก็หาเรื่องนี้มาอ่านได้ ถือว่าเป็นนวนิยายที่บรรยายฉากได้อย่างชัดเจนจนผู้อ่านสามารถเห็นภาพตามได้ สำหรับนวนิยายเรื่อง สายบ่หยุดเสน่ห์หาย เล่มที่อยู่ในมือผมนี้เป็นฉบับของสำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร ของบูรพาสาส์น (1991) ฉบับพิมพ์เดือนกุมภาพันธ์ 2540 ด้วยความหนา 569 หน้า ราคาปก 160 บาท (เย็บกี่ไสกาวปกอ่อน) เล่มนี้ผมซื้อจากบูทบูรพาสาสน์ ในงานหนังสือเมื่อ 2 ปีก่อน เห็นว่ามีฉบับล่าสุดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Free From วางขายอยู่ตามร้านหนังสือ ท่านที่สนใจก็ลองหาดูนะครับ
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือนะครับ
Create Date : 27 มกราคม 2559 |
Last Update : 27 มกราคม 2559 10:23:54 น. |
|
21 comments
|
Counter : 2571 Pageviews. |
|
|