ถนนชีวิต MAIN STREET
30 มกราคม 2559
หนังสือเล่มที่ผมอ่านในวันนี้เป็นหนังสือแปลของนักเขียนชาวอเมริกันคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี 1930 เขาคือ ซินแคลร์ ลูอิ๊ส จากนวนิยายทรงพลังเรื่อง MAIN STREET ที่แปลเป็นชื่อไทยว่า ถนนชีวิต เล่มนี้แปลโดยคุณประสิทธิ์ ตั้งมหาสถิตกุล เป็นนวนิยายชีวิตของคนชนบทแถบมิดเว้สต์ของประเทศสหรัฐอเมริกา (หมายถึงรัฐทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา 12 รัฐได้แก่ อิลลินอยส์ , อินเดียน่า , ไอโอว่า , มิชิแกน , มินนีโซต้า , มิสซูรี่ , เนบ๊าสก้า , ดาโกต้าเหนือและใต้ , โอไอโอ้ และวิสคอนซิ่น) ชีวิตที่มีความผูกพันกับท้องถิ่นที่พวกเขาอยู่ ซึ่งได้แก่เมือง โกเฟ่อร์แพรรี่ (ที่เป็นเมืองสมมุติในเรื่อง) ในรัฐมินนีโซต้า โดยเล่าเรื่องของผู้คน(ตัวละคร)ผ่านการดำเนินชีวิตบนถนนสายหลักของเมือง ที่เรียกว่าเมนสตรีทนั้นเอง
Main Street ถนนสายเดียวที่ผ่านเข่ามาในอำเภอ ตำบลหรือหมู่บ้าน ที่เปลี่ยนจากถนนแดง(ถนนลูกรัง ฝุ่นคลุ้งยามแล้ง เฉอะแฉะยามฝน)เป็นถนนดำ(ถนนลาดยาง) ร้านรวงต่าง ๆ ปรับตัว เมืองที่ใหญ่หน่อยมีร้านค้า และห้างทันสมัยจากตัวจังหวัด กระทั่งกรุงเทพฯ มาเปิดสาขาทุกที่ทั่วไทยเกิดปรากฏการณ์แบบ Main Street ภาพตัดกันระหว่างชุมชนผู้คนชาวเกษตรกรรมกับผู้คนแบบชาวเมือง ที่คนเหล่านั้นพยายามทำตัวเป็นชาวเมืองที่เกิดขึ้นเป็นปรกติในชีวิตประจำวัน (จากคำแถลงสำนักพิมพ์ หน้า 6)
คำกล่าวข้างบนนี้เป็นคำเปรียบเปรยโดยสำนักพิมพ์ทับหนังสือผู้จัดพิมพ์นวนิยายแปลเล่มนี้ เป็นคำอธิบายโดยเทียบให้เห็นภาพกับเมืองไทย เพื่อทำให้ผู้อ่านพอเห็นภาพลาง ๆ ได้ สำหรับผมเมื่ออ่านเรื่องนี้จบแล้วผมก็พอมองเห็นภาพของถนนหลักที่เรียกว่าเมนสตรีท (Main Street) ได้ประมาณคือถนนในเมือง ถนนสายแรกสุดของตำบลในเมือง ถนนเส้นหลักที่เลี้ยวออกมาจากทางหลวงสายใหญ่ ถนนลาดยางที่วิ่งผ่าเข้ามากลางชุมชมของเมืองที่มีทั้งที่ว่าการอำเภอหรือที่ทำการ อบต. ธนาคาร ร้านค้า ตลาดสด โรงเรียน โรงภาพยนตร์และสถานบันเทิงอยู่บนถนนเส้นนั้น โดยความยาวหรือความคึกคักของถนนนั้นจะมากน้อยไปตามขนาดของเมืองนั้น ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงจะพอมองเห็นภาพเหล่านี้ตามเมืองชนบทของไทยเช่นกัน
สำหรับในเรื่อง ถนนชีวิต (MAIN STREET) นี้เป็นเรื่องของตัวละครเอกที่เป็นผู้หญิงชื่อ แคโรล มิลฟอร์ด สาวสวยทันสมัยจากเมืองกรุงที่จบจากมหาวิทยาลัยดัง(บล็อดเจ๊ตต์)ในเมืองมินีแอลโพลิส นางเอกของเรื่องได้แต่งงานกับคุณหมอท้องถิ่นจากเมืองโกเฟ่อร์แพรรี่ เมืองชนบทที่เต็มไปด้วยท้องทุ่งแพรรี่ พระเอกของเรื่องที่ชื่อนายแพทย์วิลล์ เค็นนิข๊อตต์ ผู้จีบเธอด้วยภาพถ่ายท้องทุ่งชนบทอันสวยงามจำนวน 12 รูป และความหวังในการสร้างสรรค์เพื่อเปลี่ยนเปลี่ยนเมืองชนบทนี้ให้เป็นสวรรค์ที่สวยงามสำหรับเธอ ทั้งคู่แต่งงานกันและมุ่งหน้าสู่เมืองโกเฟ่อร์แพรรี่ เมืองที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของหญิงสาวนามแคโรลไปตลอดกาล
ด้วยความหวังและความตั้งใจที่อยากจะเปลี่ยนแปลงเมืองให้เป็นตามใจที่เธอต้องการ แคโรล เค็นนิข็อตต์ ภรรยาสาวแสนสวยของนายแพทย์ประจำเมืองจึงพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่าง อาทิเช่น เธอพยายามเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการพบปะสังสรรค์ในสนุกสนานขึ้น , เธอต้องการปรับปรุงศาลากลางประจำเมืองใหม่ , เธอจัดตั้งชมรมการแสดงจัดแสดงละคร ฯลฯ รวมทั้งช่วยสามีที่เป็นนายแพทย์ทำหน้าที่ดูแลคนไข้ และไปเยี่ยมไข้พร้อมกับสามีด้วย แต่ความตั้งใจทั้งหมดของเธอไม่เป็นผลสำเร็จ เธอมิอาจเปลี่ยนแปลงเมืองได้อย่างที่ใจนึก ในท้ายที่สุดเธอก็ถูกเมืองโกเฟ่อร์แพรรี่กลืนกินไปจนหมดสิ้น เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองไปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งกลายเป็นความโศกเศร้าประจำใจเธอตลอดเวลาที่ได้อาศัยอยู่ในเมืองนี้ เหมือนเธอได้ภาวะติด เชื้อไวรัสหมู่บ้าน (village virus) ที่แพร่เชื้อกระจายจากคนในเมืองนี้มาสู่ตัวเธอ จนทำให้เธอต้องการหนีออกไปจากเมืองนี้ให้ได้
การหลบหนี่ที่เกิดจากแรงปรารถนาภายในนั้นมิใช่เพียงหนีจากที่แห่งหนึ่ง แต่ต้องรู้ว่าที่แห่งใดที่เราจะไป ที่ผ่านมาเธอรู้ว่าตัวเองอยากหนีจากโกเฟ่อร์แพรรี่ หนีจากเมนสตรีท หนีจากทุกหนแห่งที่ชวนให้นึกถึงมัน แต่เธอไม่รู้จุดหมายที่เธอจะไป ... (หน้า 508)
ตัวละครแคโรล เค็นนิข็อตต์ ในเรื่องดูเหมือนเป็นสาวมั่นที่แสนสวยและช่างฝัน เธอเพ้อฝันอย่างไร้สติและคิดไปเองเสมอ เธอต้องการสร้างโกเฟ่อร์แพรรี่ให้เป็นยูโทเปีย เป็นเมืองในอุดมคติที่สมบูรณ์แบบสำหรับเธอ แต่ในมุมมองของคนอื่นในเมืองต่างก็มองว่าเธอยังคงเป็นสาวเมืองกรุงที่วุ่นวายคอยจะทำร้ายเมือง ในขณะที่ความต้องการที่แท้จริงในใจของเธอเองนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเธอต้องการอะไรกันแน่ เธอคิดถึงชีวิตครอบครัวหลังการแต่งงาน ซึ่งเธอทำหน้าที่นั้นได้อย่างดีไม่มีข้อบกพร่อง แต่สิ่งที่เธอไม่แน่ใจคือบทบาทของการเป็นสตรีซึ่งเป็นภรรยาหมอที่ปรากฏให้คนอื่นเห็นทั้งอยู่ในบ้านและนอกบ้าน
ฉันคิดว่าฉันอยากให้คุณช่วยฉันค้นหา ว่าอะไรที่ทำให้ผู้หญิงอยู่ในความมืดมน อยู่ในเงาไม้สลัวมัวหม่น เราทุกคนอยู่ในนั้น ผู้หญิงสิบล้านคน ผู้หญิงที่แต่งงานกับสามีผู้มั่งคั่งร่ำรวย ผู้หญิงนักธุรกิจปกเสื้อลินิน คุณยายที่แวะไปตามบ้านโน้นบ้านนี้เพื่อจิบน้ำชา เมียของคนงานเหมืองค่าแรงต่ำ หรือเมียชาวนาที่ชอบทำเนยแล้วก็ไปโบสถ์ อะไรคือสิ่งที่เราต้องการ ... จริง ๆ ? วิลล์ เค็นนิข็อตต์คนนั้นก็บอกว่า เราต้องการลูกเยอะ ๆ แล้วก็ทำงานหนัก แต่มันไม่ใช่ เพราะความทุกข์อย่างเดียวกันนี้เราพบในผู้หญิงที่มีลูกแปดคน ที่อีกคนกำลังตามมา และตามมา และความทุกข์อย่างเดียวกันนี้ คุณยังพบได้ในเสมียนชวเลข ในเมียที่ขัดล้างทำความสะอาดบ้านมากพอ ๆ กับในบัณฑิตสาววิทยาลัย ผู้อยากหนีไปให้พ้นจากพ่อแม่ผู้การุณย์ของตน เราต้องการอะไร? (หน้า 286)
ส่วนตัวละครวิลล์ เค็นนิข็อตต์ ในเรื่องเป็นเสมือนภาพอุดมคติของผู้ชายอเมริกันในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 พระเอกของเรื่องเป็นนายแพทย์ผู้มีจรรยาบรรณ มีอาชีพที่มีเกียรติมีฐานะดี เป็นที่น่ายกย่องและนับถือของคนทั่วไปในเมือง เป็นบุรุษที่มีสาว ๆ หลงใหลอยากได้เขามาเป็นสามีของพวกเธอ ซึ่งแน่นอนว่าคุณหมอวิลล์ เค็นนิข็อตต์ ผู้นี้ได้ภรรยาสวยเป็นสาวเมืองกรุงที่เพียบพร้อมไปด้วยเสน่ห์ จึงทำให้เป็นจุดสนใจของคนในเมือง เมืองโกเฟ่อร์แพรรี่เมืองที่เต็มไปด้วยการนินทาว่าร้าย เมืองที่คนรู้จักคนอื่นได้จากปากของคนอื่น ดังนั้นเขาผู้เป็นพระเอกของเรื่องจึงต้องประครองรักของเขากับแคโรลไว้ให้ได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัวละครวิลล์ เค็นนิข็อตต์นี้จึงเป็นเหมือนภาพชีวิตของชายอเมริกันผู้ทำงานหลักเพื่อครอบครัว เป็นชายผู้สร้างความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายให้แก่คนในครอบครัว เป็นชายผู้ผลักดันให้ครอบครัวมีหน้ามีตาขึ้นมาในสังคม และเป็นผู้ชายที่มีส่วนสร้างความเจริญก้าวหน้าของสังคมด้วย ซึ่งพวกผู้ชายเหล่านี้เองที่เป็นผู้ก่อร่างสร้างประเทศขึ้นในยุคแรก ๆ ของประวัติศาสตร์อเมริกา
ห้าสิ่งโปรดปรานของวิลล์ เค็นนิข็อตต์ ได้แก่ เวชกรรม เก็งกำไรที่ดิน แคโรล(ภรรยา) ขับรถยนต์ และล่าสัตว์ แต่ไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่าเขาโปรดปรานสิ่งไหนมากกว่ากัน และแม้ว่าความสนใจและกระตือรือร้นหลัก ๆ ของเขาอยู่ที่แวดวงการแพทย์ เขาชื่นชมศัลยแพทย์เมืองกรุงผู้หนึ่ง เขาประณามวิธีการไม่ชอบมาพากลในการชักชวนหมอบ้านนอกให้หาคนไข้ผ่าตัดป้อนให้ และต่อต้านเรื่องการแบ่งเปอร์เซ็นต์ค่ารักษาให้แก่ผู้แนะนำคนไข้ให้ เขาภูมิใจในอุปกรณ์ฉายรังสีเครื่องใหม่ของตน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่ให้ความสุขความเพลิดเพลินแก่เขาเท่ากับการขับรถยนต์ (หน้า 278)
ถนนชีวิต (MAIN STREET) เป็นนวนิยายที่เล่าเรื่องผ่านตัวละครหญิงที่ชื่อแคโรล เค็นนิข็อตต์ ดังนั้นเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ในเรื่องจึงเป็นการสะท้อนความคิดของหญิงสาวอเมริกันในสมัยนั้น สะท้อนทั้งความรู้สึกนึกคิดและความต้องการที่อยู่ลึก ๆ ในใจของหญิงสาวชาวอเมริกันทุกคนด้วย จากการที่ได้อ่านบทนำของเรื่องจึงทำให้ทราบว่านวนิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายเรื่องแรก ๆ ที่ตีแพร่สังคมอเมริกันในเชิงเสียดสี ด้วยวิธีการเล่ารายละเอียดต่าง ๆ ด้วยชั้นเชิงแบบนักข่าวของซินแคลร์ ลูอิ๊ส ผู้เขียน การตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1920 ทำให้นวนิยายเรื่องนี้กลายเป็นนวนิยายที่ขายดีด้วยยอดขายมากกว่า 250,000 เล่มภายในไม่กี่เดือน จึงเป็นการสร้างปรากฏการณ์ในแวดวงวรรณกรรม และยังก่อแรงสั่นสะเทือนต่อพลเมืองอเมริกันทั่วทั้งประเทศด้วย เรียกได้ว่าไม่มีชาวอเมริกันคนไหนไม่ได้อ่านนวนิยายเรื่องนี้ และคำว่า Main Street ได้กลายเป็นคำที่ถูกบัญญัติในพจนานุกรมอเมริกัน ที่มีนัยยะถึง ความเป็นบ้านนอกและใจแคบ (เรียบเรียงบางส่วนมาจากคำโปรยในปกหลัง)
ผมยอมรับว่า ถนนชีวิต (MAIN STREET) เป็นนวนิยายที่อ่านยากสำหรับผม ผมใช้เวลาอ่านเล่มนี้นานมาก ในตอนแรกที่ผมหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่ออ่าน ผมเห็นมีด้ายคั่นหนังสืออยู่สองเส้นสองสี ผมยังนึกในใจเลยว่าสำนักพิมพ์เขาคงทำไว้เผื่อว่าเส้นใดเส้นหนึ่งมันขาดแน่ ๆ แต่เมื่อเริ่มต้นอ่านเนื้อเรื่องในบทแรกผมก็รู้ทันทีว่าทำไมต้องมีด้ายคั่นหนังสือถึง 2 เส้น สาเหตุก็เพราะว่าเป็นนวนิยายที่มีรายละเอียดซึ่งต้องอธิบายเพิ่มเติมจากเนื้อเรื่องเยอะ จึงจำเป็นต้องมีเชิงอรรถอธิบายอยู่ท้ายเล่ม เฉพาะเชิงอรรถก็มีจำนวน 83 หน้าแล้ว เรียกว่าในบทแรก ๆ ตอนอ่านต้องพลิกไปมาเพื่ออ่านเชิงอรรถประกอบโดยตลอด จึงทำให้ต้องมีด้ายคั่นหนังสือคั่นหน้าที่อ่านค้างอยู่กับหน้าที่เป็นเชิงอรรถ ในช่วงแรกที่ผมอ่านผมรู้สึกเบื่อมากเพราะว่าอ่านไม่สนุก เนื่องจากมันเป็นเรื่องราวชีวิตของคนอเมริกันในยุคก่อนที่ห่างไกลจากตัวของเรามาก อีกทั้งตัวละครเอก(แคโรล)ก็มีเป้าหมายที่เลือนลอย อ่านไปก็รู้ว่าเธอไม่สามารถทำอะไรได้แน่ ๆ ตอนอ่านจึงไม่ได้เอาใจช่วยตัวละครหลักสักเท่าไหร่ จึงทำให้อ่านได้ครั้งละนิดหน่อยไม่กี่บทเอง ผมยอมรับว่าเกือบจะอ่านไม่ผ่านแล้ว แต่ในช่วงท้าย ๆ ของเรื่องเริ่มสนุกมากขึ้น จนกระทั่งอ่านสนุกไปจนถึงตอนจบ ซึ่งผมเชื่อว่าหนังสือได้รับรางวัลโนเบลมาแล้วก็ต้องมีอะไรที่ดีบ้างแน่ ๆ ซึ่งผมพบพลังของเรื่องนี้เมื่อผมได้อ่านจนจบแล้ว พลังของเรื่องมันกระแทกความรู้สึกผม จนทำให้ผมต้องหวนคิดถึงว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยล่ะ? เราจะมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง? ถือว่าเล่มนี้เป็นอีกหนึ่งวรรณกรรมที่แปลกแหวกแนวซึ่งควรค่าแก่การอ่านมาก ถึงแม้ว่าในช่วงแรก ๆ ต้องทนอ่านอย่างเบื่อหน่ายก็ตาม
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่เป็นผลพลอยได้จากการอ่านนวนิยายเรื่องนี้คือ ได้รู้จักเรื่องศิลปะและวรรณกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ในเรื่องแคโรลเรียนจบมาทำหน้าเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดในเมืองกรุง เธอเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ ทำกิจกรรมต่าง ๆ และชอบเล่นละคร ในเนื้อเรื่องจึงมีการพูดถึงศิลปะทั้งด้านการละครและด้านวรรณกรรมอยู่ตลอด ทำให้คนอ่านได้รู้จักผู้สร้างละครและนักเขียนจากวรรณกรรมเรื่องต่าง ๆ มากขึ้นด้วย ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ พวกนี้ทางผู้แปลได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ในเชิงอรรถให้คนผ่านได้เข้าใจมากขึ้น เรียกว่าแค่อ่านเชิงอรรถก็ได้ประโยชน์และได้ความรู้มากมายเกี่ยวกับความเป็นไปของอเมริกา เรื่องศิลปะและวัฒนธรรมการใช้ชีวิต การนับถือศาสนา ฯลฯ รวมทั้งได้รู้จักวรรณกรรมเอกของโลกด้วย
นวนิยายเรื่อง ถนนชีวิต (MAIN STREET) เล่มที่อยู่ในมือของผมนี้เป็นฉบับพิมพ์ครั้งแรกที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย ผมต้องขอขอบคุณผู้แปลคือคุณประสิทธิ์ ตั้งมหาสถิตกุล และคุณชนายุส ตินารักษ์ผู้เป็นบรรณาธิการของเล่มนี้ ที่ได้แปลวรรณกรรมระดับโลกให้คนไทยได้อ่านกัน และต้องขอขอบคุณสำนักพิมพ์ทับหนังสือ ผู้จัดพิมพ์เล่มนี้ (เดือนพฤษภาคม 2558) ด้วยความหนาขนาดที่ต้องตัดสินใจก่อนหยิบมาอ่าน จำนวน 780 หน้า (ความยาวเนื้อเรื่อง 633 หน้า + ความยาวเชิงอรรถ 83 หน้า + บทนำของเรื่องอีก 64 หน้า) เล่มนี้เป็นฉบับปกแข็ง ราคาปก 700 บาท เป็นหนังสือที่คู่ควรอยู่ในชั้นวางหนังสือที่บ้านคุณแน่ ๆ ครับ
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านรีวิวนี้ ขอให้ท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือ ถึงแม้ว่าหนังสือจะมีความหนามากกว่า 500 หน้าก็ตาม ยิ่งอ่านมากก็ขอให้ท่านมีความสุขมากตามไปด้วยครับ
Create Date : 30 มกราคม 2559 |
Last Update : 30 มกราคม 2559 11:28:16 น. |
|
32 comments
|
Counter : 2754 Pageviews. |
|
|
เนื้อเรื่องสะท้อนสังคมควบคู่ไปกับบทวิเคราะห์แบบนี้
ถ้าเข้าใจโครงเรื่องถึงจะไปต่อได้
แล้วเล่มก็หนามากด้วย ต้องนักอ่านตัวจริงเลยค่ะ