ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๑๑๕-แด่หลวงพ่อทูล ขิปฺปปัญโญ


๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
อารมณ์ ความหดหู่ใจ สะท้อนใจ เข้ามาเยือนข้าพเจ้าอีกครั้ง แม้การงานในวันนี้จะดูยุ่งเหยิงทั้งวัน แต่ก็ไม่อาจจะทำอารมณ์ร่วมไปกับงานใด ๆ ได้เลย

ช่วงบ่าย ข้าพเจ้าเดินออกไปยังริมหน้าต่างของอาคารในชั้นที่ ๖ มองไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศนั้น…
หรือเพราะช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นอย่างรวดเร็ว แต่อากาศยิ่งหนาวเท่าไหร่ ข้าพเจ้ากลับยิ่งสะท้อนใจมากขึ้นเท่านั้น
“เป็นไปได้เหรอ…ใช่ท่านจริง ๆ หรือ…” ข้าพเจ้าตกใจไม่หายกับข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อทูล ขิปฺปปัญโญ พระสุปฏิปันโนแห่งท้องถิ่นภาคอีสาน

การจากไปของท่านเป็นเพียงเนื้อข่าวเล็ก ๆ ในช่องทีวีช่องหนึ่ง แต่ในหัวใจของข้าพเจ้านั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่อยากจะเชื่อหูเชื่อตาของตัวเอง และตั้งใจจะฟังจากเวบซบอร์ดพลังจิตในวันรุ่งขึ้น
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น ท่านได้ละสังขารไปแล้วในช่วงเช้า ของวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
แม้น้ำตาภายนอกจะไม่ได้ไหลริน แต่ว่าภายในใจมันกำลังรั่วซึมอยู่ไม่น้อย
ตลอดปีที่ผ่านมาธรรมะจากท่านได้สั่งสอน อบรมจิตใจของข้าพเจ้าไว้อย่างมากมาย แม้ว่าจะไม่เคยไปกราบนมัสการท่านเลย แม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งบัดนี้ก็นับว่าสายเกินไปแล้ว

ขอย้อนกลับไปกลางปี ๒๕๕๐
ความตรึกนึกและลังเลสงสัยในพระพุทธศาสนา มรรค ผล นิพพาน ยังคงมีอยู่ในสันดานจิตของข้าพเจ้า
‘พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ในยุคสมัยนี้ยังมีอยู่ไหมหนอ เพราะหลวงปู่มั่น ท่านก็ได้จากไปนานแล้ว จะมีใครที่สามารถอบรมสั่งสอนธรรมได้ถึงแก่นแท้อย่างท่านบ้าง หากบุคคลเช่นนั้นในอนาคตยังมีอยู่ ข้าพเจ้าก็จะขอเดินตามทางแห่งสายนี้ตลอดไป… ’

ซึ่งเป็นความกังวลใจประมาณนี้

อาจจะเป็นความบังเอิญหรือเหตุผลใดก็ไม่ทราบได้ ข้าพเจ้ามีโอกาศได้ฟังธรรม ซึ่งได้สอดแทรกกับประวัติของหลวงพ่อทูล ขิปฺปปัญโญ ในตอนที่ท่านสนทนากับหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ากองเพล ท่านเล่าให้ฟังว่า เคยได้ยินได้ฟังลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นท่านได้พูดให้ฟังว่า หลวงปู่มั่นได้ทำนายไว้ว่า ในภายภาคหน้าเมื่อท่าน(หลวงปู่มั่น)ได้ละสังขารไปแล้ว จะมีผู้มีคุณธรรม มาอบรมสั่งสอนธรรมแก่ผู้คนจำนวนมากให้แจ้งต่อ มรรค ผล นิพพาน เช่นเดียวกับหลวงปู่มั่น

‘ถ้าอย่างนั้น ความหวังก็ยังมีอยู่’ ข้าพเจ้าตื่นเต้นจนขนลุกขนชัน เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หมายความว่าในอนาคต เราจะได้ฟังธรรม และปฏิบัติธรรม อยู่ร่วมกับพระอริยบุคคลเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความฝันอันสูงสุดของข้าพเจ้าในเวลานั้น ที่ไปที่มาของความตื่นเต้นนี้ มันถูกสะท้อนเป็นบทความเรื่อง รถไฟขบวนที่ ๔ โบกี้ที่ ๑, ๒ ตามที่บางคนได้อ่านมาแล้ว

ด้วยเหตุผลเพียงนิดหน่อยนี้เอง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกศรัทธาใน หลวงพ่อทูล ขิปฺปปัญโญ หากไม่ได้ฟังธรรมจากท่านเสียก่อน ข้าพเจ้าคงหันหลังกลับไปใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับ เหล้า สุรา นารีเช่นเดิม แม้คนภายนอกฟังแล้ว อาจจะมองว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ งมงาย ล้าสมัย

ข้าพเจ้าก็คงจะไปห้ามบุคคลเหล่านั้นให้คิดตาม ปฏิบัติตาม และเชื่อตามได้ เพราะสมัยหนึ่ง ข้าพเจ้าเองก็มีความคิดเฉกเช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย และไม่ค่อยเข้าใจ อารมณ์ความคิดของนักปฏิบัติธรรมนัก จนได้มาสัมผัสและเรียนรู้ด้วยตนเอง โลกทั้งใบ ความคิดทิฏฐิทั้งหลายก็เริ่มสลายลง พร้อมกับความอบอุ่น ความชื่นใจในพระธรรมเข้ามาอยู่ภายในจิตใจแทน

สุดท้ายนี้ไม่ว่าภูมิธรรมของ หลวงพ่อทูล ขิปฺปปัญโญ จะอยู่ขั้นใดก็ตาม ท่านอาจจะเข้านิพพานไปแล้ว หรือ ชาติ การเกิดจะลดน้อยเหลือเพียงใด ข้าพเจ้าจะขอน้อมระลึกถึงท่านเสมอ และจะนำธรรมที่ท่านอบรมไว้ มาปฏิบัติจนกว่าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ในครั้งนี้

* ป.ล. เขียนไว้นานเป็นเดือนกว่าจะได้ลงโพส ซึ่งก็ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของข้าพเจ้าพอดี




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2551    
Last Update : 24 ธันวาคม 2551 8:20:15 น.
Counter : 822 Pageviews.  

๑๑๔-กล่องดำปริศนา(ยาวหน่อย)


นานมาแล้วมีกล่องดำใบหนึ่ง มันวางอยู่บนเนินเขาสูงสุดของหมู่บ้าน ไม่มีใครทราบว่ามันตั้งอยู่นานมากเท่าใด เพราะตั่งแต่เกิดมาทุกคนก็เห็นเจ้ากล่องดำใบนี้วางอยู่ ณ ที่แห่งนั้นแล้ว
ปลายฤดูเก็บเกี่ยวของปีหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านเรียกประชุมชาวบ้านทั้งหมด เพื่อไขปริศนาจากกล่องดำใบนั้น เพราะต้องการทราบที่ไปที่มาของกล่องดำที่วางอยู่คู่กับหมู่บ้าน

ในอดีตที่ผ่านมา มีคนพยายามที่จะเปิดดูภายในมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่มีใครที่จะสามารถเปิดมันได้เลย เพราะมันทั้งแข็งและเหนียว เกินกว่าอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้นจะเจาะทะลุทะลวงไปได้
เคยมีหลายคนเสนอให้นำกล่องดำใบนั้น ไปโยนทิ้งยังแม่น้ำ เพราะเกรงกลัวว่ามันจะเป็นภัยต่อผู้คนในหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านในสมัยนั้นก็เห็นด้วย ชาวบ้านจึงช่วยกันยกกล่องดำนั้นไปทิ้งแม่น้ำ

แต่อีก ๓ วันต่อมาเจ้ากล่องดำปริศนากลับมาปรากฏอยู่ที่เดิมอีก เป็นที่ฉงนสงสัยของชาวบ้านสมัยนั้น ตั่งแต่บัดนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไปยุ่งเกี่ยวกับกล่องดำใบนั้นอีกเลย
มันจึงถูกทิ้งไว้ไม่มีใครเหลียวแล จนกระทั่งกาลเวลาผ่านไปนานแสนนานลุล่วงมาถึงกาลปัจจุบัน ในสมัยที่ได้ผลัดเปลี่ยนหัวหน้าหมู่บ้านมากว่า ๑๐ คนแล้ว ความสงสัยในกล่องดำใบนี้จึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง

คำประกาศหาผู้ที่สามารถไขปริศนากล่องดำนี้มีขึ้น พร้อมกับรางวัลจำนวนหนึ่งสำหรับผู้ที่ให้คำตอบได้ว่า มีอะไรอยู่ภายในกล่องดำนี้

ไม่นานก็มีผู้อาสาหาคำตอบของกล่องดำปริศนา จำนวน ๔ คน ซึ่งก็ล้วนเป็นบุรษหนุ่มวัยกลางคนทั้งสิ้น ก่อนวันงานประลองหาคำตอบของกล่องดำ ทุกคนต่างอวดอ้างคุณวิเศษของตน ว่าสามารถรู้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในกล่องดำ และสามารถทำนายได้ว่าภายในนั้นมีอะไรบ้าง ทำให้เกิดลัทธิความเชื่อ ความศรัทธาในตัวบุคคลทั้ง ๔ ตามกำลังความสามารถในการชักจูงของแต่ละคน ชาวบ้านต่างตื่นเต้นที่จะรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ และเกิดการจัดกลุ่มตามความเชื่อ ความนิยมของผู้ประลองทั้ง ๔ นั้น

วันท้าประลอง…

บุรุษคนที่ ๑ เดินเข้ามาใกล้กล่องดำ ทำพิธีบริกรรมอยู่นาน แล้วใช้มือแตะที่กล่องดำนั้นพร้อมกับพูดว่า
“ท่านทั้งหลาย ภายในกล่องดำนี้ว่างเปล่า ไม่มีวัตถุใด ๆ อยู่ภายในเลยแม้แต่น้อย นอกจากอากาศธาตุ ข้าพเจ้าเห็นด้วยญาณของข้าพเจ้าเอง…”บุรุษคนที่ ๑ พูดจบก็มีเสียงเห่ร้องยินดีจากกลุ่มผู้สนับสนุน

บุรุษคนที่ ๒ เดินเข้ามาใกล้กล่องดำ ทำพิธีบริกรรมอยู่นานเช่นกัน แล้วใช้มือแตะที่กล่องดำในนั้นพร้อมกับพูดว่า
“ท่านทั้งหลาย ภายในกล่องดำนี้ไม่ได้ว่างเปล่า แต่ไม่มีอะไรเลยเป็นเพียงกล่องตัน ไม่มีที่ว่างแม้เพียงอากาศอาศัยอยู่ ข้าพเจ้าเห็นด้วยญาณของข้าพเจ้าเอง…”บุรุษคนที่ ๒ พูดจบก็มีเสียงเห่ร้องยินดีจากกลุ่มผู้สนับสนุน

บุรุษคนที่ ๓ เดินเข้ามาใกล้กล่องดำ เขาใช้มือจับที่กล่องดำนั้น พร้อมกับเขย่าเพื่อสังเกตุวัตถุภายใน แล้วพูดว่า
“ท่านทั้งหลาย ภายในกล่องดำนี้ไม่ได้ว่างเปล่า และไม่ใช่กล่องตัน แต่มีลูกกลมโลหะกลิ้งอยู่ภายใน ข้าพเจ้าสัมผัสด้วยหูของข้าพเจ้าเอง…”บุรุษคนที่ ๓ พูดจบก็มีเสียงเห่ร้องยินดีจากกลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนมาก จนทำให้ผู้สนับสนุนของบุรุษที่ ๑ และ ๒ เริ่มลังเล

บุรุษคนที่ ๔ เดินเข้ามาใกล้กล่องดำ เขาใช้มือจับที่กล่องดำนั้น พร้อมกับเขย่าและหมุนกล่องดำไปมา เขายืนพิจารณาอยู่นาน จึงพูดว่า
“ท่านทั้งหลาย ภายในกล่องดำนี้ไม่ได้ว่างเปล่า และไม่ใช่กล่องตัน แต่มีลูกโลหะ ๔ เหลี่ยมจตุรัสกลิ้งอยู่ภายใน ข้าพเจ้าสัมผัสด้วยหูของข้าพเจ้าเอง…”บุรุษคนที่ ๔ พูดจบก็มีเสียงเห่ร้องดังสนั่นของผู้ที่สนับสนุนจำนวนมาก

ในที่สุดก็ถึงกาลเวลาที่ตัดสิน หัวหน้าหมู่บ้านและคณะกรรมการ เลือกที่จะให้บุรุษคนที่ ๔ เป็นผู้ชนะประลองในครั้งนี้ เพราะมีเหตุผลสามารถพิสูจน์ได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

“ช้าก่อน…” บุรุษผู้หนึ่ง มีรูปร่างงดงาม และท่าทางดูนิ่มนวล สุขุม พูดแทรกเข้ามายังพิธีประลอง
“ขอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสทดสอบการประลองด้วยคนเถิด ข้าพเจ้ามั่นใจว่าจะสามารถแก้ปริศนากล่องดำนี้ได้อย่างแน่นอน” ชายผู้นั้นพูด ทำให้บุรุษทั้ง ๔ คนก่อน รู้สึกไม่ค่อยพอใจ

“ก็ได้…พวกเราจะให้โอกาสท่าน” หัวหน้าหมู่บ้านพูดขึ้นหลังจากประชุมกับคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว

ชายผู้มาทีหลังเดินไปยังกล่องดำใบนั้น เขาค่อย ๆ พิจารณาจับกล่องขึ้น ค่อย ๆ หมุนที่ละนิดจนรอบ และยกกล่องเอียงทำมุมกับพื้นฟังเสียงการเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุภายใน
จนในที่สุดจึงพูดกับผองชนว่า

“ท่านทั้งหลาย ภายในกล่องดำนี้ไม่ได้ว่างเปล่า และไม่ใช่กล่องตัน แต่มีลูกโลหะที่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมจตุรัสกลิ้งอยู่ภายใน แต่มีโลหะที่มีเหลี่ยมมุมน้อยใหญ่จำนวน ๓๑ มุมด้วยกัน ข้าพเจ้าสัมผัสด้วยหู และเห็นด้วยญาณของข้าพเจ้าเอง…”บุรุษคนนั้นพูดจบ
ก็มีเสียงฮือฮา จากชาวบ้านทั้งหลาย

บุรุษผู้มาทีหลังเขายังสามารถสอนให้ชาวบ้านมองเห็นวัตถุที่อยู่ภายในกล่องดำได้ด้วย
บางคนได้รับคำแนะนำนิดเดียวก็สามารถมองเห็นวัตถุภายในอย่างละเอียดละออ และนำความรู้นี้ไปสั่งสอนผู้อื่นให้เห็นตามเป็นอันมาก
แต่บางคนก็มีความสามารถเพียงสังเกตุเสียงการเคลื่อนไหวของวัตถุภายในเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร การสังเกตุและผลจากการสังเกตุก็เป็นไปตามคำแนะนำของชายคนนั้นทุกประการ
- จบ -

การเผยปริศนากล่องดำซึ่งเปรียบเสมือนตัวอวิชชา ปิดกั้นให้เราไม่เห็นในการเวียนว่ายตายเกิด เหตุเพราะนัยตาจักษุอันมืดบอดมองไม่เห็นสัจจธรรมความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใน

บุรุษที่ ๑ ถึง ๔ คือมิจฉาทิฏฐิของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ซึ่งมีมุมมองความเชื่อที่แตกต่างกันไป

บางคนเชื่อว่าตายแล้วสูญ เกิดชาติเดียวตายชาติเดียว ตายแล้วก็จบกัน เปรียบเหมือนกล่องดำที่ว่างเปล่า ทั้งที่ยังไม่ได้สัมผัสก็ตัดสินแล้วว่าว่างเปล่า

บางคนเชื่อตายแล้วจะเกิดเป็นคน เป็นเทวดาอีกไม่มีการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือสัตว์นรก และปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องกรรม เปรียบเหมือนกล่องตันไม่มีการเปลี่ยนแปลง

บางคนที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นทุก ๆ สิ่ง ถ้าเกิดเราทำผิดสิ่งใดแล้ว หรือสารภาพอย่างนี้ ๆ แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะยกโทษให้ ตายจากภพนี้ไปแล้วจะได้เกิดในสรวงสวรรค์ ร่วมกับพระผู้เป็นเจ้าชั่วนิรันดร์ เปรียบเหมือนกล่องดำที่รู้ว่าเป็นเพียงทรงกลมกลิ้งไปกลิ้งมา


บางคนเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อนรก เชื่อผีสาง เชื่อมนุษย์ เชื่อเทวดา ซึ่งความเชื่อก็ยังวนเวียนอยู่เท่านี้ ไม่ได้พัฒนาให้สูงขึ้นหรือละเอียดขึ้น และจะศรัทธากราบไว้ขอพรจากเทวดา สิ่งศักสิทธิ์ให้ช่วยเหลือ มีชีวิตและการดำเนินชีวิตที่ผูกติดกับสิ่งศักดิ์ การกราบไหว้ การอ้อนวอนขออย่างไร้เหตุผล มีความเชื่อกฏแห่งกรรมอยู่บ้าง แต่มีความลังเลสงสัยอยู่มากกว่า

ในตอนท้ายบุรุษที่เข้ามานำเสนอ และสอนการมองกล่องดำอย่างถูกวิธี นั่นคือพระพุทธเจ้า ผู้ที่มองเห็นการเวียนว่ายตายในภพภูมิทั้ง ๓๑ ภพ ภูมิ ซึ่งพระองค์ได้สอนไว้อย่างละเอียดมากกว่าใครใด ๆ ทั้งปวง

เราทั้งหลายที่ไม่เชื่อเพราะเหตุที่ยังมองไม่เห็นตาม และไม่อยากปฏิบัติตามคำสอนที่แท้จริง คือการเข้าไปสัมผัสกล่องดำ เข้าไปฟังเสียงการกลิ้งและเหลี่ยมมุมของวัตถุที่อยู่ภายใน แต่เราชอบที่จะนั่งนิ่ง ๆ ชอบฟัง ชอบวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าที่จะเข้าไปปฏิบัติให้เห็นจริง
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่คนเราจะมีทิฏฐิเป็นไปตามบุรุษคนที่ ๑ ถึง ๔ ที่กล่าวมา
ทั้งที่ปากก็บอกว่าเชื่อตามพระพุทธเจ้า แต่ไม่มีความรักที่จะปฏิบัติตามที่ทรงสั่งสอน จึงทำให้เรามองเห็นและมีความเชื่อ ศรัทธา คลาดเคลื่อนไปจากพุทธศาสนา ซึ่งศาสนาแห่งการประพฤติพรหมจรรย์อย่างแท้จริง




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2551    
Last Update : 22 ธันวาคม 2551 8:00:36 น.
Counter : 344 Pageviews.  

๑๑๓-นักดนตรีข้างถนน


๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
วันนี้เดินทางไปยังสนามหลวง จุดประสงค์คือ ต้องการร่วมงานพิธีพระราชเพลิงพระศพ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นการส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ซึ่งเป็นสถานที่อันร่มรื่น เหมาะสำหรับพักผ่อนอันยาวนานแสนนาน

ข้าพเจ้านั่งรอรถเมล์อยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัย ฯ บังเอิญมีนักดนตรีข้างถนน กำลังบรรเลงกีตาร์คู่ใจ พร้อมกับร้องเพลงเก่า ๆ แนวเพื่อชีวิตบ้าง ไทยสากลบ้าง ข้าพเจ้าเกิดสะดุดใจอยากจะนั่งฟังสักพักหนึ่ง จึงตั้งใจฟังเพลงที่นักดนตรีคนนั้นร้อง

“คงจะเคยตั้งใจใฝ่ฟัน
อาจจะคิดถึงวันข้างหน้า
อาจจะเคยมั่นใจ...ในวันเวลา
อาจจะหวังว่่่าเป็นไปดังตั้งใจ…

….

วันนั้น ที่เคยฝันกันว่าดี
วันนี้ อาจยังผิดหวังก็ได้
แต่ขอ ให้เราฝันกันต่อไป
วันไหน สักวันความฝันก็คงจะจริง…

…. ”

ไม่ได้ฟังเพลงนี้มานานมาก ๆ แต่ก่อนก็ฟังแบบสนุก ชอบในจังหวะของเพลงมากกว่า
แต่ช่วงหลัง ที่มีโอกาสได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม มุมมองต่อเพลง ๆ นั้นก็เลยเปลี่ยนไป
ทำให้รู้จักการพิจารณาเนื้อหา สาระของเพลงมากกว่าที่จะกระโดดเย้ง ๆ ตามเพลงอย่างคนบ้าคนบอเหมือนสมัยก่อน

ธรรมะและข้อคิดดี ๆ ไม่จำเป็นต้องไปดั้นด้นหากันเฉพาะภายในวัด หรือกับพระอาจารย์วิปัสสนากรรมฐานชื่อดัง หรือ หาอ่านตามร้านหนังสือ ห้องสมุด แต่ทุกอย่างมันสอดแทรกอยู่กับการดำเนินชีวิตของเรา ในทุก ๆ วันนั่นเอง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะหยุดพิจารณา หรือว่าเดินผ่านไปเท่านั้น




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2551    
Last Update : 19 ธันวาคม 2551 8:15:18 น.
Counter : 878 Pageviews.  

๑๑๒-ตอรัก (ตอที่ ๒)



เป็นอันว่าการเดินทางของชายนักเดินทางต้องหยุดชะงักลง เขาลงเอยที่จะอยู่กับคนที่เขารัก ณ สถานที่อันสะดวกสบายแห่งนี้

แต่ อนิจจา…ความไม่เที่ยง มันไม่ละเว้นแม้บุคคล สัตว์หรือสิ่งของประเภทใด

ทุกคนเกิดมาต้องเดินทาง ชายนักเดินทางกับคนรักต่างลืมการเดินทาง และหยุดใช้ชีวิต ณ ที่แห่งนั้นที่ไม่ใช่สถานที่ควรอยู่ชั่วนิรันดร์
การทำลายล้างครั้งใหญ่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เป็นการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ เพราะสรรพสิ่งต่างก็ตกอยู่ในกฏแห่งสามัญลักษณ์ ทะเลเพลิงแห่งการล้างพลาญเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันกำลังตามเผาพลาญร่างของชายหญิงทั้งสอง แม้ว่าพวกเขาจะพากันวิ่งหนีอย่างสุดกำลัง แต่หนึ่งในนั้นก็ไม่อาจจะหนีไปได้พ้น

หญิงสาวถูกไฟบรรลัยกัลป์ เผาไหม้สูญหายไปกับอากาศธาตุ และไปจุติยังภพภูมิใหม่ในทันที
แต่ชายนักเดินทางนั้นรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่เขาก็ต้องเสียแขนข้างซ้ายอันเป็นที่รัก ซึ่งถูกเพลิงไหม้ไปอย่างไม่มีวันนำกลับมาได้

เมื่อไฟดับลง ชายนักเดินทางสะอื้นเสียใจกับการจากไปของคนรัก
เขาได้แต่ตัดพ้อตัวเองว่าไม่สามารถดูแลและปกป้องเธอได้ และมันเจ็บปวดพอ ๆ กับการสูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง หากเขาใจแข็งฝืนใจนำเธอเดินทางไปยังนิพพาน เราคงไม่ประสบเคราะห์กรรมรุนแรงขนาดนี้

เขาได้เรียนรู้ความรักที่แท้จริงแล้วว่าคืออะไร นั่นคือการจูงมือกันช่วยเหลือกัน พากันไปยังดินแดนที่ปลอดภัยจากภัยพิบัติและธรรมชาติ ไม่ใช่ความรักที่หยุดและส้องเสพกันอยู่กับที่และหาความสุขกันไปวัน ๆ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการรอวันตาย และทำให้เส้นทางเดินนี้ยาวนานขึ้นไปอีก

ชายนักเดินจึงได้บทเรียนจากการสะดุดตอรัก ครั้งนี้ และจะไม่พลาดอีกเป็นครั้งที่สอง เขาใช้มือขวาปาดน้ำตา แล้วกุมแผลจากแขนซ้ายที่ขาด เดินมุ่งหน้าค้นหาเส้นทางที่จะไปยังนิพพานต่อไป

-จบ-

จุดจบนี้แม้มันจะไม่ลงเอยอย่าง happy ending อย่างในละคร แต่ที่เขียนมามันสามารถเทียบเคียงได้กับชีวิตจริงของเรา ๆ ท่าน ๆ ได้ในปัจจุบัน ทุกคนเกิดมาต้องพลัดพรากต้องจากกันเป็นธรรมดา เป็นความจริงที่เราทุกคนต้องพบต้องประสบกัน คนที่ร้องไห้ฟูมฟาย เสียใจจนเสียสติเพราะการจากไปของคนที่รัก คือคนที่ไม่เข้าใจในธรรมดาของโลก

ความรักแม้ทุกคนจะสรรเสริญว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่ร่มเย็น เป็นสิ่งที่ทุกคนใคร่ครวญหา หากแต่ความรักที่คุณรู้จักและสัมผัสอยู่ทุกวันนี้ คุณเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่ามันเที่ยงแท้ และยั่งยืนสักเพียงไหน มันยังมีมุม มีซอก มีอันตรายที่คุณยังไม่ทราบอยู่อีกหรือเปล่า
ความรัก การเกื้อกูลกันเป็นสิ่งที่ดีงามแน่นอน ข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะปฏิเสธในข้อเท็จจริงนี้ แต่ทว่าการได้อยู่กับคนที่เรารัก และได้พากันข้ามฝั่งพระนิพพานซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง ดูน่าจะเป็นสิ่งที่เราปรารถนา และพึงค้นหากันมากกว่า… (นะครับ)




 

Create Date : 18 ธันวาคม 2551    
Last Update : 18 ธันวาคม 2551 8:00:06 น.
Counter : 629 Pageviews.  

๑๑๑-ตอรัก (ตอที่ ๑)




การเดินทางของชายนักเดินทางเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เขาผ่านมายังดินแดนอีกแห่งหนึ่ง ณ ดินแดนนี้ทำให้เขาสะดุดกับสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก”
ความรักนั้นทำให้ชายนักเดินทางเริ่มจิตใจไขว้เขว และไม่อยากจะเดินทางต่อ อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเธอคนนั้นตลอดไป
โดยที่ลืมนึกถึงข้อเตือนใจที่ว่า ผู้หญิงคือ ๑ ใน ๔ ของสิ่งที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด

“คุณอยู่กับฉันที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรือ…” ฝ่ายหญิงเป็นผู้เริ่มสนทนาก่อน ทำให้ชายนักเดินทางรู้สึกลังเล
“ผมเป็นนักเดินทาง ผมต้องเดินทางไปยังที่ที่เรียกว่า นิพพาน” ชายนักเดินทางตอบ
“นิพพานสำคัญ ขนาดนั้นเชียวหรือ…แล้วนิพพานนั้นอยู่ตรงไหนกัน มันเป็นอย่างไรกัน” เธอค้อนถาม
“ผม ผม…ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ ๆ ผมรู้แต่ว่ามีอะไรบางอย่างทำให้ต้องเดินต่อไปครับ”
“งั้น…ให้ฉันไปด้วยได้ไหม ไปอยู่ด้วยกัน ยังที่ ๆ นิพพาน เราจะได้ไม่ต้องจากกัน” เธออ้อนวอนด้วยแววตาอันไร้เดียงสา
“ผมไม่ได้เห็นแก่ตัวหรอกนะ แต่เส้นทางนี้ ถ้าคุณไม่ได้ตั้งจิตปรารถนา คุณจะเดินไปกับผมไม่ได้หรอก แม้ผมอยากจะนำคุณไปด้วยก็ตาม” ชายนักเดินทางตอบ
“อะไรกัน มันยากขนาดนั้นเชียวเหรอ ก็แค่นำฉันไปด้วย คิดว่าไปสวนสนุกด้วยกันก็ได้” เธอพูด
ชายนักเดินทางเริ่มลังเล การที่นำเธอไปด้วย มีผลกระทบทำให้การเดินทางของเขาต้องช้าลงอย่างแน่นอน แม้เขาบอกว่าไม่ใช่เป็นคนเห็นแก่ตัว แต่การที่ไม่บอกทางและไม่นำเธอไปด้วย มันยิ่งค้านต่อความรู้สึกเขาอย่างมาก

“ผมรักคุณ…ผมจะพาคุณไปด้วย” ชายนักเดินตอบตกลง ทำให้หญิงสาวกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

ชายนักเดินทางทราบดีว่า หญิงสาวคนรักนั้นยังมีประสบการณ์การเดินทางที่น้อยนัก เธอไม่มีความพร้อมในการเดินเลยสักนิด ที่เธออยากไปด้วยกับเขาก็แค่อยากสนุก เพราะคิดว่านิพพานคงเป็นสวนสนุกมากกว่า แต่เธอยังไม่ทราบว่าการเดินทางนั้นต้องฝ่าอุปสรรคอะไรบ้าง

ชายนักเดินเริ่มที่จะเล่าเส้นทางที่จะต้องผ่านในอนาคต เช่น ภูเขา แม่น้ำ ทะเล สัตว์ป่า ความร้อน พายุ ความหนาวเย็น ฯลฯ แววตาเธอเริ่มห่อเหี่ยวลง ความสนุกและไร้เดียงสาเริ่มหายไป กลายเป็นความงุนงงสงสัยในเส้นทางสู่นิพพาน ว่าคงไม่ใช่สวนสนุกอย่างที่คิดไว้ตอนแรก

“ทำไม การเดินทางถึงต้องลำบากขนาดนั้น” เธอถาม
“ทุกคนที่จะไปยังนิพพานต้องผ่านอุปสรรคเหล่านี้ให้ได้ คุณพร้อมจะไปแล้วใช่ไหม” ชายนักเดินทางถามเพื่อเป็นการยืนยัน

“ทำไมกัน…ที่แห่งนี้ที่เราอยู่นี้มันไม่มีความสุขหรืออย่างไร ทำไมต้องดั้นด้นไปหาที่ ๆ ยังไม่รู้จุดหมายอยู่ตรงไหน และเส้นทางก็อันตรายสารพัด อีกอย่างเราสองคนก็รัก การที่เราอยู่ด้วยกันที่นี่ มันจะต่างอะไรกับนิพพานที่เธออยากไปนักหนา…”เธอให้เหตุผล

ชายนักเดินทางเริ่มรู้สึกคล้อยตามเธอ
นั่นสินะ…
ถ้าหากนิพพานคือสุขที่เป็นนิรันดร์ การอยู่กับคนรักที่นี่มันก็เป็นสุขอย่างหนึ่ง งั้นเราจะต้องเดินทางไปดั้นด้นไปหานิพพาน ที่ไม่รู้จุดหมายปลายทางทำไมกัน สู้กินอยู่และใช้ชีวิตกับเธอที่นี่น่าจะดีกว่า…

อ่านต่อใน ตอที่ ๒ ครับ




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2551    
Last Update : 17 ธันวาคม 2551 8:38:31 น.
Counter : 932 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.