|
๓๕๓ - เมล็ดที่ไม่งอก
ชีวิตนี้เหมือนดั่งเมล็ดพืช เมื่อแรกเริ่มมีการเกิด การเติบโต มีการออกดอกผล มีการตาย มีโรคระบาด มีภัยจากน้ำ ไฟ สัตว์ แมลง มนุษย์ ฯ
เมล็ดพืชเริ่มต้นเกิดจากการผสมเกสรจากดอกเกสร ค่อย ๆ พัฒนาเป็นเมล็ดพันธุ์ เมื่อเมล็ดพันธุ์เติบโตเต็มที่ก็อาศัยลมบ้าง สัตว์บ้าง หรือล่วงหล่นไปเองบ้าง เพื่อสร้างสภาวะการเกิดใหม่และรักษาเผ่าพันธ์ของเหล่าพืชไว้ให้นานแสนนานที่สุด ธรรมชาติบนโลกนี้จึงมีลักษณะคล้าย ๆ กันไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ก็มีจุดหมายใกล้เคียงกันคือการดำรงอยู่ การเอาตัวรอด และการขยายพันธุ์ก่อนตาย สิ่งเหล่านี้เป็นสัญชาตญาณติดตัวเรามานานแสน ไม่ว่าเราจะได้เกิดเป็นอะไรสัญชาตญาณนี้จะตามเราไปทุกที่
แต่กลไกทางธรรมชาติ เพื่อการเจริญพันธุ์ก็ต้องมีสิ่งล่อตาล่อใจ นั่นคือกามคุณ ซึ่งเป็นความสุขที่ธรรมชาติรังสรรค์ให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับการตอบแทนสำหรับการดำรงเผ่าพันธุ์ และสืบสันตติแห่งการเกิดไม่ให้โลกต้องสูญสิ้นสิ่งมีชีวิต มนุษย์โดยทั่วไปรวมทั้งสัตว์ด้วยจึงยกย่องบูชากาม คิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งประเสริฐที่ธรรมชาติรังสรรค์ให้มา ทุกชีวิตจึงดิ้นรนไขว่เพื่อเป้าหมายแห่งกาม ซึ่งเป็นเครื่องล่อให้วงจรของโลกต้องเดินหมุนไป
นึกถึงการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ซึ่งคนเลี้ยงลาต้องการให้ลาตัวเองทำงาน จึงเอาแครอทผูกไว้ตาหน้าลา ลาก็วิ่งเพื่อตามกินแครอทแต่ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่แครอทก็เคลื่อนที่หนีทุกครั้ง เป็นที่ชอบอกชอบใจของคนเลี้ยงลา กามคุณก็เช่นเดียวกัน แต่ต่างจากแครอทของลานิดหน่อยที่รสอันหอมหวานของมันสามารถสัมผัสได้ แต่ก็เป็นผลให้มนุษย์วิ่งตามใคร่ขว้ากามคุณอย่างไม่รู้จักเหนื่อย เช่นกันคนเลี้ยงลาที่ฉลาดก็ต้องให้ลาได้กินได้พักลิ้มรสของแครอทและอาหารบ้าง เพื่อเป็นกำลังใจให้สัตว์ทำงานต่อไป นี่เป็นตัวอย่างที่ง่ายที่พอจะอธิบายเทียบเคียงกันได้
ย้อนกลับมาดูเมล็ดพืชของเราบ้าง หลังจากที่เมล็ดพืชนั้น ถูกกระแสลมพัดหรือถูกนำพาโดยสัตว์กินพืชไปตกยังสถานที่ที่สมบูรณ์ด้วยน้ำ ดิน อากาศ แสงแดด สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งการเกิดใหม่ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ชีวิตของเราก่อนการเกิดเราเป็นดั่งเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ที่ถูกซัดเซนำพามาด้วยกฎแห่งกรรม เปลือกแห่งอวิชชาได้ห่อหน่อเนื้อแห่งการเกิดใหม่และรักษาไว้อย่างดียิ่ง เมื่อถึงคราวแห่งความสมบูรณ์ของภพ เช่นการมีโลกมนุษย์เป็นต้น การเกิดใหม่ก็ค่อย ๆ เริ่มต้นขึ้น สัตว์หลายประเภทก็เคลื่อนตัวมากจากภพอื่นบ้าง ภพเดิมบ้าง แวะเวียนมาช่วยกันประกอบกรรมดีบ้าง กรรมชั่วบ้าง เมื่อถึงคราวถึงวาระก็ซัดเซเคลื่อนย้ายไปที่อื่น โดยไม่ยอมทอดทิ้งเมล็ดพันธุ์แห่งการเกิด เพราะบรรดาสัตว์ทั้งหลายมีความเชื่อมั่นว่า การเกิดนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เราจะมีเกิดกันอีก หรือไม่พวกที่ยังอยู่ก็ภาวนา สั่งลาให้คนที่กำลังใกล้ตายแล้วกลับมาเกิดอีก โดยที่ไม่ได้หวนระลึกถึงทุกข์แห่งการเกิดบ่อย ๆ เลย
พุทธศาสนาสอนว่า การเกิดบ่อยย่อมนำทุกข์มาให้บ่อย ๆ ความสุขอันเกิดจากการเกิดแม้จะมี แต่ก็น้อยกว่าความทุกข์อยู่มาก
การหยุดเสียซึ่งวงจรแห่งการเกิด ก็เท่ากับการหยุดวงวนของความทุกข์อย่างสิ้นเชิง เมื่อไม่เกิดก็ไม่ต้องมีความทุกข์ ซึ่งเป็นสัจจะความจริงที่ตรงไปตรงมา แต่ปัญหาของคนทั่วไปนั้น มักจะกังวลเสมอว่า หากไม่เกิดแล้วจะไปอยู่ที่ไหน หากนำคำถามนี้ไปถามพระอริยเจ้า ท่านก็คงนึกขำในใจ แต่นั่นเป็นปัญหาจริง ๆ ของคนทั่วไป หากเขาไม่เข้าใจ เขาก็ไม่สามารถที่จะเดินตามทางมรรคผลได้อย่างถูกวิธี
ลองมาทำความเข้าใจกันเสียเบื้องต้น ธรรมชาติของเรานั้นประกอบไปด้วย กาย(รูป) และจิต (จะเรียกว่าใจ หรือวิญญาณก็สุดแล้วแต่) กายนั้นเป็นดังภพที่อยู่ที่อาศัยของจิต ซึ่งต้องอาศัยกันและกัน กายนั้นก็ยังแบ่งออกเป็นกายหยาบ กายละเอียด กายหยาบก็คือร่างกายของมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ในอีกทวีปหนึ่ง กายละเอียดก็เช่น เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ตามสายแห่งปฏิจจสมุปบาท การเกิดนั้นจะต้องมีภพมารองรับก่อน ชาติ(การเกิด)จึงจะเกิดขึ้นได้ คราวนี้ภพนั้นจะมาจากไหน ก็มาจากความยึดมั่นของตัวเราว่าเป็นเรา เป็นของเรา ท่านเรียกว่า อุปาทาน เมื่อเราสามารถดับความยึดมั่นที่เป็นตัวสร้างภพได้แล้ว ชาติก็เกิดขึ้นไม่ได้ จิตที่ไม่ได้ยึดติดกับรูปหรือร่างกายทั้งหยาบทั้งละเอียดอีก ก็ย่อมไม่ชักพาให้กลับมาเกิดอีก ก็จะเหลือเพียงจิตที่บริสุทธิ์อย่างเดียว ส่วนการจะไปอยู่ไหนนั้นไม่ต้องถาม เพราะสิ่งนี้เป็นความรู้ที่อยู่นอกเหนือสามัญสำนึกของปุถุชนคนธรรมดา เมื่อปฏิบัติได้เอง ก็เห็นเอง รู้เอง จะเอาไปเปรียบเทียบยกย่องอธิบายกับใครย่อมเป็นเรื่องยาก เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือจากสิ่งสมมติทั้งหลายทั้งปวง
การอธิบายธรรมที่เป็นโลกุตรธรรมให้มนุษย์สามารถเข้าใจได้ด้วยคำพูด หรือภาษาที่เป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นนั้น ผู้นั้นจะต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น (พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ทำไม่ได้) ส่วนพระสาวกเป็นเพียงผู้นำคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ มาสอนอีกที
ดังนั้นผู้ที่สามารถทำลายเปลือกแห่งอวิชชา ทำลายเชื้อแห่งการงอกใหม่ ย่อมเป็นพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย เป็นดังผู้ทิ้งเมล็ดพันธุ์แห่งการเกิดไว้ภายหลัง แม้เมล็ดนั้นจะตกอยู่ในที่ชุ่ม ดินดี อากาศดี ความชื้นสมบูรณ์เมล็ดนั้นก็ไม่มีทางงอกมารับวิบากกรรมแห่งความทุกข์อีกต่อไป...
Thank you for image from //oxiran.com/persian-french-culture.com/images/stories/iran/Poets/Poems/Germinate.jpg มากมาย
สารบัญ
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2555 |
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2555 21:43:20 น. |
|
5 comments
|
Counter : 688 Pageviews. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:20:51:49 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:5:53:17 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:5:46:52 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 มีนาคม 2555 เวลา:5:52:39 น. |
|
|
|
| |
|
|
มีช็อกโกแลตมาฝากค่ะ