ทรวดทรงสารพัดไม่ขัดเขิน ผุดขึ้นกลางเรือนชานโดยบังเอิญ
เทพหรือพรายผกเผินบิดเบือนกาย...
...ฤานางเป็นเทพนฤมิต
ให้ยลวิบตาแล้วหาย
ฤานางเป็นเพียงนางพราย
เลือนหายยามรุ่งอโณทัย
ฤานางเป็นเพียงละอองน้ำ
สุริย์ฉายต้องซ้ำละไอหาย
ฤานางเพียงฝันพรรณราย
ตื่นตาเลือนหายไป่คืน...
"ทวิภพ" จากปลายปากกาของทมยันตี
ประตูแห่งทวิภพเปิดรับมณีจันทร์ ให้เดินทางย้อนกลับไปสู่สมัย ร.ศ. 112 ยุคสมัยที่สยามต้องเสียดินแดนบางส่วนให้กับฝรั่งเศสเพื่อแลกกับการไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น เมณี่เคยมีความคิดว่าการที่สยามต้องเสียดินแดนไม่ใช่เพราะอำนาจทางทหารเพียงอย่างเดียว หากแต่สยามยังขาดทั้งทูต ขาดทั้งผู้รอบรู้ทางด้านภาษา ทำให้ต้องตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ประตูแห่งทวิภพเปิดรับเธอ เพื่อให้เธอได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีติดตัวเพื่อเข้าร่วมในการแก้ไขปัญหา
ความฝัน
นิทราพลันหวนละเมอเพ้อหา
คลับคล้ายได้เห็นตรูตรา
ไขว่คว้าพบเงาเปล่าดาย...
"แม่มณี...แม่มณีจ๋า"
เสียงเรียกหาที่เคยคุ้น
มณีจันทร์มีทุกอย่างเกินคนอื่นที่จะมีกัน
มีกระทั่งความเหงาลึกซึ้ง อันคนอื่นไม่มี
เธอรู้...เธอกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง
เธอรู้...สิ่งที่เธอรอคอยกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา
เธอไม่รู้แต่ว่าจะมาทางใด
และเธอไม่รู้ว่าเป็นใคร
...เหตุว่าข้าไซร้ไป่รู้
ชายผู้โศภณคนไหน
ยรรยงพงศ์เฝ่าเหล่าใคร
อยู่ไหนในถิ่นดินดอน
ทราบเพียงว่าชายนายหนึ่ง
ข้าพึงรักร่วมปัจถรณ์...
...พักตร์พริ้มเพราเพริศเลิศลักษณ์
จักษุคมแสงแรงกล้า
ทรวดทรงสมบุรุษสุดศักดา
วาจานิ่มนวลชวนฟัง...
คุณหลวงอัครเทพวรากรผู้เฝ้ารอคอยการปรากฏตัวของมณีจันทร์ทุกขณะจิต คุณหลวงผู้ซึ่งต่อไปจะได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคุณ ทูตไทยคนแรกประจำสหรัฐอเมริกา นักการทูตไทยผู้มีบทบาทอย่างยิ่งต่อกรณีการแก้ปัญหาการรุกคืบเพื่อยึดแผ่นดินไทยของนักล่าอาณานิคม
เวลาสองภพห่างกัน 93 ปี แม้จะเป็นแรกพบ แรกรู้จัก หากแต่เหมือนผูกพันกันมาเนิ่นาน
ตลอดชีวิตของมณีจันทร์ เธอไม่เคยมีคำว่า "คอย" ใคร
มีแต่ทุกคนที่หมายปองเธอต้องมาคอยเธอทั้งสิ้น
หากบัดนี้... เธอคอยวันเวลาที่จะมาพบเขา ในอีกภพหนึ่ง
...โอเวลาป่านฉะนี้เจ้าพี่เอ๋ย
จะทำสิ่งใดเลยให้สงสัย
จะรู้ซึ้งถึงคนที่ห่างไกล
ฤามิได้คิดคำนึงถึงคนคอย...
ทวิภพ เปิดสำหรับเธอผู้เดียว เธอสามารถเดินผ่านช่องทางแห่งเวลาได้แต่โอกาสนั้น มิให้สำหรับผู้อื่น และเป็นเธออีกผู้เดียวหรือเปล่า ในยามนี้ ที่รอคอยวันเวลาที่จะไปพบเขา
แล้วเจ้าของดวงตาตัดพ้อนั้นเล่า เขาจะยังรู้สึกเช่นไรหนอ
ความรู้สึกว่า หัวใจของเรานั้นคอยใครอยู่สักคน และรับรู้ถึงว่ามีใครคนหนึ่งนั้นก็คอยเราอยู่เช่นกัน
ด้วยหัวใจที่ต่างเฝ้าคอยกันและกัน คือความถวิลหาที่แสนหวาน คือความงามของหัวใจที่เปี่ยมสุข
และหอมหวานอยู่กับวันเวลาแห่งความหวัง
หวังถึงวันและเวลาที่ "เรา" จะได้พบกัน เพื่อรักกันให้เต็มหัวใจที่เฝ้าคอย...เนิ่นนาน
เจ้าบานเช้าเอย...
สายแล้วเจ้าก็โรยรา
เจ้าบานเย็นแย้มคอยท่า
เมื่อไหร่จะมาเล่าเอย
เจ้าราตรีเอย...พอมีน้ำค้างชุ่มชวย
เจ้าก็บานระรวย ส่งกลิ่นตามลมมา
หวนนึกถึงความหลัง เล่ห์รักฝังเสน่หา
เจ้าให้สัญญา ว่าจะคอยพี่ชายเอย...
...หากการรอคอยมีรสชาติ มันก็มีความขมเจือรสหวาน...
อย่าไปเลย" สีหน้าและน้ำเสียงวิงวอน
"อย่าไปเลยแม่มณี..."
ใช่แล้ว...เสียงอ่อนหวานเช่นนี้ที่เธอเคยได้ยินในความฝัน ในความทรงจำที่หลอกหลอนตนเองตลอดมาและในอนุสติที่เฝ้าเตือนตนเองว่ามีคนเรียกหา...มีคนรอคอย
"เรียกฉันใหม่สิคะ" หญิงสาวบอกอ่อนโยน
ดวงหน้าขาวแดงจัด แต่ดวงตาแน่วแน่ มั่นคง
"แม่มณีจ๋า....อย่าไปเลย!"
...สไบบางเอย ยามต้องลมห่มปลิว
เพียงเจ้าชายหางคิ้ว พี่จะติดตามมา
ทิ้งไว้แต่กลิ่น ให้พี่ถวิลแลหา
ขอเกาะชายผ้า เป็นเพื่อนพี่ยาได้ไหมเอย....
เจ้าเอยปลูกรัก จะปลูกไว้ในอ่างแก้ว
ต้นรักพี่แล้ว ปลายไปเร่รักเขาอื่น
จะเด็ดยอดเสีย และจะรดน้ำให้ชื่น
อย่าให้ไปเร่รักอื่น ให้คืนมารักพี่เอย
เสียงฝีเท้าเบา แต่คนตัวโตย่างเข้ามา หน้านั้นดูสะอาดหนวดเคราไม่รกเรื้อ หน้าเตียงมีตั่งเตี้ยหุ้มสักหลาด เขานั่งลงตรงนั้น ค่อยๆ วางสิ่งหนึ่งลงบนแพรที่คลุมตัวเธอ...มะลิซ้อน ดอกใหญ่แย้มบาน ก้านยาวตรงหอมกรุ่น หากที่เสียบก้านทางมะพร้าว ผูกด้วยด้ายติดกันมาด้วยคือดอกรักขาว มณีจันทร์ก้มลงมองนิ่ง ไม่เคยที่แก้มจะร้อนผ่าว ไม่เคยที่จะขัดเขิน มือใหญ่จับมือน้อยช้อนกุมไว้เหนือดอกไม้นั้น เป็นสัญญา เป็นความหมาย ไม่พูดสักคำ!
ร่างแน่งน้อยสะท้านทั้งตัว เธอเคยได้ยินคำว่า "รัก" มากมาย ด้วยภาษาต่างประเทศหลายภาษา และด้วยภาษาไทย แต่คนไม่พูด ทำให้เธออกสั่นขวัญหาย ไออุ่นจากมือใหญ่ผะผ่าวถึงหัวใจ
เธอหยิบดอกไม้แตะจมูก วางข้างหมอน
เท่านั้น...คนกลั้นใจนิ่ง เจ้าของอุ้งมืออบอุ่น ก็ถอนใจยาว หมดความสงสัย หมดหนักหน่วงในอารมณ์
"ทวิภพ" จะไม่เป็นปัญหาอีกแล้ว
...ช่อแก้วกำซาบนาสา
เหมือนแก้วแววตาของพี่
หยาดหยดล้ำค่าธาตรี
มีฤาปล่อยหลุดลอยไป...
...ผิวฝันบ่ร้างซ้ำ ชรลื้นแก้มอันย้ำยวน
ทราบคนธอบอวล รสเศียรบหายหอม...
ไกลสุดสายตา ในกระจกมีจุดมัวๆดำมืด เธอพยายามเพ่งมองปรารถนาจะได้ เห็น อะไรสักอย่าง บ้าน...ห้องที่เคยคุ้น...คุณแม่! เธอโหยละห้อยเฝ้าพร่ำหา หาก...มิแลเห็น จุดดำมัวมืด
คุณหลวงเฝ้ามองกิริยานั้น ทีท่าหญิงสาวเหมือนเด็กหลงทาง เหมือนคนที่ไม่รู้ว่าตนกำลังจะเดินไปแห่งหนตำบลใด เขากำมือน้อย ปรารถนาจะปกป้อง ปรารถนาจะให้เธอรับรู้ว่า ตราบใดที่เขายังอยู่ จะมิมีวันทอดทิ้งเธอเป็นอันขาด และราวกับสายใยแห่งความรู้สึกจะถ่ายทอดถึงกัน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง แววตาละห้อย
"อย่ากลัว พี่ยังอยู่!"
พี่! คำนั้นวาบเข้าหัวใจ มณีจันทร์เบิกตากว้าง สรรพนามที่ใช้แทนตัวผิดไป
ฉัน...คือคนรู้จัก ห่างเหิน
พี่...ผู้คุ้มครอง ดูแล
คุณหลวงยิ้มนิดๆ ใส่ตากว้าง งามเหมือนตากวาง หากแล้วก็...เกือบสะดุ้ง
"เมณี่!"
เสียงเรียกดังมาจากที่แสนไกล มีแววห่วงใยร้อนรนประหลาด เขาเหลือบตามอง ไปทางกระจกโดยมิได้ตั้งใจ
จุดดำมัวมีเงาพอเห็นชัด
เก้าอี้โซฟายาวแบบยุโรป สตรี...คงมากวัย หากอยู่ในชุดคล้ายฝรั่งเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นต่างหากชัดดุจแลสบตา
ตาคล้ายแม่มณี ปริ่มด้วยหยดน้ำ
เขารู้สึกได้โดยยากที่จะรู้ว่าเพราะอะไร สตรีผู้นี้คือผู้ที่...คร่ำครวญหา ดวงหน้าทุกข์ทนอ่อนโรย จนเขาอยากปลอบเธอ ถ้าพูด...เธอจะได้ยินหรือ
ถ้าแสดงอากัปกิริยาอื่น แม่มณีหล่อนจะสงสัย
เขาก้มหัวให้ตามมรรยาทอย่างเคารพ
ดวงตาที่แลมาดูจะ รู้ เขาก้มลงบอกแม่มณีอีกครั้ง
"ไปข้างนอกเถิด ยังมีงานต้องทำ เดี๋ยวจะช้า"
เขาต้องกันแม่มณีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะหากหล่อนเห็นภาพนั้น หล่อนอาจจะหลีกลี้เขากลับไปหาคนที่คอยด้วยความทุกข์ทนคนนั้นได้ แล้วเขาเองแหละจะเป็นฝ่ายชะแง้มองกระจก ทุกข์ทน แลหา อาลัย
มณีจันทร์ขยับตัวทำตามอย่างว่าง่าย อีกครั้งที่คุณหลวงอัครเทพวรากรได้ยิน เสียง แว่ว
"คุณ!"
เขาค่อยๆ เบือนหน้าไปมอง พยายามให้เป็นปกติที่สุด
"ฝากเมณี่ด้วย" น่าแปลก เขาได้ยินชัดเจน ก้องในสมอง
"ครับผม!"
เขาหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว มณีจันทร์เงยหน้าขึ้นมอง
"อะไรคะ?" เธอขมวดคิ้วเรียบด้วยสีผึ้ง
"พูดอะไรคะ?"
คุณหลวงถอนหายใจยาว "ออกไปก่อน พี่จะแต่งตัวนะจ๊ะ"
หญิงสาวมองกระจกยาว ไม่มีจุดดำอีกแล้ว ไม่มีสัญญาณ เธอยังกลับบ้านไม่ได้ มณีจันทร์ดึงชายผ้าก้าวข้ามธรณีไปภายนอก
คุณหลวงถอนใจยาว โล่งอก
ภาพของสตรีผู้นั้นหายไป...กระจกสว่างใส หากคุณหลวงยังจำเสียงสะท้านฝากฝังแม่มณีได้ติดใจ เขาเกาะขอบกระจกเพ่งมอง ส่งกระแสใจไปยังผู้เป็นมารดาแม่มณี
"กระผมจะดูแลแม่มณี ให้สมกับเป็นมณีดวงเดียวในชีวิตกระผม"
เขาหยุดนิดหนึ่ง คนอย่างคุณหลวงอัครเทพวรากรไม่เคยลั่นปากเช่นนี้ หากบัดนี้...เขาบอกหนักแน่น ฝากไปสู่ทวิภพ
"กระผมสัญญาด้วยเกียรติของอัครเทพวรากร!"
...โซ่ตรวนผูกรัดสักร้อยหุน
ใจมั่นมุ่งหักทลายย่อมคลายได้
แต่ใยรักบางเบาสักเท่าใด
ผูกพันไว้แนบสนิทนิจนิรันดร์...
ทวิภพเคลื่อนผ่านแยกจากกัน โลกที่มีบทบาทของตนโดยเฉพาะดำเนินต่อไป ใครจะรู้...อีกช่วงเวลาทวิภพจะมาบรรจบกัน อีก บางคน...จะได้พบช่องทางผ่าน บางคน...จะได้พบใครสักคนที่เฝ้ารอ และอีกบางคนต้องพรากจากกันชั่วนิรันดร์ ทวิภพอาจเป็นความฝันที่เป็นความจริง
...โลกนี้มีสิ่งเกินฝัน
อนันต์เหลือตรึกรำลึกได้
หากความฝันบรรเจิดเพริศพิไล
ตื่นใย...สนิทฝันชั่วกัลปา...
ขอบคุณของแต่งบล๊อกน่ารักๆจากป้าเก๋า (ชมพร)
บทกลอนไพเราะมากเลยค่ะพี่รุ้ง ทำให้นึกถึงฉากสำคัญของเรื่องออก ทวิภพเป็นเรื่องที่ตราตรึงในใจมากตั้งแต่ครั้งแรกที่ดู
(พี่คะ จะให้โหวตหมวดไหน กลัวโหวตผิดหมวด)