เฮ้อ เหนื่อยจังเลยหนอ ชีวิตนักเรียนปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น

ปล. รูปประกอบ(ส่วนใหญ่)ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับเนื้อเรื่องเลย ถ่ายไว้เล่นๆเลยหาที่โพส (ไร้สาระขนาด มีถ่ายรูปเห็ดหอม เห็นดอกมันขาวอวบน่ารักเลยซื้อมาิทำกิน)


ไหนๆเสาร์อาทิตย์ทั้งทีขออู้บ้างสักนิดละกัน ช่วงนี้สุดสัปดาห์ทีนี่นอนตายลูกเดียวเลย ช่วงจันทร์ถึงศุกร์ทำงานมาราธอนได้อีก รู้สึกตัวเองจะมึนๆเบลอๆอยู่ตลอดเวลา วางอะไรไว้ตรงไหนจำไม่ค่อยจะได้ คืนวันศุกร์นี่อยู่แล็บถึงเช้าติดกันมาหลายอาทิตย์แล้ว ตอนเดินกลับมาบ้านนี่เจอแต่คนมาวิ่งจ๊อกกิ้งกับออกไปทำงานตอนเช้าแต่เรานี่เดินอย่างกะซากศพเลยโทรมไม่มีที่ติ

ล่าสุดเมื่อวานผ่านไปยี่สิบห้าชั่วโมงเพิ่งจะได้ล้มตัวลงนอน ง่วงน่ะง่วงเพราะตื่นเช้า ตอนตื่นแทบลุกไม่ขึ้น(มีคลาสเช็คชื่อตอนเช้า) แต่ไงไม่รู้พอทำงานไปสักพักมันเลยจุดง่วงไปแล้ว เลยกลายเป็นตาสว่างนั่งทำต่อได้เรื่อยๆ ตัวเองยังแปลกใจว่าทำไมมันหายง่วงได้นะ

แต่ก็นะพอได้เวลาหยุดทำงานปุ๊บ(หลังจากจ้องอยู่กับคอมมาอย่างต่ำ16ชั่วโมง)เหมือนร่างกายมันรู้ จากตะกี้ยังตาสว่างอยู่กลับกลายเป็นว่าแทบไม่มีแรงจะลืมตาเลยทีเดียว อ่านอะไรไร้สาระเล่นๆในเน็ตก่อนจะนอนอยู่ไม่ทันไรแทบจะหลับหัวโขกคอมอยู่แล้ว

ที่เร่งขนาดนี้ก็เพราะเดดไลน์มันใกล้เข้ามาแล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มเขียนเปเปอร์เลย ก็ตัวโปรแกรมมันยังทำไม่เสร็จอ่ะ แล้วถ้าโปรแกรมไม่เสร็จก็ยังไม่แน่ใจว่าคอนเซปต์ที่คิดไว้มันจะเวิร์คจริงไหม ถ้าเวิร์คนี่มันทำได้แค่ไหน หรือทำอะไรไม่ได้มั่ง จะได้สรุปไปเขียนในเปเปอร์ถูกว่าจะชูประเด็นไหนหรือจะหลบๆอะไรดี ครั้นจะให้นั่งเทียนเขียนล่วงหน้าไปก่อนแล้วมาปั่นผลตามทีหลังก็เสี่ยงเกินไป ผิดคาดขึ้นมาน่ากลัวต้องแก้กันยาว

เดือนนี้ทั้งเดือนเนี่ย นอกจากตอนเดินไปกับเดินกลับมหาลัยแล้ว แทบไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันเลย เห็นก็แต่แสงจากโปรเจคเตอร์จนตาจะบอดสีอยู่แล้วเนี่ย (ทำงานวิจัยเกี่ยวกับโปรเจคเตอร์และกล้องอ่ะ แล้วช่องสีที่เลือกใช้คือ ช่องสีแดง วันๆก็เลยต้องอยู่แต่กะภาพสีแดงนี่แหล่ะ จะตาบอดสีหลังเสร็จงานนี้มั๊ยเนี่ย แสงจากโปรเจคเตอร์ก็แสบตาดีเหลือเกิน)

แถมไม่ค่อยได้คุยกะใครด้วยเพราะต้องมานั่งเขียนโปรแกรมทดลองผลที่ห้องเล็กอีกห้องหนึ่งก็เลยนั่งคนเดียวซะส่วนใหญ่ ชีวิตมีแต่ห้องสี่เหลี่ยม โต๊ะสี่เหลี่ยม หน้าจอคอมสี่เหลี่ยม อ่านเปเปอร์ก็กระดาษสี่เหลี่ยมอีก วุ้ยเบื่ออ่ะ ทำไมไม่ทำห้องกลมๆไว้มั่งเนี่ย (คนกำลังเซ็งนี่อะไรก็เบื่อได้หมดเลยนะเนี่ย อยากเปลี่ยนบรรยากาศห้องวิจัยมั่งอ่ะ เผื่อจะสดชื่นขึ้น แต่อุปกรณ์มันเยอะขนไปทำที่อื่นไม่สะดวกเลย)



จริงๆจะโทษว่าอยู่ญี่ปุ่นเลยทำงานหนักก็ไม่ใช่เรื่องอ่ะนะ จริงๆมันก็เพราะตัวเราเองนี่แหล่ะที่เว่อร์เกินคนญี่ปุ่นได้อีก เด็กปริญญาเอกคนอื่นๆในแล็บเค้าก็ไม่เห็นดูจะเร่งงานอะไรมากเลย บอกว่ามีกำหนดจะส่งๆงานแต่พอถึงเวลาทำไม่ทันหรือไม่ได้ผลตามต้องการเค้าก็ไม่ส่ง ไว้ไปหางานอื่นๆส่งแทนทีหลังไม่ซีเรียส

แต่เราไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ เราเป็นคนซีเรียสเรื่องงานอ่ะ ถ้าเรื่องอื่นๆเรายอมได้หยวนได้ บางเรื่องถ้าขี้เกียจจะพูดก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องใครจะพูดจะว่าไงก็ไม่ว่าอะไร แต่กับเรื่องงานนี่ไม่ได้เด็ดขาด เรียกได้ว่าเป็นพวก perfectionist คนนึงเลย มันอาจไม่ได้เพอเฟคสำหรับใครอื่น แต่มันต้องดีที่สุดแล้วเท่าที่เราจะทำได้ บางทีตัวเองยังนึกว่าบางเรื่องเล็กๆนี่ไปเสียเวลากับมันซะตั้งนานแต่ตอนที่มันไปติดพันอยู่ตรงนั้นแล้วนี่ บังคับตัวเองให้เลิกทำไม่ได้จริงๆแฮะ

การเรียนพวกโทเอกนี่ เราว่ามันเป็นการบังคับตัวเองมากกว่า อย่างมากก็มีอาจารย์(บางท่านเท่านั้น)ช่วยกระตุ้นบ้าง แต่หลักๆแล้วอาจารย์ก็ไม่ได้มากระตุ้นกันจริงจังหรอก อาจารย์ก็มีงานของอาจารย์แถมนักเรียนเค้าก็หลายคน ไม่มีเวลามาเกาะขอบโต๊ะตามจิกแต่เราหรอก ก็แค่บอกๆมาแต่ไม่ได้มาติดตามอะไรกันใกล้ชิด (บอกเรามาบางทีอาจารย์ก็ลืมเองบ่อยๆ)

ถ้าเราบอกอาจารย์ไปว่าตอนนี้มันมีปัญหายังแก้ไม่ได้(ซึ่งก็มีจริงๆอ่ะ) อาจารย์ก็ไม่มาเร่งกันข้างโต๊ะ ไม่มามาว่าว่าทำไมแก้ไม่ได้ซะที ชักช้าจริง รีบๆแก้ให้เสร็จในอาทิตย์หน้า หรืออะไรทำนองนี้ไม่มีหรอก ดังนั้นการมีเดดไลน์ส่งงานมานี่เป็นตัวกระตุ้นเราเป็นอย่างดีให้เร่งทำงาน (แต่แต่ละอันนี่ แบบว่าเร่งกันหน้ามืดเลยอ่ะ จะให้มันมีเวลาทำแบบหายใจทันหน่อยก็ไม่ได้)

ช่วงตอนที่งานไม่เร่ง ยังมีเวลาทำก่อนจะถึงเดดไลน์ เราก็ไม่ใช่คนทำงานหนักเว่อร์อย่างนี้หรอก (ก็แค่ได้ระดับมาตรฐานของคนญี่ปุ่นตามปกติ) เสียสุขภาพกายไม่พอ(น้ำหนักลดดีนักแล) เครียดสุดๆ เราจะทำงานโดยกำหนดตารางไว้ว่าจะทำอะไรให้เสร็จก่อนวันไหน ถ้าเราทำเสร็จได้ก่อนเวลาที่เหลือเราถือเป็นกำไร เป็นเวลาพักของเรา ก็จะชิวๆเล่นๆจะไม่เริ่มส่วนต่อไปทันที ชีวิตก็ต้องพักกันบ้างสิ

กลับกันถ้ากำหนดเดดไลน์มาแล้ว จะเป็นจะตายก็จะทำให้มันทันให้ได้ เรียกว่าถ้าสุดท้ายจะไม่ทันจริงๆตอนนั้นคงทำงานจนใกล้ตายแล้วจริงๆนั่นล่ะ (ชนิดที่ว่าอาจารย์ยังไม่กล้าว่า เพราะเห็นคาตาอ่ะ คิดดูขนาดอาจารย์ยังทักว่าช่วงนี้ท่าทางยุ่งน่าดูเลยนะ อยากบอกว่าก็เพราะใครล่ะค้าาาาาาาาา คุณแฟนก็บอกประจำว่าไม่ต้องซีเรียสก็ได้ทำไม่ทันก็ไว้ส่งงานหน้าก็ได้ แต่เราซีเรียสอ่ะ)

เสร็จงานแต่ละทีก็เลยจะโล่งเอามากๆ(เสร็จงานแต่ละทีช้อปปิ้งกระจาย คนมันเก็บกดมานาน 555) เพราะช่วงปั่นงานก็เครียดทุกวันกลัวทำไม่เสร็จ กลัวทำไม่ทัน กลัวผลไม่ออก คิืดโน่นนี่กังวลอยู่(เกือบ)ตลอดเลย (ช่วงนั้นนี่ดีอย่าง กินยังไงก็ไม่อ้วน ทั้งๆที่นั่งแหมะอยู่แต่หน้าคอม บริหารแต่นิ้วมือ เดินบ้างก็ตอนไปห้องน้ำนี่แหล่ะ แสดงว่าการใช้สมองนี่เบิร์นพลังงานดีใช้ได้)



ตั้งแต่ปริญญาโทมาตอนนี้เทอมที่หกเข้าเอกแล้ว เดดไลน์หลายอันที่อาจารย์บอกว่าแบบฉุกเฉินหน่อยที่ไม่น่าจะทำได้ทัน แต่ก็ดันทำทันมาได้ทุกครั้ง ทำทันนี่คือทำเสร็จส่งได้ทันนะ แต่เรื่องว่าได้ตอบรับหรือเปล่าก็ไม่ได้ได้ทุกอันหรอก ไม่ได้เก่งขนาดนั้น

อาจารย์ก็ดันรู้สไตล์เราซะแล้วเลยคอยส่งกำหนดส่งงานโน่นนี่มาให้อยู่เรื่อยๆเลย จริงๆเรากะประมาณว่าหนึ่งเทอมส่งหนึ่งอันนี่กำลังพอดีเลยไม่มากและไม่น้อยไป ถ้าได้เทอมละอันนี่กว่าจะจบเอกสามปีก็เยอะแยะเหลือเฟือ (จริงๆตอนนี้เราก็มีเปเปอร์มากกว่าคนรุ่นเดียวกันแล้วด้วยซ้ำ)

เทอมนี้จริงๆก็มีกำหนดส่งแล้วเดือนกันยาอันนี้รู้มานานแล้ว แต่อยู่ๆเมื่อเดือนก่อนอาจารย์ดันบอกมาว่าอยากให้ส่งเพิ่มอีกอันเพราะกันยายังอีกนาน จากที่ก่อนนั้นทำวิจัยไปเรื่อยๆเพราะยังมีเวลา ก็เลยกลายมาเป็นฉะนี้แล (จริงๆถ้าทำไม่ทันก็บอกได้ อาจารย์เรายังไม่ใจร้ายขนาดนั้น)

เทอมก่อนๆ มีอยู่เทอมนึงที่บ้าพลังมากๆ ปั่นส่งไปได้2-3อันในหนึ่งเทอม(แต่ก็มีโดนรีเจคอยู่) ผลก็คือ เทอมต่อมานี่ไม่ได้ทำอะไรเลยอ่ะ ต้องเตรียมตัวไปประเทศโน้นนี้ เตรียมพรีเซนต์ติดต่อแล็บโน่นนี่อยู่ตลอด เรียกว่าทำงานกันเทอมเว้นเทอม ลำบากเทอมนี้จะสบายในเทอมหน้า 555 (และเทอมต่อไปก็จะกลับมาลำบากหนักอีกรอบ เพราะงานไม่ค่อยเดินไปตั้งเทอมนึงเต็มๆ)

-------------------------------------

เฮ้ออออ ได้บ่นแล้วสบายใจ จริงๆตอนนี้สถานการณ์ก็โอเคขึ้นแล้ว ถึงแม้โปรแกรมจะยังมี bug ที่หาไม่เจออยู่ แต่ถ้ามันไม่crashที่ตรงนั้นมันก็ยังทำงานได้ตามคอนเซปต์ที่เราตั้งไว้อยู่ ก็ถือว่าพิสูจน์ได้ล่ะว่าไอเดียที่เราเสนอนี้ทำงานได้จริงๆ

โปรแกรมเสร็จนี่ก็โล่งไปเยอะแล้ว ถ้าอะไรอยากจะพังตอนนี้ก็ตามสบายเลยนะ เพราะผลการทดลองเก็บมาแล้ว(ก่อนนี้ลุ้นอยู่เพราะโปรเจคเตอร์ที่ใช้อาการไม่ดี นึกว่าจะไม่มีของทำการทดลองแล้ว)

ได้ข่าวว่าทางแถบคันไซโรงเรียนและมหาลัยหยุดเป็นร้อยแห่งเพื่อกันหวัดหมูระบาด ก่อนนี้เราก็ภาวนาอยู่ว่าอย่าเพิ่งให้มหาลัยเราหยุดเลย(แต่อยู่ที่โตเกียวนะ) เพราะการทดลองเราทำที่บ้านไม่สะดวกอุปกรณ์อย่างเยอะ(แพงอีกต่างหาก แบกไปๆมาๆทำพังขึ้นมาล่ะยุ่งเลย งานไม่เสร็จไม่พอ ทำแล็บเสียเงินในเรื่องไม่ควรจะเสียนี่สิ) มาตอนนี้ผลได้มาแล้วอยากให้มหาลัยเราประกาศหยุดมั่งจริงๆ เราจะได้นั่งเขียนเปเปอร์อยู่บ้านสบายๆไม่ต้องมานั่งเสียเวลาแต่งตัวแต่งหน้าไปมหาลัยแล้วกลับมาก็ต้องเสียเวลามาล้างมาลบออกอีก

เรื่องเดียวที่พอเป็นสีสันให้ชีวิตตอนช่วงงานยุ่งๆก็คือ การได้แต่งหน้าแต่งตัวนี่แหล่ะ จะว่าบ้าก็บ้า วันๆนั่งแต่ในแล็บกับเดินไปห้องน้ำจะแต่งหน้าแต่งตัวไปเพื่อ??? คนในแล็บก็เห็นหน้ากันทุกวันเราจะใส่ชุดนอนมาก็คงไม่มีใครสนหรอก คนในคณะเดียวกันกับเราแทบไม่มีใครมาเสียเวลากับอะไรหยั่งงี้กันเลย เจอเพื่อนแล็บอื่นนี่ทักประจำนึกว่าเราจะแต่งตัวไปเที่ยวไหน (แถมชุดพวกนี้นี่ซักมืออีก โยนลงเครื่องกลัวจะพัง) ดีนะเนี่ยว่าญี่ปุ่นฟรีเรื่องการแต่งตัวอยากแต่งอะไรก็แต่งได้ เลยยังแอ๊บได้อยู่ถึงจะปริญญาเอกแล้วก็ตาม

อ้อ เหตุผลที่ไม่ไปแล็บไม่ได้(ยกเว้นสุดสัปดาห์และวันหยุด แม้แต่ตอนมหาลัยปิดเทอมก็ยังต้องไป มีตติ้งก็ยังมี)ก็เพราะมันเคยโดนมาแล้ว สมัยเขียนทีสิสจบโท อากาศมันร้อนแล้วปิดเทอมด้วย เห็นว่าเขียนทีสิสทำอยู่บ้านได้เลยไม่ได้ไปมหาลัยประมาณสองอาทิตย์ได้ โดนเลย อาจารย์เมลมาเชิงดุๆ ว่าเค้าอยากให้ไปมหาลัยทุกวัน และโดยเฉพาะเราเข้าเอกแล้วควรจะทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแก่รุ่นน้องด้วย -"-

จากนั้นก็ต้องไปทุกวันอ่ะนะ นานทีๆแอบโดดได้บ้างอาทิตย์ละวันอะไรอย่างนี้แต่ไม่ควรทำบ่อยจนอาจารย์สังเกตเห็นได้ ก็ทำไงได้อาจารย์เราเค้าเข้มเรื่องการมาแล็บนี่นะ คิดในแง่ดีก็ยังไม่ถึงขั้นต้องตอกบัตรเข้าตามเวลาเหมือนบางแล็บละกันน่า (อาจารย์เราถือว่าอยู่ในข่ายอาจารย์ใจดีนะ ยังถือว่าหนุ่มสำหรับอาชีพอาจารย์เลยยังไฟแรงอยู่)



เวลาใครๆบอกว่าน่าอิจฉาที่อยู่ญี่ปุ่น เราอยากบอกว่าเราอ่ะอิจฉาคนที่ได้มาเที่ยว(หรือมาเรียนภาษาอย่างเดียว)ที่ญี่ปุ่นมากกว่า ช่วงเวลาสั้นๆที่เราเคยมาอยู่เพื่อเรียนภาษาอย่างเดียวนี่ บอกได้เลยว่าเสพความสุขในการอยู่ที่นี่เต็มที่จริงๆ ชีวิตอิสระ ความปลอดภัยสูง อากาศดี(มาก) เดินทางสะดวก ที่เที่ยวเยอะแยะ แต่งตัวได้หลากหลาย หันไปทางไหนมีแต่เสื้อผ้าเครื่องสำอางน่าซื้อน่าใช้ เรียกว่าอะไรๆที่ใครๆบอกว่าอิจฉานี่เคยได้ทำ(เกือบ)หมดตอนนั้น

แต่พอเปลี่ยนมาอยู่ในอีกแบบที่ต้องทำงานจริงจังหรือเรียนจริงๆจังๆแบบหวังผลนี่ ไม่สบายเอาซะเลย เรียกว่ายุ่งจนไม่ค่อยได้หันไปมองอะไรรอบตัว ไม่ได้ทำอะไรที่คนมาเที่ยวเค้าทำกันเลย เรียนอยู่ญี่ปุ่นมาสองปีครึ่งกว่าแล้วสารภาพเลยว่าเรายังเที่ยวได้น้อยกว่าคนที่มาเที่ยวอาทิตย์เดียวซะอีกแน่ะ



Create Date : 23 พฤษภาคม 2552
Last Update : 23 พฤษภาคม 2552 22:40:40 น.
Counter : 1579 Pageviews.

8 comments
พ่อแม่ที่ติดโทรศัพท์ มีผลต่อลูกอย่างไร newyorknurse
(22 มิ.ย. 2568 21:04:21 น.)
Last day of school 2024 วันสุดท้ายของปีการศีกษาปี 2024 newyorknurse
(21 มิ.ย. 2568 04:25:46 น.)
“เอาเกรดรอง”_ไม่ต้องจ่ายแพง! (Theenuch_Team money Talk 4) newyorknurse
(3 มิ.ย. 2568 04:20:00 น.)
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ทีมงาน Bloggang กู้ข้อมูลบล็อกให้ทุกบล็อกค่ะ newyorknurse
(29 พ.ค. 2568 19:34:59 น.)
  
อ่านจนจบแล้วเห็นด้วยเลยค่ะ
เพิ่งมาเรียนได้ไม่ถึงปี รู้สึกว่าทำไมมันโหดร้ายแบบนี้
ตอนมาแลกเปลี่ยนรู้สึกสนุกมากเลย
เรื่องเที่ยวนี่เสาร์อาทิตย์แทบจะอยู่บ้านอย่างเดียวเลย เพราะจันทร์ถึงศุกร์นี่ อยู่บ้านน้อยกว่าแลบอีก

อ่านแล้วเริ่มกลัวการเรียนเอกนิดๆแล้วค่ะ
โดย: เด็กชายหัวตะปู วันที่: 23 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:09:21 น.
  
Sawadee ka.
โดย: CrackyDong วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:5:07:20 น.
  
น่าสงสารจขบ. ที่ต้งเรียนคร่ำเครียดจนไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยว ซึ่งเราก็คืดเหมือนกันว่าเพื่อนๆที่มาเที่ยวระยะเวลาสั้นๆได้ไปหลายที่และวางแผนเที่ยวกันได้เก่งจริงๆ

ลืมแนะนำตัวไปค่ะ เราอยู่ญี่ปุ่นนะ เป็นทั้งแม่บ้านและซารารี่แมนธรรมดาตอกต๋อยคนนึงค่ะ

ว่างๆจะแวะมาเยี่ยมอีกนะคะ จขบ.ดชคดีจังที่เก่งและสอบได้ทุน เรายังอยากเรียนต่อโทที่นี่เลย แต่หัวสมองอันน้อยนิดมิสามารถสอบผ่านสัมภาษณ์และข้อเขียนได้อย่างเพราะเริ่มขี้เกียจกว่าตอนอยู่ที่ไทยซะอีก

โชคดีนะคะ ........... ขอให้สนุกกับการเรียนต่อไปจ้า...
โดย: wippy+totoro (wippy+totoro ) วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:6:07:01 น.
  
สู้ๆๆ นะคะ เป็นกำลังใจค่ะ
โดย: MoMMaMjAnG วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:55:09 น.
  
เป็นกำลังใจให้นะคะ...


สามีเราเขาก็เรียน ป เอกอยู่ตอนนี้ เราเองไปช่วยเขาเรียนอะไรไม่ได้ ก็เลยได้แต่คอยดูแลเรื่องอาหารการกินแทน

อย่างเวลาเขาอ่านหนังสือหรืออยู่หน้าจอคอมนานๆ พอได้ทานส้มหรือผลไม้เปรี้ยวๆที่แช่เย็นๆ ดูเขาสดชื่นขึ้นเหมือนกันนะคะ

เห็นด้วยกับที่คุณบอกไว้ตอนท้าย ว่าคนที่มาเที่ยวกับคนที่มาอยู่มาเรียน ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน

คู่ของเรามาอยู่เมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเช่นกัน คนอื่นมักบอกว่า อิจฉา โชคดี ฯลฯ

แต่พอมาอยู่จริงๆแล้ว คนที่เรียนหนักอย่างสามีเรา แทบไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนเท่าไหร่เลยค่ะ

ชีวิตก็อยู่แต่กับกองหนังสือ บ้าน มหาลัย แค่นี้แหละ นักท่องเที่ยวคนที่เขามาทัวร์ เขาเที่วเยอะกว่าคู่พวกเราอีก

โดย: MollyJinx วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:4:27:27 น.
  
คิดว่าความหมั่นเพียรของน้อง อาจารย์ท่านเห็นตลอดเวลานะคะ เป็นกําลังใจค่ะ สู้สู้นะ


โดย: DeaR*HikAru* วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:32:11 น.
  
แวะมาให้กำลังใจครับ
เรียนเอกคงหนักกว่าโทเยอะ แต่อย่างคุณเกตผ่านไปได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว :)

คิดว่ารู้อยู่แล้ว แต่ก็อย่าลืม periodically back up ไฟล์งานไว้หลายๆแห่งนะครับ
3วันก่อนไฟนอลดีเฟนด์โท คอมที่แล็ปผมเดียงไปดื้อๆเลย (ขนาด macpro นะเนี่ย --")
โชคดีที่มีแบ็คอัพไว้หลายๆแห่ง ส่วนโค้ดทั้งหลายก็ใช้ sub version ทำ versioning ไว้อยู่แล้ว
ไม่งั้นถ้าพลาดไป ป่านนี้อาจจะนั่งเรียนโทปี3อยู่ครับ... ฮาฮา
โดย: NEKKI (Fire Bomber !! ) วันที่: 5 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:09:36 น.
  
แวะมาอ่านคร๊า กัมบัตเตะนะคะ
โดย: บี๋ (Yushi ) วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:19:51 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Whiteamulet.BlogGang.com

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo  Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]

บทความทั้งหมด