ปั้นมนุษย์
บล็อคนี้ มีสาระนิดนึง..หลังจากห่างหายไปนานนนนนน


ได้หนังสือมาใหม่ 1 เล่ม ระหว่างรอดูหนังงวดก่อน..เล่มบางๆ แต่อ่านเพิ่งจะจบ

หนังสือฆ่าเวลาของอิชั้น


ขัดกะหน้าตาเล็กน้อย ถึงมาก...แต่นะ..นอกจากนิยาย การ์ตูน และบ้าๆบอๆอื่นๆ อิชั้นอ่านหมด..ยกเว้น สามก๊ก..(คงเหลือเป็นประชากรกลุ่มสุดท้ายๆที่โดนเค้าหลอก เพราะชาวบ้านเค้าคงอ่านกันไปคนละหลายรอบ)

ท่านพุทธทาสกล่าวว่า....
การจะปั้นเด็กให้เป็นมนุษย์ได้นั้นต้อง อาศัย ‘บรมธรรม’ คือแม้แต่ทารกก็ต้องมีบรมธรรม การจะปั้นเด็กให้เป็นมนุษย์ได้นั้นต้อง อาศัย ‘บรมธรรม’ คือแม้แต่ทารกก็ต้องมีบรมธรรม

บรมธรรมคืออะไร อิชั้นก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ ยากแท้หยั่งถึงไปหน่อย...แต่นะ
ท่านว่า "บรมธรรม คือธรรมที่เป็นพื้นฐานของชีวิต เป็นยอดสุดของทุกสิ่ง และยอดสุดนั้นก็เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งด้วย"

พ่อแม่ควรรู้ว่าบรมธรรมก็คือธรรมที่มีเนื้อหาลึกซึ้งสูงสุด หรืออาจเรียกว่าเป็น ‘ยอดสุดของทุกสิ่ง’ แต่เพราะยอดสุดนั้นไม่ใช่ยอดสุดผู้เดียว จะต้องมาเกี่ยวกับมนุษย์ทุกคนด้วย ธรรมชาติจึงจัดสรรให้ ยอดสุดนั้นอยู่ในฐานะที่เป็นพื้นฐานของสิ่งทั่วไป บรมธรรมจึงเป็นสิ่งสูงสุดที่พ่อแม่พึงให้แก่ลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นไง...

ทุกอย่างเป็นไปตาม "ธรรมชาติ"

พอดีเซริชเจอเว็บเสถียร ท่านแม่ชีสันสนีย์ ย่อสรุปมาอย่างได้ใจความ โดยเราไม่ต้องนั่งพิมพ์ใหม่แล้น ก๊อบมาเลย
(//www.sathira-dhammasathan.org/index.php?topgroupid=%20%20%20%20%201%20%20%20%20&groupid=%20%20%20%20%2047)

ท่านอาจารย์พุทธทาสได้สอนวิธีการแก้ปัญหาเรื่องนี้ไว้ว่า เราต้องทำให้เด็กมีความรู้ ความเข้าใจ เท่าที่เขาจะเข้าใจได้ อย่างน้อยก็ ให้เข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามใจเขาได้ทั้งหมด เพราะมันเป็นไปตาม ‘ธรรมชาติ’ ธรรมชาติมันต้องเป็นไปอย่างนั้น และความที่ต้องเป็นไปอย่างนั้น เราก็เรียกว่าเป็น ‘ธรรมดา’ การที่เด็กได้รู้จัก ธรรมชาติ หรือธรรมดา ในจุดเบื้องต้นนั้นก็เหมือนการใส่เชื้อบรมธรรมให้เด็ก ๆ

ในส่วนที่ว่า “ไม่มีอะไรจะเป็นไปตามความพอใจของเขาได้ทั้งหมด” นั้น ท่านอาจารย์พุทธทาสเห็นว่าเป็นหลักสำคัญ ที่แม้แต่ ผู้ใหญ่บางคนก็ยังไม่รู้ จริง ๆ แล้ว เรื่องนี้ก็คือหลัก ‘อนัตตา’ ในพุทธศาสนา แต่พอพูดถึงอนัตตาเท่านั้น เขาก็ไม่รับแล้ว อย่าว่าแต่ให้สอนเด็กเลย ผู้ใหญ่บางคนก็ไม่รับ
เด็กเล่นของเล่น ของเล่นพัง

เด็กก็ต้องรู้เรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาตามประสาเด็กคือ แค่รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามความพอใจของเขาได้ทุกอย่าง เพราะมันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา การพูดให้ฟังหลาย ๆ ครั้ง เด็กตัวเล็ก ๆ ก็จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไรสูญหาย หรือเสียหาย ก็ไม่ต้องร้องไห้ หากได้สิ่งที่ถูกใจมา ก็ไม่ต้องดีใจเกินไป เพราะไม่เท่าไร มันก็จะเป็นไปตามธรรมชาติ หรือธรรมดาอีก

เรื่องความกลัวตาย กลัวการเจ็บไข้ กลัวความวิบัติ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ท่านอาจารย์เห็นว่าผู้ใหญ่ควรสอนเด็ก แต่ก็คงจะเป็น เรื่องที่สอนได้ยาก หากผู้ใหญ่ก็กลัวเสียเอง วิธีการคือ จะต้องชวนกันพูดจา สอบถามให้เด็กมีความคิด จนมองเห็นว่าความตาย ความเจ็บไข้นั้นเป็นของธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่มีมาให้กลัว แต่มีไว้สำหรับให้เรียน ให้ศึกษา ให้เผชิญหน้า เหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นมาเพื่อสอบไล่ความเก่ง ของเรา เด็กตัวเล็ก ๆ คนไหนเก่ง ก็ลองดู ด้วยการทดสอบข้อนี้

วิธีนี้ก็เหมือนการพยายามที่จะให้เด็กแสดงความสามารถหรือความเก่งของตัวในการที่จะเผชิญกับความตาย หรือความอันตราย อย่างยิ้มแย้มแจ่มใส่ เป็นการสอนเด็กของเราให้มีเหตุผลที่จะเผชิญ กับความจริงของธรรมชาติ ด้วยสติปัญญา ด้วยความนึกคิด ซึ่งดีกว่า เอาเรื่องความตาย หรือความมืด หรือสิ่งที่เป็นความไม่รู้มาขู่ให้เขากลัว จนทำให้เขามีนิสัยแห่งความกลัวมากกว่าที่ธรรมชาติกำหนดไว้

นอกจากนี้ ท่านอาจารย์ยังสอนเด็ก ๆ อีกด้วยว่า พวกเขาจะต้องไม่เข้าใจผิดไปว่าพ่อแม่มีหน้าที่จะต้องรักเขา ช่วยเหลือเขา และตามใจเขา ตรงกันข้าม เขาจะต้องรักพ่อรักแม่ ต้องช่วยเหลือ และต้องตามใจพ่อแม่ เพราะการที่พ่อแม่จะรักหรือไม่รักเขานั้น ท่านต้องถือเอาความถูกต้องเป็นใหญ่ เด็กต้องรู้ว่าเขาอยู่ในฐานะที่จะต้องช่วยตัวเองมากขึ้นทุกที โดยไม่ต้องรบกวนพ่อและแม่ คือต้องทำให้เด็กเข้าใจพุทธภาษิตที่ว่า ‘ตนแลเป็นที่พึ่งของตน’ ให้มากขึ้น

และอีกหนึ่งเรื่องที่ท่านอาจารย์พุทธทาสให้ความสำคัญมาก ก็คือ เด็กจะต้องรักผู้อื่น หรือรักสัตว์อื่นเท่ากับรักตัวเอง เป็นเพราะ ผู้อื่นหรือสัตว์อื่นเป็นเพื่อนของเขา ให้เด็กเข้าใจว่าสัตว์อื่นก็เป็นเพื่อนที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกันกับพวกเขา ดังนั้นเมื่อสัตว์เหมือนกับเด็ก เด็กจึงต้องรักเขา เพราะเขามีจิตใจเหมือนเรา สัตว์เหล่านั้นก็เป็นเพื่อนทุกข์กับเด็ก และในทางเพื่อนสุขก็เป็นเพื่อนสุขกัน เราควรอบรมให้เด็กมีความรู้สึกอย่างนี้ อย่าปล่อยให้เขามีความคิดไปในทางเห็นแก่ตัว หรือทำลายความสุขของผู้อื่น เพื่อเห็นแก่ความสุขของตัวเอง ต้องทำทุกอย่างให้เด็กมีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นมีความสุข หรือจะเรียกว่าเราจะต้องพยายามพิสูจน์ให้เด็กเห็นว่า ‘การเสียสละให้ผู้อื่นดีกว่าให้ตัวเองก็ได้’


“เราจะต้องสอนให้เด็ก ๆ รู้ว่า ถ้าทำดีเพราะมีคนยุนั้นยังไม่ใช่คนดี พิสูจน์ด้วย logic ง่าย ๆ สำหรับเด็กว่า ถ้าเราทำความดีเพราะถูกคนอื่นยุนั้น เรายังไม่ใช่คนดี เด็กจะมองเห็น logic ข้อนี้ว่าการกระทำนั้นยังไม่ใช่ความดีที่สมบูรณ์ เพราะว่าเราทำเพราะถูกเขายุ หรือว่า เรารับจ้างเขาทำความดี ความดีนั้นไม่สมบูรณ์ ไม่ใช่ดีจริง ไม่ควรจะเอามายกหู ชูหางร่าเริง ว่าเป็นผู้ทำความดี ความดีนี้ต้องทำโดยไม่มีใครยุ เพื่อให้เขาเข้าใจหลักของพระพุทธเจ้าที่ว่า สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น จะเป็นกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม ทุกคนต้องรับผลแห่งกรรมนั้น เพราะฉะนั้น กรรมดีนี้ต้องเป็นสิ่งที่ต้องทำเอง เหมือนกับเรื่องการเดิน เราต้องเดินเอง เราจึงจะถึงเอง ถ้าไม่เดินเอง คนอื่นเดินแทน เราจะถึงได้อย่างไร แล้วเรายังจะต้องมีสติปัญญาของเราเอง เราจะต้องสอนเด็ก ๆ ให้รู้ว่า เราต้องทำดีชนิดที่เป็นความดีจริง ๆ เสมอไป ไม่ใช่ทำดีเพราะคนอื่นเขาว่าดี หรือจนต้องทำดีเพราะคนอื่นเขามายุ มาจ้างให้ทำดี...

“เมื่อเราทำความดี เราต้องลืมทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด นอกจากเห็นแก่ความดี ทำความดีเรื่อยไป ทำความดีเพื่อความดี ไม่ต้องทำเพื่อตัวเรา คือถ้าทำเพื่อตัวเรามันดีน้อย ฉะนั้น เราจะต้องทำความดีเพื่อความดี จนเข้าหลักจริยธรรมสากลว่า บรมธรรม คือทำงานเพื่องาน ไม่ใช่ทำงาน เพื่อขนม หรือเพื่อเงิน ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำหน้าที่เพื่องาน เด็ก ๆ จะต้องทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ประจำวันก่อน แล้วอะไรจะมาทีหลัง จะได้รางวัล หรือไม่นั้น มันคนละเรื่องกัน...

“...ให้เด็ก ๆ รู้จักคิดรู้จักเปรียบเทียบเอาเองว่า ทำอะไรที่ทำเพื่อตัวเองนั้น มันง่ายกว่าที่ทำเพื่อผู้อื่น ทำความดีเพื่อตัวเอง เห็นแก่ตัวเองนั้น มันง่ายกว่าที่จะเห็นแก่ผู้อื่น การเห็นแก่ปากท้องของตัวนี้ มันง่ายกว่าเห็นแก่ปากท้องของผู้อื่น จึงไม่มีใครสรรเสริญ เขาสรรเสริญคนที่ทำของยาก ทำสิ่งที่กระทำได้ยาก เพราะฉะนั้น เด็ก ๆ ควรต้องชอบกระทำสิ่งที่ยาก ทำให้เกิดความนิยมในการกระทำสิ่งที่ยาก...."


เรื่องที่ใกล้ตัว ง่ายๆ แต่ทำยาก...
เด็กเก่งของท่านพุทธทาส คือ เด็กที่ไม่กลัวตาย..เด็กที่เข้าใจธรรมชาติ ไม่ใช่เด็กที่ บวกเลขได้เก่ง ท่องสูตรคูณแม่น หรืออื่นใด
บางทีเราอาจจะมัวแต่ไปบ้าพัฒนาการด้านโน้นด้านนี้..เรื่องธรรมชาติใกล้ตัวแค่นี้ กลับหลอกลูกตัวเองให้โง่หัวปักหัวปำ...
กลัวบ้ากลัวบอ กลัวจิ้งจก ตุ๊กแก กลัวผี กลัวตำรวจ กลัวความมืด

สอนกันทุกเรื่อง..ยกเว้น การเปิดโอกาสให้เด็ก ได้ "รู้สึก" ความรู้สึก สอนกันได้ไหม...

เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้รู้สึก ถึง ความสุข ความสนุก ความเศร้า ความเสียใจ ความเจ็บปวด...แล้วเรียนรู้ ได้ปรับตัว..ได้รูู้ว่า ความรู้สึก ดีใจที่ได้ของเล่นใหม่..มันอยู่กับเราไม่นาน..สักพัก ของเล่นใหม่ กลายเป็นของเล่นเก่า...สักพักของเล่นพัง รู้สึกเสียใจ...แต่จะเสียใจทำไม..ในเมื่อสักวันมันก็ต้องพัง..
โดนเพื่อนแย่งของเล่นแล้วเศร้าไหม...เศร้า แต่ของเล่นของเรา เราเล่นบ่อยแล้ว แบ่งเพื่อนเล่นสักนิดได้ไหม เพื่อนจะได้มีความสุข เพื่อนมีความสุข แล้วเราก็มีความสุชไปด้วย...จิงไหม...

เล่นคนเดียวมันเหงาๆ


แบ่งกันเล่นมีความสุข


งกไว้กินคนเดียว...(จะดีหรอ???)


แบ่งกันกินมีรอยยิ้มมม

"อันนี้อาหร่อยยย.." มิวมิวบอก



Create Date : 18 ธันวาคม 2552
Last Update : 18 ธันวาคม 2552 2:37:26 น.
Counter : 1086 Pageviews.

11 comments
  
อ่านหัว blog นี้แล้วงงนึกว่ามี๊เกดพามิวมิวไปนั่งปั้นงานศิลปะอ่านไปอ่านมาถึงบางอ้อ อนุโมทนา...สาธุ 555
น้องไอซ์เดินเล่นอยู่ข้าง ชี้เข้ามาที่หน้าจอ นก นก ไหนวะแม่ยังมองไม่เห็นเรย กลับขึ้นไปดูรูปแรกมิวมิวเดินตามนกอยู่นี่เอง
ปล.คิดถึงมิวมิว จุ๊บุ จุ๊บุ
โดย: แฟนขับขั้นเทพ (บ้านสามออ ) วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:9:44:43 น.
  
ขอบคุณค่ะ ^ ^
โดย: เจี๊ยบ IP: 10.182.255.60, 203.144.240.232 วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:12:20:32 น.
  
เป็นหลักความคิดที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ ได้อ่านก็เหมือนได้ทบทวน ขอบคุณมากค่ะ
โดย: brutus IP: 125.25.26.83 วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:19:36:47 น.
  
รูปข้างล่างน่ารักสุดๆ เด็กแบ่งปัน
โดย: แวะมาดู IP: 119.31.126.141 วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:10:03:05 น.
  
สาธุ สาธุ สาธุ
ท่าลง slider คุณชายจิยะ ฮิโซ ขนาด
โดย: แม่ปลาวาฬ IP: 58.9.73.227 วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:15:04:01 น.
  
สาธุ ภาพสุดท้ายน่ารัก
โดย: ไผ่ไร้กอ วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:22:28:32 น.
  
สงสัยต้องไปหาอ่านมั่งแล้ว ดีจริงๆๆๆ
โดย: kizz_j IP: 125.27.49.17 วันที่: 20 ธันวาคม 2552 เวลา:15:15:15 น.
  
มีสาระจริงๆด้วยค่ะ ต้องไปหาอ่านบ้างแล้วค่ะ ขอบคุณมี๊เกดที่หาหนังสือดีดีมาให้ดูกัน
โดย: OneDeeK วันที่: 21 ธันวาคม 2552 เวลา:13:18:27 น.
  
ชอบแนวความคิดนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้หาเจออย่างมั่นใจแล้วว่าทำไมลิงบ้านชั้นขี้งกนัก ความผิดกรูเองงงง -*- จับกรอกหู ไอ้หมูขี้หวงมาตั้งแต่ยังพูดไม่ได้
โดย: Jeban วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:23:39:16 น.
  
เห็นด้วยกับแนวคิดนี้เหมือนกันค่ะ

คุณเกดลองหาหนังสือชุดเรื่อง "รักลูกให้ถูกทาง" ของท่านพุทธทาสมาอ่านสิคิ มี 3 เล่ม

อ่านแล้วปิ๊งแนวทางเลยค่ะ
โดย: Tikty IP: 202.176.219.196 วันที่: 23 ธันวาคม 2552 เวลา:13:24:49 น.
  
ชอบมากค่ะแนวคิดนี้ ขอบคุณที่หาสิ่งดีๆมาแบ่งปันนะคะ
โดย: แม่ Theo IP: 125.25.217.155 วันที่: 4 มกราคม 2553 เวลา:23:18:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Nugade.BlogGang.com

กุ๊ดจัง
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]

บทความทั้งหมด