วันฝนพรำ ที่อัมพวา (ตอนที่ 3)
วันฝนพรำ ที่อัมพวา (ตอนที่ 3)
อ่านตอนที่ 2 : คลิ๊กที่นี่ อ่านตอนจบ : คลิ๊กที่นี่
ตอนที่แล้วได้พาท่านผู้อ่าน ชมแสงสีเมืองอัมพวายามค่ำคืน และล่องเรือชมหิ่งห้อย ตลอดจนเกล็ดความรู้เรื่องหิ่งห้อยมาแล้ว ตอนนี้ขอเริ่มบรรยากาศยามเช้าตามคลองในอัมพวา และจะพาท่านชมวัดวาอารามในบริเวณอัมพวา และพื้นที่ใกล้เคียงครับ..
 รุ่งอรุณริมคลองหน้าที่พัก
อากาศริมคลองตอนเช้าๆเย็นสะบายดี ตื่นแต่เช้ากลัวว่าไม่ทันพระมารับบาตร ยามเช้าๆแบบนี้ ได้ยินเสียงชาวคลองร้องสั่งลูกหลานให้ทำโน่น ทำนี่ไปเรื่อย โดยบ้านข้างกันก็จะส่งเสียงคุยกัน บรรยากาศมีแต่ความเป็นมิตร ผิดกันกับคนเมืองใหญ่ๆสมัยนี้ แม้บ้านจะรั้วติดกัน ร้อยวันพันปีก้ไม่ค่อยจะได้คุยกัน.....
 แสงทองส่องผ่านยอดมะพร้าวที่คลองโพงพางล่าง
เช้านี้น้ำที่คลองโพงพางลงไปต่ำมาก จนถึงบันไดท่าน้ำขั้นสุดท้ายเลยที่เดียว สายน้ำกำลังไหลลงไปมี่แม่น้ำแม่กลอง สีค่อนข้างคล้ำ ตัวเงินตัวทองว่ายน้ำไปมา ถามไถ่เอาความกับเจ้าของที่พัก ที่ตื่นมาเตรียมอาหารเช้าและของตักบาตรให้เรา ก็ได้ความว่า เจ้าตัวเงินตัวทองนี้ปัจจุบันกลายเป็นสัตว์อนุรักษ์ไปแล้วที่อัมพวา
 อีกมุมหนึ่งริมคลองยามเช้า
 คุณลุงกับคุณป้าเตรียมตักบาตรพระ
พอดีมองข้ามคลองออกไปเจอลุงกับป้าเขาเตรียมของไว้ตักบาตรพระเช่นกัน ก็เลยส่งเสียงทักทายแกหน่อย เจ้าของรีสอร์ทเดินเข้ามาสมทบ แล้วบอกเราว่า ลุงเปียคนนี้แกเคยออกรายการ คนค้นคน มาแล้วเกี่ยวกับการประมงน้ำจืด เราก็ได้แต่บอกว่าดีใจจังที่ได้เจอลุง ทางเจ้าของรีสอร์ทก็เล่าต่อว่า ที่บริเวณนี้เคยมีทีวีมาทำสารคดี เกี่ยวกับการตกกุ้งด้วย...
 หลวงพี่กำลังมารับบาตร
คุยกันสับเพเหระได้ซักพัก เจ้าของรีสอร์ก็ชี้ให้เราดูว่าหลวงพี่มาแล้ว มาองค์เดียว พายเรือมาเอง ท่านแวะรับบาตรที่เราก่อน ก่อนจะพายข้ามคลองไปหาป้ากับลุงเปีย...
น้ำไหลลงค่อนข้างแรง หลวงพี่ท่านต้องเอามือเกาะบันไดท่าน้ำไว้ไม่ให้เรือเคลื่อนตัว น้องผู้หญิงของทางรีสอร์ทช่วยจับเรือไว้ให้หลวงพี่ ก่อนที่ท่านจะให้พรแก่เรา..... ได้ทำบุญแต่เช้าสมใจ เลยเห็นอะไรสวยงามไปหมด เจอผึ้งกำลังตอมดอกไม้อยู่ เลยจับภาพมาอวดท่านผู้อ่านด้วย.
 ป้ากะลุงกำลังตักบาตร
 สูดอากาศบริสุทธิแข่งกะผึ้งในยามเช้า
 วิถีชีวิตริมคลองยามเช้า
ลุงเปียกับป้าช่วยกันเอาเรือที่แขวนไว้เหนือน้ำลงบนพื้นน้ำ เพื่อออกหาปลาแต่เช้าซึ่งเป็นชีวิตประจำวันของแก แกใช้ไม้พาย พายไปตามน้ำ ออกไปจากบ้าน เพื่อประหยัดน้ำมันและออกกำลังกายไปในตัว.
หลังจากได้ข้าวผัดกระเพากุ้งและหมึกจากทางที่พักคนละจาน แทนอาหารเช้าแบบตะวันตกแล้ว เราเช่าเหมาเรือกันอีกครั้ง เพื่อไปไหว้พระตามวัดต่างๆ ซึ่งวันนี้เราบอกว่าจะไปไม่นานจะกลับมาก่อนเที่ยงเพื่อเช็คเอ๊าท์ออกจากที่พัก เพราะน้องเขาบอกว่าจะมีแขกเข้ามาพักใหม่ เราเลยตัดสินใจเก็บของให้เรียบร้อย ใส่ไว้ในรถก่อนบอกเขาว่าขอเอารถจอดไว้นี่ก่อนกลับมาค่อยคิดค่าใช้จ่ายกัน ส่วนห้องให้ขายได้เลยไม่ต้องห่วง..... พอเรือมารับแล้วนำเรามุ่งหน้าออกแม่น้ำแม่กลองตรงข้างๆวัดกุฎีทอง
 อู่เก็บเรือ เมื่อน้ำลง
ทางที่เรือผ่านออกไปเห็นเขาเก็บเรือแขวนไว้ คงจะเอาไว้เหนือระดับน้ำเวลาน้ำขึ้นสูงสุดเล็กน้อย เมื่อเวลาน้ำลงมากๆเช่นนี้จึงดูเหมือนเรือห้อยอยู่บนอากาศ คล้ายๆอู่เรือลอยฟ้า...
เราออกเดินทางซักพักก็เจอลุงเปียกับป้า ซึ่งแกก็โบกมือทักทายเราเหมือนคนที่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อน ป้ากับลุงยังคงใช้พายพายต่อไป แต่เราเร่งเครื่องออกเดินทางเพื่อให้กลับเข้ามาที่พักทันตอนเที่ยงวัน
 แม่ค้าขับเรือไปตลาด
แม่ค้าเอาสินค้าใส่เรือไปเต็มอัตรา เพื่อเร่ขายตลอดทั้งวัน แม่ค้าที่นี่ขับเรือท่าจะเก่งมาก ดูเขาไม่เห็นทีท่าว่าจะกลัวเลย เวลาเรือสวน และมีคลื่นพัดเข้าใส่..
 น้องเป็ดออกหาอาหาร
 กิจกรรมตกกุ้งก็เริ่มขึ้น
การตกกุ้งเป็นอาชีพหนึ่งในคลองแถวนี้ เมื่อคืนตอนที่เรากลับมาจากดูหิ่งห้อย ก็เห็นชาวบ้านมาจอดเรือตกกันอยู่เป็นจุดๆ เขาจะมีไม้ค้ำถ่อ 1 อันเอาไว้ยึดเรือไม่ให้เคลื่อนไปที่อื่น และมีตะเกียงเจ้าพายุลำละอัน ส่วนเหยื่อนั้นเขาบอกว่า ใช้ทั้งกุ้งเล็ก (กุ้งฝอย) และใส้เดือน
 เรือนไทยร่วมสมัยริมฝั่งแม่กลอง
 เมื่อคืนเรามาดูหิ่งห้อย ที่ต้นลำพูต้นนี้
เห็นต้นลำพูต้นใหญ่ครั้งแรกก็ตื่นเต้นไม่น้อย นี่หรือต้นลำพูที่เจ้าหิ่งห้อยชอบมาเกาะ สร้างสีสรรให้ใครต่อใครเข้ามาดู แต่หลังจากต้นนี้แล้วก็เจออีกมากมายตามชายฝั่งแม่น้ำ และคลอง
 ริมฝั่งแม่กลอง
 ชีวิตในสายน้ำ
ไม่นานนักเรือเราก็ออกสู่แม่กลองข้ามแม่น้ำไปอีกฟาก เพื่อแวะไหว้พระที่วัดบางแคน้อย
วัคบางแคน้อย
วัดบางแคน้อย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง คุณหญิงจุ้ย (น้อย) วงศาโรจน์ เป็นผู้สร้างเมือ พ.ศ.2441 เดิมอุโบสถของวัดสร้างบนแพไม้ไผ่ผูกไว้กับต้นโพธิ์ ต่อมาพระอธิการรอด เจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ได้สร้างอุโบสถบนพื้นดิน ในปี พ.ศ.2418 ต่อมาอุโบสถหลังเดิมได้ชำรุดทรุดโทรม พระอธิการเขียว เจ้าอาวาสองค์ที่ 6 ได้สร้างอุโบสถขึ้นใหม่ ใรปี พ.ศ.2492 จนกระทั่งปี พ.ศ.2540 อุโบสถหลังเดิมเกิดชำรุดอีก เนื่องจากขาดแคลนวัสดุและคุณภาพเพราะตอนสร้างอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระครูสมุทรนันทคุณ (แพร) จึงได้ดำเนินการสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น
 โบถส์วัดบางแคน้อย
อุโบสถที่สร้างขึ้นใหม่นี้ ภายในจะเป็นไม้สักแกะสลักทั้งหมด อุโบสถหลังนี้มีความงดงามยิ่ง
สิ่งที่น่าสนใจ
การแกะสลักที่ที่น่าสนใจ และหาดูได้ยาก เนื่องจากต้องใช้งบประมาณ เวลาและฝีมือการแกะสลักที่ปราณีตบรรจง โดยใช้ช่างที่มีความชำนาญ ไม้มะค่าโมงซึ่งใช้เป็นแท่นรองพระประธานมีขนาดใหญ่มาก คือกว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาว 3 เมตร หนา 4 นิ้ว ชุกชีพระประธานเป็นไม้แกะสลักในทรงจอมแห พื้นอุโบสถปูด้วยไม้ตะเคียนทอง หนา 2 นิ้ว กว้าง 40-44 นิ้ว เรียงกัน 7 แผ่น ฝาผนังพื้นเป็นไม้แกะสลัก หนา 3 นิ้ว แกะสลักเป็นรูปคน สัตว์ ต้นไม้ และแกะเสริม รวมหนาถึง 6 นิ้ว ฝาผนังด้านตรงข้ามพระประธานเป็นไม้แกะสลักรูปปางชนะมาร ฝาผนังด้านซ้าย ขวา ของพระประธานเป็นไม้แกะสลักรูปพระเจ้าสิบชาติ ฝาผนังด้านหลังพระประธานเป็นไม้แกะสลัก การประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน ฝาผนังใต้ธรณีหน้าต่าง 2 ข้าง แกะสลักฝังด้วยไม้โมกมันรูปพระเวสสันดร จั่วด้านหน้าและหลังเป็นไม้แกะสลัก ด้านข้างทั้งสองเป็นคูหาหลงรักปิดทอง คันทวยเป็นไม้ลงรักปิดทอง
จากรายละเอียดดังกล่าว จะเห็นได้ว่า เป็นอุโบสถที่มีความสวยงาม มีคุณค่าทางด้านศิลปะเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะช่างแกะสลัก เป็นช่างฝีมือจากเพชรบุรี ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านแกะสลักไม้เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงถือว่าอุโบสถวัดบางแคน้อยเป็นศิลปะสถานที่มีคุณค่ามาก และถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดสมุทรสงครามอีกด้วย
 ภาพจิตรกรรมภายในโบถส์
 แผ่นไม้ตะเคียนขนาดใหญ่เจ็ดแผ่นที่หลวงพ่อแพรนำมาสร้างเป็นพื้น
 แท่นพระประธานก็ได้กระดานจากตอไม้ขนาดใหญ่
 ที่ศาลาจะมีรูปเหมือนหลวงปู่ โต ให้กราบไหว้

เราออกจากวัดบางแคน้อย มุ่งหน้าไปที่วัดบางกุ้ง ตามทางที่ผ่านจะพบ เห็นความสงบในคลองในยามเช้า เลยจับภาพมาฝาก
วัดบางกุ้ง และค่ายบางกุ้ง
ค่ายบางกุ้ง ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลบางกุ้ง เมื่อมาถึงบริเวณค่ายจะมองเห็นแนวกำแพงจำลองสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์จากการสู้รบ ค่ายแห่งนี้เป็นค่ายทหารเรือไทยที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หลังจากเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อพ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ได้โปรดให้ยกกองทัพเรือมาตั้งค่ายที่ตำบลบางกุ้ง เรียกว่า ค่ายบางกุ้ง เนื่องจากเมืองแม่กลองเป็นเส้นทางที่กองทัพพม่าใช้ในการเดินทัพ โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่กลางค่ายเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นที่เคารพบูชาของทหาร พระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดให้คนจีนจากระยอง ชลบุรี ราชบุรีและกาญจนบุรีรวบรวมผู้คนมาตั้งเป็นกองทหารรักษาค่าย ค่ายนี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนี่งว่า ค่ายจีนบางกุ้ง พระองค์ทรงให้ชื่อทหารเหล่านี้ว่า ทหารภักดีอาสา ในปีพ.ศ.2311 พระเจ้ากรุงอังวะทรงยกทัพผ่านกาญจนบุรี มาล้อมค่ายจีนบางกุ้ง พระเจ้าตากสินมหาราชและพระมหามนตรี(บุญมา) ร่วมรบขับไล่กองทัพพม่าทำให้ข้าศึกแตกพ่าย นับเป็นค่ายทหารไทยที่สร้างความเกรงขามให้กองทัพพม่า สร้างขวัญกำลังใจให้คนไทยกลับคืนมา และเป็นสงครามครั้งแรกที่ไทยทำกับพม่าหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี ค่ายบางกุ้งแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกร้างเกือบ 200 ปี จนมาถึงปี พ.ศ. 2510 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ตั้งเป็นค่ายลูกเสือขึ้น เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระเจ้าตากสินมหาราช และได้สร้างศาลพระเจ้าตากสินไว้เป็นอนุสรณ์ โดยทำพิธียกศาลเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2511 ภายในบริเวณค่ายยังมีโบสถ์ที่สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ชาวบ้านเรียกว่า โบสถ์หลวงพ่อดำ มีลักษณะพิเศษคือ โบสถ์ทั้งหลังปกคลุมด้วยด้วยต้นไม้ถึงสี่ชนิด คือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร ต้นกร่าง ชาวบ้านเรียกว่าโบสถ์ปรกโพธิ์และไม่ไกลนักเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
 รูปปั้นการฝึกทหารที่ค่ายบางกุ้ง
 รูปปั้นการฝึกทหารที่ค่ายบางกุ้ง
วัดบางกุ้ง อยู่ในเขตพื้นที่เดียวกับค่ายบางกุ้งแต่อยู่คนละฝั่งกัน มีถนนตัดผ่านกลาง ภายในวัด มีโบสถ์เก่าประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปั้นขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อโบสถ์น้อยและมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ เป็นภาพพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมและภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในซุ้มขนาบข้างด้วยอัครสาวกนั่งพนมมือ สอบถามรายละเอียดวัดบางกุ้งโทร. 0 3476 1631
การเดินทาง ใช้เส้นทางสายสมุทรสงคราม-บางนกแขวก (เส้นทางเดียวกับอุทยาน ร.2) ก่อนถึงอาสนวิหารแม่พระบังเกิด เลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานสมเด็จพระอัมรินทร์ แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ตรงไปประมาณ 6 กิโลเมตร
 ต้นไม้คลุมโบถส์ (โบสถ์ปรกโพธิ์)
 พระประธาน
 อีกด้านของโบถส์ (โบสถ์ปรกโพธิ์)
 หน้าค่าย
 ปืนใหญ่ที่กำแพงวัดติดริมน้ำแม่กลอง
ถ่ายภาพที่วัดบางกุ้งท่ามกลางสายฝนพรำ ต้องมีคนช่วยกางร่มให้ด้วย ภาพก็อยากได้ แต่ก็กลัวกล้องโดนน้ำฝน ร่มก็ไม่ได้เตรียมกันมา ก็อย่างว่าแหละครับ ใครจะคิดว่าฝนจะมาตกเอาในหน้านี้...
 พระทรงเครื่องริมประตูเข้าโบถส์วัดบางแคใหญ่
วัดบางแคใหญ่
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง บริเวณปากคลองบางแค ตำบลแควอ้อม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2357 ภายในวัดมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่น่าสนใจ ได้แก่ พระอุโบสถหลังใหญ่อายุกว่า 150 ปี ด้านหน้ามีเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมสิบสองศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา พระประธานในอุโบสถปางมารวิชัยปั้นด้วยศิลาแลง มีธรรมเจดีย์ 7 องค์สร้างเมื่อ พ.ศ. 2415 มีกำแพงแก้วล้อมรอบ และบนฝาประจัน (ฝากั้นห้อง) กุฏิสงฆ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกาว เขียนในปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นเรื่องราวการทำสงครามไทย-พม่า ซึ่งน่าจะเป็นครั้งที่ ร.2 โปรดให้ไปขัดตาทัพที่ราชบุรีเมื่อปี พ.ศ. 2364 ซึ่งไม่ได้เปิดให้ชมทั่วไปต้องขออนุญาต
การเดินทาง ไปตามทางหลวงหมายเลข 325 (ถนนสมุทรสงคราม-บางแพ) เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานพระศรีสุริเยนทร์ เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 3062 ประมาณ 2 กิโลเมตร ผ่านวัดภุมรินทร์กุฎีทอง จะเห็นวัดบางแคใหญ่
 ใบเสมาคู่ ทำจากศิลาแลง
ที่วัดบางแคใหญ่มีไกด์เป็นผู้ชายอายุประมาณ 25 - 30 ปี พาเราเทียวในบริเวณวัด หลังจากผ่านเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมสิบสองแล้ว ก็ไปทำบุญไหว้พระก่อนที่จะเข้าไปไหว้พระในโบถส์อีกครั้ง ผ่านใบเสมาทำจากศิลาแลง สองใบซ้อน ไกด์บอกเราว่าวัดนี้เป็นวัดหลวงตกสำรวจ ที่ว่าวัดหลวงเพราะมีใบเสมาคู่แบบที่เห็น ภายในโบถส์จะมีหลวงพี่คอยนั่งให้พรเรา เมื่อเราร่วมทำบุญกับทางวัด
 ภาพวาดบนผนังไม้ สมัย ร.2
ภาพวาดฝาผนังนี้ได้รับการอนุรักษ์โดยกรมศิลปากรแล้ว ห้ามถ่ายภาพโดยใช้แฟลชโดยเด็ดขาด ภาพที่วาดจะสื่อให้เห็นความเป็นอยู่ของผู้คนตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์ลงมาถึงลุ่มน้ำแม่กลอง...
 ภาพวาดบนผนังไม้ สมัย ร.3
ที่หอไตรนี้จะมีภาพวาดฝาผนังเช่นกัน แต่วาดไว้ในสมัย ร.3 ตอนที่ไปเห็น ภาพค่อนข้างโทรม เห็นไกด์บอกว่ารอการบูรณะจากกรมศิลปากรอยู่เช่นกัน
 ภาพวาดบนผนังไม้ สมัย ร.3
ก่อนออกจากวัด ทางไกด์พาเราไปดุต้นตะเคียนยักษ์ต้นหนึ่ง ส่วนชื่อจำไม่ได้เสียแล้ว ไกด์บอกเราอีกว่าส่วนมากคนที่มาจากทางไกลมักจะได้โชคจากเจ้าแม่ด้วย
เราออกจากกวัดบางแคใหญ่ท่ามกลางสายฝน เพื่อไปต่อที่อุทยานฯ ร.2
(ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : Maeklongtoday.com และ Maeklongcenter.com)
________จบตอนที่ 2 ________

Create Date : 28 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 9 ตุลาคม 2554 7:56:56 น. |
|
11 comments
|
Counter : 6974 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: บี่บี๋ IP: 124.121.32.236 วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:22:31:22 น. |
|
|
|
โดย: wicsir วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:22:45:26 น. |
|
|
|
โดย: บี่บี๋ IP: 124.121.32.236 วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:22:52:47 น. |
|
|
|
โดย: wicsir วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:23:07:21 น. |
|
|
|
โดย: บี่บี๋ IP: 124.121.32.236 วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:23:17:06 น. |
|
|
|
โดย: wicsir วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:23:41:09 น. |
|
|
|
โดย: บี่บี๋ IP: 124.121.32.236 วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:23:43:29 น. |
|
|
|
โดย: Pleja IP: 222.123.54.56 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:04:18 น. |
|
|
|
โดย: wicsir วันที่: 15 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:30:53 น. |
|
|
|
โดย: สมใจ IP: 203.144.187.19 วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:14:14:09 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]

|
...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......
อยากจะบอกว่า
@ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว
@ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ.
@ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก...
ด้วยจริงใจ นาย wicsir.
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|