Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
30 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ร้อยรวงใจ ๔๐ (ธัญรัตน์)




ข้าวสวยที่ยังอุ่น ๆ ที่อยู่ในถุงถูกเธอหยิบไปใส่ที่บาตรของหลวงตาและพระรูปอื่น ๆ ด้วย เพราะเธอกลัวพระท่านจะท้องอืด หลังจากที่เธอเห็นหลวงตาฉันข้าวจี่ที่ชาวบ้านพากันเอาไปทำบุญให้เดือนที่แล้ว ปลาแห้งที่ได้มาจากปลาค่อนครั้งที่เธอถูกปลาแขยงกัดมือ ถูกแต๋นคั่วและใส่ถุงมาให้เธอตักบาตร เพราะเมื่อวานมัวแต่ไปนั่งอบผมที่ร้านป้าไพเพลินไปหน่อย จนเลยเวลาไปตลาดทำให้ไม่มีอาหารจะมาใส่บาตรให้หลวงตาจนต้องพึ่งปลาแห้งแทน

“แหมคุณ เขาก็เอาไปแปรรูปของเขาบ้างสิ เมนูมีเป็นร้อย ๆ แล้วคุณจะได้เห็นว่าภูมิปัญญาชาวบ้านชาวอีสานหน่ะล้ำเลิศเป็นไหน ๆ” เธอคิดถึงคำพูดของเขาที่ค่อนขอดเธอเมื่อวันนั้น มันทำให้เธอพลอยได้คิด ว่าอาหารแปรรูปที่เธอเมินมันวันนั้น มาวันนี้มันกลับได้มาช่วยให้มีอาหารไว้ถวายหลวงตาได้ด้วย

หลังจากตักบาตรพระผ่านไป เสียงพูดคุยของคนในบ้านของเธอ และเพื่อนบ้านต่างก็บ่งบอกว่ากำลังมีความสุข แทบจะทุกครัวเรือนต่างพากันลงมือตระเตรียมอาหารการกินไว้สำหรับต้อนรับแขกที่จะมาเที่ยวบ้านตัวเอง เพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันทำบุญเดือนสี่ หรือบุญเผวส ซึ่งเธอก็ไม่เคยเห็นว่าเป็นยังไง แต่ก็เดาได้ว่าคงจะสนุก เพราะแค่วันเตรียมงานก็สนุกขนาดนี้แล้ว

“คุณข้าวจะไปช่วยทำขนมจีนหรือเปล่าคะ”
แต๋นที่ลงมาจากบันไดถาม ก่อนที่จะวิ่งตรงไปให้ป้าหวางที่วุ่นอยู่กับเจ้าครกมองอีกครั้ง แรก ๆ ที่เธอเห็นป้าหวางเอาข้าวสารเจ้าถุงใหญ่ไปหมักไว้อาทิตย์กว่า แล้วก็เทียวเอาน้ำไปรดจนข้าวมันเริ่มบูดเน่า และส่งกลิ่นเหม็น ๆ โชยมาใส่จมูกเธอแทบทุกวันทำให้เธอไม่อยากจะเชื่อป้าหวางนัก ว่าจะทำออกมาเป็นขนมจีนได้มั้ย

แต่เมื่อสองวันก่อนนี้ เจ้าข้าวบูด ๆ นั้นก็ถูกป้าหวางและแต๋นเอาไปตำกับครกมองจนข้าวแหลกกลายเป็นแป้ง ป้าหวางก็เอาน้ำมาละเลงแล้วก็เทใส่ถุงผ้าดิบที่หนา ๆ ปิดปากถุงให้แน่น ๆ แล้วเอาก้อนหิน เอาเขียงหรือเอาท่อนไม้ไปทับถุงผ้าดิบเอาไว้ จนวันนี้มันกลายเป็นก้อนแป้งก้อนเบ่อเร่อ และไม่มีกลิ่นเหม็นอีกแล้ว ทำให้เธอเริ่มจะเชื่อมาครึ่งหนึ่งแล้วว่าจะออกมาเป็นขนมจีนได้

ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่ยังไม่เชื่อก็เพราะตอนนี้ป้าหวางกำลังเอาก้อนแป้งนั้น ปั้นเป็นก้อนใหญ่ ๆ แล้วเอาใบมะพร้าวมาสานสอดกันไปมาคล้าย ๆ รูปดาว ปล่อยใบและก้านยาว ๆ เอาไว้อย่างนั้แล้วก็ปั้นแป้งเป็นก้อน ๆ ขนาดประมาณลูกแตงโม เอาไปวางไว้บนใบมะพร้าวที่สาน แล้วก็รวบเอาปลายและก้านของใบมะพร้าวขึ้นทุกด้านห่อก้อนแป้งเอาไว้ แล้วไปมัดจุกด้านบนเหนือก้อนแป้ง เสร็จแล้วก็เอาไปหย่อนลงกะละมังอลูมิเนียมที่ตั้งไฟอยู่ถึงสองกะละมัง

พอป้าหวางเห็นว่าส่วนนอกของก้อนแป้งสุกแล้วแกก็ยกออกจากกะละมัง นำไปตำกับครกมองอีกที ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะออกมายังไง เธอเดินไปดูใกล้ ๆ กับลุงคำที่อุ้มหลานสาวเอาไว้ ซึ่งแกได้กลายสภาพมาเป็นพ่อลูกอ่อนมาสองเดือนกว่า ๆ แล้ว เพราะนางให้ลูกหย่านมและตามจ่อยไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้ว

“ทำไปถึงไหนกันแล้วแม่หวาง”
แม่ป้าของเธอที่ลงจากรถโดยมีเขมินท์ขับมาให้ร้องถามตั้งแต่ตัวยังไม่ถึงครกมองด้วยซ้ำ วันนี้แม่ป้าของเธอยกหน้าที่ทำขนมจีนทั้งหมดให้หลานสาวรับผิดชอบและต้องทำเผื่อเลี้ยงแขกบ้านคุณลุงด้วย เพราะไม่มีใครทำ ส่วนเธอก็จะอาศัยเอาปลานิลจากบ่อมาทำน้ำขนมจีน และอาหารอื่น ๆ ไว้ต้อนรับแขก

“แขกที่ไหนจะมากินที่บ้านฉันล่ะ ก็ไม่รู้จักใครซักคน” เธอเคยพูดกับแต๋น
“ใครว่าล่ะ คนเขารอมาเป็นแขกบ้านคุณออกจะเต็ม คุณไม่รู้อะไรลุง ป้า น้า อา ของคุณที่เป็นญาติฝ่ายน้านาดีหน่ะ พอรู้ว่าคุณมาอยู่ที่นี่ ทุก ๆ คนต่างก็อยากจะมาเยี่ยมเยือนถามข่าวถามคราวคุณกันทั้งนั้นล่ะ แต่ก็คงจะต่างคนต่างก็ยุ่ง ๆ กัน เลยไม่ทันได้มีใครมา และผมคิดว่าพวกเขาคงจะถือโอกาสนี้มาหาหลานของพวกเขาแน่ ๆ และถ้ามาแล้วหลานของพวกเขาไม่มีอะไรไว้รอต้อนรับ ขับสู้ คุณก็จะไม่ได้เห็นหน้าพวกเขาอีกเลย

เพราะเขาถือว่าไม่เต็มใจต้อนรับ มาหาแล้ว เข่าปุ้นจั๊กเส๋น ซี้นจั๊กตอนกะบ่ได้กิ๋น จะว่าพวกเขาเห็นแกกินก็ว่าได้ แต่ถ้าจะมองอีกแง่หนึ่งก็คือ เขาจะวัดเอาความนับถือหรือน้ำใจคุณที่มีให้พวกเขากับอาหารที่จัดหามาไว้รับรองก็ได้ อาหารน้อยก็แปลว่าน้ำใจหรือความนับถือมีน้อยไง” เขาเคยบอกเธอเอาไว้

“อ้าวเหรอ แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะข้าวปุ้นจั๊กเส๋น กันซี้นจั๊กตอนหน่ะ”
เธอถามเขาอย่างงง ๆ เพราะเขาพูดภาษาอีสานใส่เธอ
“เข่าปุ้นจั๊กเส๋น ก็ขนมจีนสักเส้น ส่วนสิ้นจั๊กตอนก็คือเนื้อสักชิ้นไง”

“ยายข้าวไปตัดใบตองมาไว้ให้แม่ป้าสักสิบก้าน หรือสิบห้าก็ได้นะ พ่อน้ำไปช่วยน้องหน่อยไป”
มณฑาบอกก่อนจะไปช่วยหวางตำครกมองที่มีแต๋นและไข่ช่วยอยู่ก่อนแล้ว
“ค่ะ” เธอรับคำแล้วก็ตรงไปยังสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยต้นกล้วย
“นี่คุณเอาก้านนี้ ก้านนี้ ก้านนั้น แล้วก็ก้านโน๊นด้วยสิ” เธอชี้ตามอำเภอใจ
“จะตัดยังไงคุณ มีดก็ไม่ถือมา ถอยไปเดี๋ยวยางกล้วยตกใส่หัวอีกจะหาว่าผมแกล้งไม่ได้นะ”
เขาแหย่และใช้มีดด้ามยาว ๆ ที่ถือติดมือมาด้วยตัดก้านกล้วยลงมา

“เมื่อวานทำไมคุณไม่ไปดูเขาผ่าปลากันล่ะ สนุกจะตาย ลุงคำได้ปลาตัวเบ่อเร่อเลย” เขาถาม
“ใครจะไปไหว เล่นตื่นตั้งแต่ตีห้า หนาว ๆ อย่างนี้นอนอยู่บ้านดีกว่า เพราะยังไง ๆ ก็ได้กินปลาที่ลุงคำจับมาได้อยู่ดี” เธอบอกขณะที่เดินไปเก็บก้านกล้วยเอาไปกอง ๆ ไว้ เพราะเมื่อวานนี้คุณลุงปล่อยให้ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านพากันไป
“ผ่าปลา”
ที่คลองน้ำของหมู่บ้าน ซึ่งสงวนเอาไว้ไม่ให้เข้าไปจับปลาในเขตนั้นนานแล้ว เพราะจะเก็บเอาไว้กินเวลามีงานบุญใหญ่ ๆ

“แล้วไอ้ผ่าปลานี่มันเป็นยังไง ทำไมถึงเรียกว่าผ่าปลา” เธออดสงสัยไม่ได้
“ผมก็ไม่แน่ใจนะ แต่เดาเอาว่า การผ่าปลา ก็น่าจะหมายถึง การหาปลา หรือการล่าปลานั่นล่ะ ชาวบ้านจะพากันรีบวิ่งแบกอุปกรณ์หาปลาไปที่คลอง หรือเขตที่จัดให้มีการผ่าปลานั้น แล้วก็จะไปยืนจับจ้องว่าตรงไหนน่าจะมีปลา พอได้ยินเสียงกลองจากที่หมู่บ้านเพื่อให้สัญญาณว่าลงไปจับปลาในคลองได้ ชาววบ้านก็จะรีบแย่งกันจับปลาไง” เขมินท์เล่าให้เธอฟัง

“แล้วปลาที่จับได้จะเอาไปที่ไหนบ้างหรือเปล่าทำไมลุงคำเอากลับมาบ้านได้” เธอสงสัย
“ไม่เอาไปไหนหรอกใครจับได้ก็เป็นของคนนั้นไป แล้วพวกชาวบ้านก็จะเอาไว้ทำอาหารเลี้ยงแขกของตัวเองต่อไป ที่ต้องจัดให้มีการผ่าปลาก็เพราะว่าจะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้บ้าง เพราะงานบุญแต่ละทีก็ใช้เงินไม่น้อยสำหรับจัดหาอาหารไว้รับรองญาติ ๆ หรือแขก”

“ถ้าเปลืองเงินแล้วจะจัดให้มีทำไมบ่อย ๆ”
“อ้าวคุณ ก็ของเขาทำกันมาเป็นประเพณีแล้วนี่ และอีกอย่างหนึ่งคนสมัยก่อนก็คงจะไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเต้นรำ หรือสังสรรค์เหมือนคนกรุงเทพฯ มั้ง ก็เลยต้องหาวิธีสนุกสนานด้วยการมีงานบุญบ่อย ๆ แบบนี้ มันก็คงจะคล้าย ๆ เป็นการพบปะสังสรรค์กันของสังคมคนเมืองล่ะมั้ง” เขาอธิบายขณะที่หอบเอาใบตองเดินตรงไปกองไว้ที่เตียงไม้ไผ่

“โอ้โห ป้าหวางตกลงนี่มันจะเป็นขนมจีนให้ข้าวกินได้จริง ๆ เหรอคะ”
ภรัณยาแหย่ป้าหวางขณะที่แกกำลังนั่งนวดแป้งขนมจีนอยู่กับโบมไม้ ที่ลักษณะเป็นถาดแบน ๆ ทำจากไม้หนา ๆ ซึ่งเธอเห็นแกเอาไว้ส่วยข้าวเหนียวที่นึ่งเสร็จใหม่ ๆ ส่วนแต๋นก็นวดอยู่อีกโบมหนึ่งเหมือนกัน โดยมีแม่ป้าคอยตักเอาน้ำร้อนจากกะละมังอลูมิเนียมที่ตั้งไฟอยู่ มาหยอดลงในโบมของป้าหวางบ้าง และของแต๋นเป็นระยะ ๆ

ส่วนที่ครกมองก็จะมีชาวบ้านที่เธอรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง มาใช้บริการครกมอง ตำแป้งเพื่อไปทำขนมจีนเหมือนกัน และก็มีอยู่หลายคนไม่น้อย ที่ยืนรอคิวอยู่ เพราะเจ้าครกมองนี่ บางบ้านก็จะไม่ได้มีเอาไว้ เมื่อไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์มันบ่อยนัก เพราะข้าวเปลือกที่จากอดีตชาวบ้านจะพากันใช้ครกมองตำจนเป็นข้าวสาร แต่ตอนนี้ก็จะใช้วิธีสีที่โรงสีแทน ครกมองจึงไม่จำเป็นเท่าไหร่ จะมีก็แค่บางบ้านที่อนุรักษ์เอาไว้แค่นั้น

“แม่ป้าทำเป็นหรือเปล่าคะขนมจีนแบบนี้”
เธอนั่งลงไปใกล้ ๆ ป้าหวางและก็ใช้มือไปป้ายเอาแป้งเหลว ๆ ขึ้นมาดู
“ไม่เป็นหรอก แต่แม่ป้าเคยเห็นแม่เราทำตอนที่มาเที่ยวหาเราหน่ะ ตอนนั้นเราหน่ะตัวแค่นี้เอง และก็วิ่งป่วนอยู่แถว ๆ นี้ล่ะ แถมยังขี้อ้อน ด้วยนะ รู้ว่าแม่ป้ารัก เราก็จะคอยอ้อนขอโน่นเอานี้ตลอดเลย” มณฑาบอกยิ้ม ๆ
“ขี้อ้อนไม่เท่าไหร่ ขี้แย ขี้ดื้อ ขี้โวยวาย ขี้โมโห แล้วก็สารพัดขี้เลยมารวมอยู่ในตัวคุณเนี๊ยะ”
เขาอดสมทบไม่ได้ เพราะมองเห็นภาพเด็กน้อยผมเปียที่วิ่งป่วนอยู่แถว ๆ นี้เมื่อนานมาแล้ว

“นี่คุณ บ้า ๆ ๆ มาว่าฉันเป็นขี้ นี่แหน่ะ ๆ ฮ่า ๆ ๆ” เธอว่าแล้วก็เอาแป้งเหลว ๆ ป้ายไปที่หน้าและที่ตัวเขา
“โอ๊ย คุณนี่ผมเพิ่งจะอาบน้ำมานะดูซิเปื้อนหมดเลย” เขาโวยวาย
“ดีสมน้ำหน้า แหวะ” เธอล้อเลียนเขาด้วยการแลบลิ้นใส่
“ยายข้าว นี่ไปทำพี่เขาทำไม แล้วแม่ป้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้หยุดเรียกพี่เขาว่าคุณ ให้เรียกพี่แทน” มณฑาดุ
“เชอะ มีพี่แบบนี้นะ ฝันไปเหอะ”
“พ่อน้ำไปล้างหน้าล้างตัวข้างบนไป ยายข้าวไปหาผ้าให้พี่เขาเช็ดหน้าด้วย ไปเลยเรานี่โตจนป่านนี้แล้ว ยังเล่นไม่รู้เรื่องอีก” มณฑาดุเอาอีก จนสาวเจ้าหน้างอเป็นจวัก และก็เดินตามหลังเขาไปบนบ้านแต่โดยดี

“จะยี่สิบสี่แล้วยังทำตัวเป็นเด็ก ๆ อยู่เลย เมื่อไหร่จะมีคนมาขอไปจากอกฉันก็ไม่รู้นะแม่หวาง ฉันคงจะโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยล่ะ” มณฑาบ่นตามหลังเธอไป
“กะพูทีก๋วนเลาดู๋ ๆ ฮั่นล่ะแมป้า เลากะยูซือ ๆ น้าน้ำกะไป่ก๋วนเลาดี๊ดีตัวล่ะ น้าน้ำเลาบ่คอยก๋วนพูได๋ลิ มีตะก๋วนคุณเข่านี่ล่ะ บ่แมนโบฮานเพินแตงมาไว่ไห่บ้อแมป้า” ป้าหวางบอกทำจนมณฑาเริ่มจะเห็นอะไร ๆ ขึ้นมาได้บ้างแล้ว
(ก็คนที่กวนแกบ่อย ๆ นั่นล่ะแม่ป้า แกก็อยู่ของแกดี ๆ น้าน้ำก็ชอบไปกวนแกดี๊ดีนะ ปกติน้าน้ำแกไม่ค่อยจะไปกวนใครหรอก มีแต่กวนคุณข้าวนี่ล่ะ สงสัยจะเป็นเพราะบุพเพซะหลั้งแม่ป้า)

“ได้แล้วมั้งคะคุณแม่ป้า” แต๋นบอกเมื่อเห็นว่าแป้งที่นวดได้ที่แล้ว
“อือ น่าจะได้แล้วนะ งั้นก็ลงมือได้เลย”
มณฑาเห็นด้วย แล้วป้าหวางก็ตักเอาแป้งขนมจีนที่เหลว ๆ อยู่ ลงไปใส่ในเฝือน ที่เป็นภาชนะทรงกระบอก กว้างและสูงประมาณคืบ โดยที่เฝือนอันหนึ่งจะใบใหญ่หน่อย และที่ก้นเฝือนนั้นเจาะรูเล็ก ๆ เต็มไปหมด พร้อมด้านข้าง ๆ นั้นมีหูทั้งสองข้าง ส่วนเฝือนตัวเล็กหน่อยนั้นที่ก้นจะทึบ

ป้าหวางเอาเฝือนอันเล็กไปวางไว้บนเฝือนใหญ่ที่มีแป้งเหลวเต็มอยู่ แล้วก็ยกหูเฝือนเดินตรงไปหากะละมังอลูมิเนียมที่มีน้ำเดือดปุด ๆ อยู่ จากนั้นก็ใช้หัวแม่โป้งทั้งสองข้างกดเฝือนเล็ก ๆ ให้ดันเข้าไปในเฝือนใหญ่ ให้แป้งเหลว ๆ ไหลลงไปตามรูเล็ก ๆ ที่อยู่ก้นเฝือนใหญ่ แป้งก็จะไหลเป็นเส้น ๆ ลงไปหากะละมัง พร้อมทั้งมือนั้นก็วนไปรอบกะละมัง เพื่อไม่ให้เส้นติดกัน

ไม่นานแต๋นก็เอาสวิงช้อนปลาที่ล้างสะอาดแล้ว ลงไปช้อนเอาเส้นขนมจีนที่ถูกบีบลงไปในน้ำร้อน ๆ ขึ้นจากกะละมัง แล้วก็เอาลงไปล้างในน้ำเย็น ที่ใส่กะละมังไว้ไม่น้อยกว่าสี่กะละมัง แต๋นล้างเส้นขนมจีนจากกะละมังหนึ่ง ไปต่ออีกกะละมัง จนถึงกะละมังที่สี่ จึงทิ้งเส้นขนมจีนเอาไว้ในน้ำแบบนั้น สักพักก็จัดการเอามือไปล้วงเอาเส้นขนมจีนขึ้นมา แล้วก็ทำเป็นจับ ๆ ไปวางเรียงไว้ในตะกล้าที่เขมินท์เอาใบตองไปรองรอไว้ให้แล้ว

“โอ้โห คุณแต๋นเป็นขนมจีนแล้วเหรอ ไหนขอฉันทำด้วยคน”
ภรัณยาที่วิ่งลงมาจากบ้านร้องด้วยความตื่นตา ที่ในที่สุดป้าหวางก็ทำขนมจีนได้สำเร็จจนได้
“คุณข้าวมานั่งตรงนี้ค่ะ จับแบบนี้นะคะ” แต๋นเอาตั่งเล็ก ๆ ส่งให้ แล้วเธอก็ทำตามแต๋น
“นี่ยายข้าวเขาให้ทำเป็นจับ ๆ นะ ไม่ใช่เป็นกำ ๆ แขกที่ไหนจะมากินของเรา”
มณฑาร้องเมื่อเดินมาดูฝีมือหลานตัวเอง หลังจากที่ช้อนขนมจีนมาให้ที่กะละมังแทนแต๋น
“แหม แม่ป้าก็ เดี๋ยวข้าวกินเองก็ได้” เธอว่า
“มาให้ผมช่วยครับคุณน้า” เขมินท์ช่วยช้อนขนมจีนให้ เพราะมันทั้งหนักและร้อน ส่วนไข่นั้นช่วยป้าหวางบีบขนมจีน เพราะเวลาบีบไปหลาย ๆ เฝือนก็จะเมื่อยมือ

“เฮ้อ ได้ตั้งเจ็ดตะกร้า แล้วใครจะไปกินหมด ถ้าไปซื้อเขาก็ไม่ต้องมาเหนื่อยนั่งทำแบบนี้”
เธอว่าหลังจากที่ขนมจีนถูกลำเลียงมาไว้บนบ้านแล้ว
“เฮ็ดเอ่าเองหั่นหละดีมันบ่เปื่อง ผสาบ้านพอกำนันกะตั้งห่ากะตาแล่วคุณเข่า เลามีคนมาเฮือนหลาย” ป้าหวางบอก
(ทำเองนั่นล่ะค่ะดีมันไม่เปลือง ลำพังบ้านพ่อกำนันก็ใช้ตั้งห้าตะกร้าแล้ว เพราะแกมีแขกเยอะ)
“เหนื่อยแล้วค่ะ ขอหลับได้มั้ย” ว่าแล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนขดอยู่ตรงนั้นด้วยความเหนื่อย ไม่นานก็หลับปุ๋ยไปดื้อ ๆ
“ยายข้าว ๆ หลับแล้วเหรอลูก เฮ้อ หลานสาวฉันนิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นพูดจริง ๆ เลย”
มณฑาเดินขึ้นมาบนบ้าน เขย่าร่างหลานสาวยังไง ๆ ก็ไม่ยอมตื่น
“งั้นเราเอาขนมจีนกลับบ้านเลยดีกว่าครับคุณน้า อีกหน่อยก็คงจะตื่นมาเองล่ะครับ หรือถ้าไม่ตื่นก็เตรียมมาแบกเข้าไปไว้ที่เตียงได้เลย” เขมินท์บอกเพราะรู้จักเธอดี จนทำให้มณฑาอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงรู้

“หรือว่า...โธ่เอ้ย หลานสาวฉัน นี่ไปหลับให้เขาแบกไปไว้บนเตียงแล้วใช่มั้ยเนี๊ยะ”

ตลอดระยะทางจากวัดมาถึงบ้าน ภรัณยาเห็นชาวบ้านต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยทักทายกันด้วยใบหน้าที่ชื่นมื่น บางบ้านเธอก็เห็นญาติ ๆ ที่มาจากหมู่บ้านไกล ๆ นั่งรถมาเยี่ยมญาติตัวเอง หรือมาเที่ยวงานบุญแล้ว เสียงกลองยาวดังขึ้นตั้งแต่เธอเดินออกจากวัด แต่เธอก็ไม่รู้ว่าดังมาจากคุ้มไหนของบ้าน แต่มันช่างสร้างความครื้นเครงให้กับผู้คนไม่น้อยเลย

ขนมต่าง ๆ ที่วางเรียงรายไว้บนโต๊ะ แค่ดูถ้วยชามที่ใส่มาให้นั้น เธอก็พอจะเดาได้ว่ามาจากเพื่อนบ้านคนไหนบ้าง และเธอก็เห็นขนมปุยฝ้ายของเธอที่นั่งทำเมื่อวานหลังจากตื่นนอนมามันพร่องไปเกือบครึ่ง แปลว่าป้าหวางเอาไปแจกเพื่อนบ้านนั่นเอง ลุงคำเดินขึ้นมาบนบ้านพร้อมกับสะพายตะกร้าสานมาด้วยโดยมีใบตองปิดมา พอแกเปิดออก เธอก็พบว่ามีเนื้อวัวเต็มตะกร้า

“เอ่ามาไว้เฮ็ดลาบไห่คนกิ๋นตัวคุณเข่า ซุมพูซายบ่มักกิ๋นดอกเข่าปุ้นดอก” แกว่า
(เอาไว้ทำลาบให้คนกินครับคุณข้าว พวกผู้ชายไม่ค่อยจะชอบกินหรอกขนมจีนหน่ะ)
“โอ้ แล้วสิลาบเข้าไปหมดบ่ลุงคำ” เธอเว้าอีสานที่ไม่แข็งแรงใส่ จนลุงคำหัวเราะออกมา
“คุณข้าวคะคุณแม่ป้าบอกว่าให้แต่งตัวสวย ๆ นะคะ แขกไปใครมาจะได้ไม่น้อยหน้า อีกหน่อยคุณแม่ป้าจะมาหา อ้อ ลืมไปคุณแม่ป้าบอกว่าให้ใส่ผ้าซิ่นด้วยนะคะ” แต๋นบอกอีก
“จะเอาสวยขนาดไหนน๊าแม่ป้านี่ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดให้”
เธอจึงไม่รอช้ารีบ ไปทำตามและกลับออกมาในชุดผ้าซิ่นผ้าไหมใส่ทับชายเสื้อยืดพอดีตัวของ Pena House สีขาว มีเข็มขัดเงินคาดเอวเอาไว้อย่างสวยงาม

“เป็นยังไงคะแม่ป้า ชุดนี้สวยถูกใจหรือยังคะ” เธอถามเมื่อแม่ป้าเดินขึ้นมาบนบ้านแล้ว
“อืม ใช้ได้นี่เห็นมั้ยแม่ป้าก็ใส่ผ้าซิ่นเหมือนกัน”
แล้วมณฑาก็หมุนตัวให้หลานรักดู เพราะไป ๆ มา ๆ สองป้าหลานก็แต่งตัวแทบจะแบบเดียวกันเลยในวันนี้

ในเวลาไม่นานนักบ้านของเธอก็มีญาติ ๆ ทางแม่มาเยี่ยมเยือนอย่างที่เขมินท์บอกเอาไว้จริง ๆ แม่ป้ารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ป้าหวางรู้จักแทบทุกคน เพราะเมื่อก่อนต่างก็อยู่ที่หมู่บ้านนี้ แต่พอแต่งงานแล้ว ก็แยกย้ายไปอยู่ที่อื่นแทน จะได้พบกันอีกทีก็เวลามีใครเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ถึงจะมาหากันสักครั้ง

อาหารต่าง ๆ ที่เตรียมเอาไว้ถูกยกมาต้อนรับแขกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ภรัณยาเองก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขณะที่นั่งคุยกับญาติ ๆ ถึงจะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม ส่วนแม่ป้าก็ไม่แพ้หลานหรอก ญาติ ๆ ของเธอต่างก็ไปหาด้ายมาผูกข้อไม้ข้อมือให้เธอ แล้วก็เรียกขวัญให้มาอยู่กับเนื้อกับตัว พร้อมกับพรต่าง ๆ ก็ไหลมาเทมา

หมดจากญาติกลุ่มนี้ ก็จะมีอีกกลุ่มทยอยกันมาเรื่อย ๆ แล้วเธอก็ต้องต้อนรับเรื่อย ๆ เหมือน ๆ กัน เสียงกลองยาวก็ดังแทบตลอดเวลาก็ว่าได้ ป้าหวางบอกว่าเขากำลังแห่กัณฑ์หลอนไปเข้าวัด และขบวนแห่กัณฑ์หลอนนี้ มาจากคนหมู่บ้านอื่น แล้วก็จะแห่ไปรอบ ๆ หมู่บ้าน โดยมีขบวนกลองยาวบรรเลงนำ มีคนที่ร่วมขบวนต่างก็ฟ้อนรำไปตามจังหวะกลอง แล้วก็แห่ไปเรื่อย ๆ ตามถนนหนทางของหมู่บ้าน

คนรำก็รำไป คนเดินร่วมขบวนเฉย ๆ ก็เดินไป ส่วนคนที่ถือขันเงิน และต้นกล้วยเล็ก ๆ ที่มีแบ็งค์ใบละพันไล่ลงมาจนถึงใบละยี่สิบบาทใช้ไม้หนีบแล้วก็เอาไปเสียตามต้นกล้วยนั้น พอขบวนเดินไปถึงบ้านใคร เจ้าบ้านหรือแขกที่มาเยือนถ้าใครใคร่จะทำบุญก็ไปเอาไม้มาแล้วก็หนีบแบ็งค์แล้วเสียบไปที่ต้นกล้วย

ส่วนใครที่มีงบน้อย จะทำบุญด้วยเหรียบก็จะหยอดลงไปในขันเงินตามแต่ศัทราของใครมัน เหมือนเช่นตอนนี้ที่ภรัณยาและแม่ป้าต่างก็พาควักแบ็งร้อยมาหนีบกับไม้และเสียบไปที่ต้นกล้วย ซึ่งทั้งสองทำครั้งนี้เป็นครั้งที่เจ็ดแล้ว และเธอก็เดาเอาไว้ว่าขบวนแห่กัณฑ์หลอนนี้คงจะมีมาเรื่อย ๆ เพราะเสียงกลองยังไม่เงียบลง

เขมินท์นำรถมาจอดไว้ที่ลานบ้านเธอ โดยมีดนัยและสมิตาเดินลงมาด้วย พร้อมกับขบวนแห่กัณฑ์หลอนของอีกหมู่บ้านก็แห่มาพอดี เสียงกลองของขบวนนี้ฟังดูจะร้อนแรงกว่าขบวนก่อน เพราะรัวกลองเร็วกว่า คนฟ้อนรำก็ดูจะสนุกกว่าด้วย และก็มีเหล้ามาด้วยเช่นกัน เพราะเธอเห็นคนถือขวดตามขบวนมาด้วย และก็ตรงเข้ามาในเขตบ้านเธออีกแล้ว เธอและแม่ป้าก็ทำเช่นเดิม

“ป๊าด ลูกสาวบ้านนี่มาคือพูจบพูงามแท่น้อ สู ๆ เบิงดู๊ล่ะ โอย อยากสิมาเป็นลูกเขยเด้น้อ”
เสียงหนุ่มที่รำอยู่ในขบวนพูดขึ้น แล้วก็เดินตรงรี่มาใกล้ ๆ เธอ
(โอ้โห ลูกสาวบ้านนี้ทำไมหน้าตาดีจังเลย แก ๆ ดูสิ โอย อยากจะมาเป็นเขยจริง ๆ เลย)
“พูสาว ซืออียั๋งน้อ มาคืองามคักแท่ ข่อยขอเป็นแฟนเจ้าได้บ่” หนุ่มคนนั้นพูด ด้วยอาการที่เหมือนคนเมานิด ๆ ภรัณยาไม่รู้จะทำยังไงได้แต่ยิ้มให้ ส่วนมณฑานั้นก็เห็นท่าไม่ดีจึงเดินมาใกล้ ๆ หลานรัก
(น้องสาว ชื่ออะไรเอ่ย ทำไมสวยจังเลย ผมขอเป็นแฟนคุณจะได้มั้ย)
“ขอกิ๋นน้ำจั๊กขันได้บ่น้อ” หนุ่มคนนั้นขอดื่มน้ำสักขันกับเธอ และก็เดินเข้ามาใกล้ ๆ ภรัณยาอีก จนเธอต้องรีบถอย

“เอ๋าน้ำอ้าย กัณฑ์หลอนบ้านได๋น้อมาคือมวนแท่นอ” เขมินท์เดินเข้ามาใกล้ ๆ จนแทบจะชิดเธอ พร้อมกับยื่นแก้วน้ำในมือให้หนุ่มคนนั้น และก็ทักทายตามมารยาทปกติ แต่สีหน้าและท่าทางของเขานั้นเรียบและขรึมกว่าทุก ๆ ครั้งที่ทุกคนเคยได้เห็นมา (นี่น้ำพี่ชาย กัณฑ์หลอนมาจากหมู่บ้านไหนนะ ดูท่าจะสนุกสนานจังเลย)
“โอย ขอโทษขออภัยหลาย ๆ เด้อน้าเด้อ มันเมาจั๊กนอย ยาถือยาซากันเด้อ มื่อนี่มื่อมวนมื่อซืนน้อน้าน้อ” ชายสูงวัยในขบวนที่มีท่าทางภูมิฐาน และน่านับถือ เดินเข้ามาหาเขา ขณะที่ชาวบ้านที่ร่วมขบวนมาต่างก็พากันมาดึงเอาหนุ่มคนนั้นออกไปจากเขตบ้านเธอแล้ว (ผมต้องขอโทษมาก ๆ เลยนะน้านะ มันเมาไปหน่อย อย่าถือโทษกันเลยนะ วันนี้เป็นวันเที่ยวสนุกสนานกันนะน้านะ)
“บ่เป๋นอียั๋งดอกคับ เขาวายาถือคนบ้ายาซาคนเมาน้อคับน้อ” เขาบอกและยิ้มให้ชายสูงวัย เพราะเดาได้ว่าเขาคงจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน บ้านไหนสักแห่งที่เขาไม่รู้จัก เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายแล้ว และขบวนแห่ก็เคลื่อนไปบ้านอื่น ๆ ต่อไป
(ไม่เป็นไรหรอกครับ เขาว่าอย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา)

“คุณพ่อให้ผมมาบอกคุณน้ากับคุณว่าให้เตรียมตัวได้แล้ว อีกหน่อยเราจะแห่เผวสแล้ว”
เขาหันมาบอกทั้งสองคน พร้อมใบหน้าก็เปลี่ยนจากขรึมเป็นยิ้มอีกครั้ง แต่ภรัณยานั้นยังไม่หายตกใจ เขาเองก็อยากจะปกป้องเธอ และปลอบใจเธอให้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ และที่สำคัญเขาอยากจะเดินเข้าไปตะบันหน้าเจ้าหนุ่มเมื่อสักครู่นี้ด้วยซ้ำ แต่ก็ได้แค่อยากจะเท่านั้น

แต่กับการกระทำเพียงแค่นี้ ก็สร้างความขัดเคืองใจให้กับสมิตาได้ไม่น้อยเลย เพราะท่าทางที่ห่วง จนออกจะเป็นหวงภรัณยาของเขา ประหนึ่งจะประกาศความเป็นเจ้าของ ๆ เธอเอาไว้ก็ไม่ปาน แต่สมิตาก็พยายามที่จะคิดไปในแง่มุมที่ว่า สุภาพบุรุษก็จะต้องปกป้องสุภาพสตรีเสมอ แต่ทำไมพี่ชายเธอไม่ยักกะเดินเข้าไปทำแบบนั้นนะ

แล้วขบวนแห่เผวสก็เคลื่อนมาถึงหน้าบ้านเธอ แล้วก็ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป ที่แท้เผวสที่ว่าไว้ก็คือหลวงตาของเธอนั่นเอง ชาวบ้านจะพากันแบกแคร่ขึ้นทั้งสี่มุม แล้วหลวงตาก็นั่งอยู่บนแคร่ พร้อมกับรดน้ำมนต์ไปใส่ชาวบ้านที่ร่วมขบวนแห่นั้นไปตลอดทาง เสียงกลองยาวก็ดังเป็นจังหวะ ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือพี่ป้านาอาที่เธอพอจะคุ้นหน้าต่างก็ฟ้อนรำไปตามขบวนด้วยความสนุกสนาน

เขมินท์ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปช่วยแบกหลวงตาก็เปลี่ยนใจเอาดื้อ ๆ เพราะห่วงว่าจะมีใครมาทำแบบหนุ่มคนเมื่อกี้กับเธออีก เขาจึงเลือกมาเดินใกล้ ๆ เธอกับแม่ป้าและคนอื่น ๆ ที่บ้านแทน โดยมีดนัยและสมิตาอยู่ข้าง ๆ เขาด้วย และเธอก็สังเกตเห็นว่า เพลินพิศคอยจ้องมองเขาแทบจะตลอดเวลาที่เดินไป ขบวนแห่เผวสเคลื่อนไปยังท้องทุ่งนาที่ไม่ห่างจากเขตหมู่บ้านนัก แล้วหยุดลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ๆ ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี

ภรัณยานั่งลงกับพื้นทุ่งนานั้นพร้อมกับชาวบ้านคนอื่น ๆ แล้วหลวงตาก็เทศนาจนจบไปหนึ่งกัณฑ์ คุณลุงนั่งรวมอยู่กับผู้ใหญ่ของหมู่บ้านอีกฟากหนึ่ง แต่เธอก็เห็นคุณลุงชะเง้อมามองแม่ป้าอยู่เป็นระยะ ๆ ส่วนแม่ป้านั้นก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่เลย จนทำให้เธออดขำไม่ได้ คิด ๆ แล้วเธอก็เสียดายเวลาแทนทั้งสองคนนัก ที่น่าจะได้อยู่ด้วยกันมานานแล้ว แต่ตอนนี้ก็ไม่สายสักเท่าไหร่หรอก เพราะเธอเห็นคนทั้งคู่นั้นรักกันดีเหลือเกิน และที่สำคัญเธอเห็นแม่ป้านั้นมีสีหน้าที่เปี่ยมสุขที่สุดในเวลานี้

“เขาเรียกว่าเทศกัณฑ์สมโภชครับคุณข้าว” ดนัยกระซิบตอบเธอ เมื่อเธอถาม
เมื่อหลวงตาเทศกัณฑ์สมโภชเสร็จก็รดน้ำมนต์ให้ชาวบ้านอีกที แล้วก็เคลื่อนขบวนกลับเข้าไปในวัด แล้วเธอก็ต้องละลานตาไปด้วยต้นกล้วยนับสิบ ๆ ต้น ที่ประดับไปด้วยแบ็งค์เต็มไปหมดตั้งเรียงรายอยู่บนศาลา ทำให้เธอพลอยสุขใจไปด้วย เพราะว่าอย่างน้อย ๆ แบ็งค์ของเธอและแม่ป้าก็ได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย







 

Create Date : 30 ตุลาคม 2551
0 comments
Last Update : 30 ตุลาคม 2551 7:17:29 น.
Counter : 388 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.