Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
15 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ร้อยรวงใจ ๓๔ (ธัญรัตน์)




สีหน้าที่บึ้งตึง ท่าทีที่ฉุนเฉียว กับท่าเดินที่ลงส้นเท้าแทบจะพื้นถล่ม ตรงไปยังห้องกรรมการผู้จัดการทันที และก่อนเข้าไปข้างใน ปิยนุชก็หันไปมองไปยังแม่เลขาฯ หน้าห้องที่นั่งกระหยิ่มยิ้มย่อง เหมือนจะเยาะเย้ยตัวเองก็ไม่ปาน ปิยนุชไม่จำเป็นจะต้องขอแม่เลขาฯ ก็เข้าไปในห้องเจ้านายได้ ไม่เหมือนพนักงานคนอื่น ๆ ส่วนอุบลก็ไม่คิดที่จะห้าม เพราะห้ามไปก็ไม่เคยห้ามได้ และที่สำคัญที่สุด อุบลเหมือนจะรู้ว่า ศัตรูหัวใจนั้นเดินหน้าบึ้งเข้าไปในห้องเจตน์ด้วยเรื่องอะไร

“คุณเจตน์คะ หมายความว่ายังไงคะ นุชไม่เห็นว่ามันจะยุติธรรมกับนุชเลยนะคะ”
ปิยะนุชส่งสำเนาเช็ค ที่เขาจ่ายเพิ่มให้อุบลมากกว่าเก่ามาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ซึ่งเธอก็เพิ่งจะรู้มาโดยบังเอิญ เพราะได้ยินฝ่ายบัญชีไปซุบซิบกัน
“อะไรนุช จู่ ๆ พรวดพราดเข้ามาแบบนี้ รู้มั้ยว่าฉันกำลังคุยกับลูกค้าอยู่นะ” เขาทำเสียงดุ เมื่อตัดสายจากลูกค้าพอดี
“ก็ทำไมคุณเจตน์ทำแบบนี้คะ ให้แต่แม่นั่นทำไมไม่เห็นจะให้นุชเลยนี่คะ ไม่ยุติธรรมเลย”
“ฉันไม่เห็นว่ามันจะไม่ยุติธรรมตรงไหนเลยนะ ทีเธอยังขอเงินพิเศษจากคุณเจตน์ส่งไปให้แม่ที่ต่างจังหวัดมาตั้งนานสองนา กับอีแค่คุณเจตน์ให้ฉันเพิ่มแค่นี้ทำไมต้องมาเดือดร้อนด้วย”
ไม่ทันที่เจตน์จะได้พูดอะไร อุบลก็เปิดประตูเข้ามาในห้องและสวนกลับปิยนุชทันที

“นั่นมันส่งให้แม่ฉัน ไม่ใช่ให้ฉันใช้ นี่เธอคงจะไปออดอ้อนคุณเจตน์ร้อยเก้าท่าหละสิ คุณเจตน์ถึงได้สมนาคุณเธอมากขนาดนี้ ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา” ปิยนุชตอบโต้ทันที
“ฉันจะทำยังไงมันก็เรื่องของฉัน แต่ที่แน่ ๆ คุณเจตน์เพิ่มเงินให้ฉันก็แล้วกัน คุณเจตน์ขาเห็นมั้ยคะว่าแม่นี่อิจฉาแมวแค่ไหนคะ ทีตัวเองได้มาก ๆ ก็ทำเป็นเงียบ ทีแมวได้บ้างทำมาเป็นโวยวาย แมวไม่ยอมนะคะ”
อุบลรีบตรงไปเกาะแขนเจตน์ที่นั่งดูคนทั้งสองปะทะคารมณ์กันด้วยความเอื่อมระอา

“นุชก็ไม่ยอมนะคะ ถ้าคุณเจตน์เพิ่มให้แม่นี่ นุชก็ต้องได้ด้วย ไม่อย่างนั้นนุชจะไม่มาทำงานสักสามเดือน ตั้งแต่นุชทำงานมาไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นเหตุลางานติดกันหลาย ๆ วันเหมือนแม่คนนี้เลย นุชตั้งใจทำงานมาโดยตลอด ถ้าคุณเจตน์ไม่เห็นความดีของนุช ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทนทำไป” ปิยนุชโวยวายด้วยความเหลืออด
“คุณเจตน์คะ ถ้าแม่นี่หยุดงานก็ไล่ออกไปเลยค่ะ แมวจะหาคนใหม่มาให้ หรือถ้าคุณเจตน์ไม่ไล่แม่นี่ออกนะคะ และยอมให้แม่นี่หยุดงาน แมวก็ไม่ยอมด้วยนะคะ แมวจะหยุดห้าเดือนเลยคอยดู” อุบลเอาบ้าง

“คุณเจตน์คะ...”
“โอ๊ย พอกันได้แล้วทั้งสองคน ถ้าไม่มีใครอยากจะทำงาน หรืออยากจะหยุดงานก็ลาออกไปให้หมดเลยไป ฉันจะหาคนใหม่มาทำ บอกตรง ๆ นะฉันเบื่อเธอสองคนจริง ๆ เลย อะไรกันวัน ๆ เอาแต่คอยจับผิดกันอยู่นั่นล่ะ กลับออกไปทำงานให้หมดเลยนะ แล้วอย่าได้มาพูดกับฉันเรื่องนี้อีก ฉันให้ความยุติธรรมกับเธอสองคนพอ ๆ กัน ถ้าไม่พอใจจะไปหาที่เกาะใหม่ก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เบื่อ ๆ ๆ” เจตน์ต้องห้ามทัพด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน

“คุณเจตน์ คุณเจตน์กล้าไล่นุชเหรอคะ” ปิยนุชที่น้ำตาคลอเบ้า แล้วก็วิ่งออกไปจากห้องด้วยความเสียใจ
“คุณเจตน์” “ออกไปฉันอยากอยู่คนเดียว” ไม่ทันที่อุบลจะได้พูดอะไร เขาก็สั่งด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด จนอุบลต้องรีบเดินหน้าง้ำออกไปจากห้อง และก็สวนพบกับจ่อยที่ยืนรออยู่หน้าห้องพอดี
“คุณเจตน์สั่งให้ผมมาหาครับ” จ่อยถามเพื่อขออนุญาตอุบล
“เชิญ” อุบลบอกแล้วก็เดินหายไปทางห้องน้ำ ด้วยน้ำตาคลอเบ้าไม่แพ้ปิยนุชเลย

“ล็อคประตูด้วย” เจตน์สั่งเมื่อจ่อยโผล่หน้าเข้าไป
“คุณเจตน์เรียกผมเหรอครับ”
“ตอนนี้ที่บ้านน้ำงามเป็นยังไงบ้าง นายมีลู่ทางที่จะทำอะไรให้ฉันบ้างหรือยัง คิดให้ดี ๆ ก่อนที่จะตอบนะ เพราะตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี เผลอ ๆ นายอาจจะเป็นคนที่สามที่ฉันตะเพิดออกไปก็ได้”
เขาบอกด้วยอารมณ์ยังค้างอยู่ จนทำให้จ่อยนั้นถึงกับหน้าจ๋อย เพราะตั้งใจจะบอกเขาว่ายังไม่มีลู่ทางอะไร แต่เมื่อเห็นหน้าเจ้านายแบบนี้เขาก็ไม่กล้า

“เอ่อ ก็พอมีอยู่บ้างครับคุณเจตน์” จ่อยรีบบอกไป เพราะสมองนั้นมีบางอย่างแล่นขึ้นมาเมื่อกี้นี้เอง
“จะทำยังไง” เจตน์ถามด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเก่า
“คือตอนนี้ผมมองเห็นอยู่ทางเดียวครับ แต่วิธีนี้มันค่อนข้างจะเสี่ยงว่าจะมีคนจับได้ ถ้าไม่ระวัง และอีกอย่างนะครับมันค่อนข้างจะยุ่งยากนิดหน่อย และก็ใช้เงินและแรงคนหลายคนทีเดียวครับ” จ่อยบอก
“ว่ามา เท่าไหร่” เขาตัดบท
“ผมยังไม่รู้ว่าเท่าไหร่เลยครับ ขอโทรไปหาเพื่อนก่อน ส่วนรายละเอียดผมจะบอกคุณเจตน์อีกที และก็เรื่องเงินด้วยว่าจะใช้เท่าไหร่”

“ฉันไม่อยากรู้ว่าจะทำยังไง ขอเพียงแต่อย่าทำให้คนรู้ว่าเป็นฝีมือของคน ให้เข้าใจว่าเป็นธรรมชาติเท่านั้น และที่สำคัญอย่าให้ที่นาข้างเคียงได้รับผลกระทบด้วย ฉันกลัวบาป แล้วจะลงมือเมื่อไหร่” เขาบอกตามที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้
“ผมว่าช่วงเทศกาลออกพรรษานี่เหมาะที่สุดเลยครับ คนแถวบ้านส่วนใหญ่จะวุ่นกับการไปทำบุญที่วัด คงไม่ทันได้ไปสำรวจดูไร่นาสักเท่าไหร่หรอกครับ กว่าจะไปดูอีกทีก็คงจะแก้ยากแล้วครับ” จ่อยบอกตามความคิดตัวเองที่คาดเดาเอาไว้



รอยยิ้มบาง ๆ ที่มองตามหลังหลวงตาไปอย่างมีความสุขเป็นที่สุด ภรัณยาหันหลังกลับเข้าบ้านหลังจากที่ตักบาตรผ่านไปแล้ว เธอไม่ลืมที่จะหยาดน้ำตามทุกครั้งตามที่ป้าหวางเคยสอนเอาไว้ พอเสร็จแล้วเธอก็ขึ้นบ้านไปยกเอาถาดที่มีชามข้าวต้มทรงเครื่อง พร้อมกับน้ำผลไม้ ลงไปให้ป้าหวางที่นอนเป็นไข้อยู่ที่เรือนหลังเล็ก

วันนี้แต๋นขอลากลับไปเยี่ยมญาติที่อุดรฯ เพราะมีคนโทรมาบอกว่าป่วยหนัก หลังจากที่เตรียมข้าวของให้เธอแล้วแต๋นก็ออกจากบ้านไปพร้อม ๆ กับลุงคำที่ต้องไปทำธุระะที่ธนาคารในเมืองกับชาวบ้านอีกสองสามคน เธอจึงต้องช่วยดูแลป้าหวางให้ บ้านหลังเล็กค่อนข้างจะเงียบเชียบ เพราะเจ้าตัวน้อยของนางเพิ่งจะหมดฤทธิ์ไปเมื่อสว่างนี่เอง หลังจากที่เมื่อคืนร้องงอแงทั้งคืนเพราะไม่สบาย ทำให้นางแทบไม่ได้นอน จะได้หลับก็ไม่นานมานี้ เธอจึงเลือกที่จะไม่ปลุก

“ป้าหวางคะ ค่อยยังชั่วหรือยังมากินข้าวต้มก่อนนะคะ จะได้กินยา”
เธอเรียกป้าหวางที่นอนอยู่ ป้าหวางลืมตาได้ก็ค่อย ๆ ลุก โดยมีเธอเข้าไปพยุง เธอพบว่าตัวป้าหวางเย็นลงกว่าเมื่อคืนแล้ว
“ป้าบ่อยากแนวกิ๋นแบบนี่เลยจ้าคุณเข่า” ป้าหวางบอกตามตรง เพราะไม่ชินกับข้าวต้ม
(ป้าไม่อยากกินอาหารแบบนี้เลยค่ะคุณข้าว)
“กินหน่อยเถอะค่ะ จะได้กินยา แล้วมื้อกลางวันถ้าป้าหวางอยากจะกินอะไรข้าวจะหามาให้”
เธอบอก และป้าหวางก็ทำตามแต่โดยดี แต่ก็ตักข้าวต้มเข้าปากได้แค่สามคำก็อิ่มแล้ว
“กินอีกหน่อยไม่ได้เหรอคะป้าหวาง” “อิ่มแล่วจ้าคุณเข่า”

“งั้นก็ดื่มน้ำส้มแล้วก็กินยานี่เลยนะ แล้วป้าหวางอยากจะกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” เธอถาม
“โอ๊ย มีแนวอยากยู แตวาคือสิบ่มีคนเฮ็ดไห่กิ๋นดอก อีนางมันก็คาลูก อีแต๋นมันกะเมือบ้าน” ป้าหวางว่า
(โอย ก็มีอยู่ แต่ว่าคงจะไม่มีคนทำให้กินหรอก นางก็ติดลูก แต๋นก็กลับบ้าน)
“แล้วป้าหวางอยากจะกินอะไรล่ะ อย่าดูถูกข้าวนะ ข้าวก็ทำได้เหมือนกัน” เธอทำเป็นอวดภูมิ
“ป้าอยากสิกิ๋นแกงขี่เหล็กใส่หนังพอง มื่อวานนี่ยายแสงเอ๋ามาไห่สี่ห่ามัด คันได้กิ๋นกับเข่าคือสิแซบ”
(ป้าอยากกินแกงขี้เหล็กใส่หนังพอง เมื่อวานนี้ยายแสงเอามาให้สี่ห้ามัด ถ้าได้ก็กับข้าวคงจะอร่อย)
หมายเหตุ หนังพอง คือ หนังวัวที่คนอีสานจะเอามาหมักกับเกลือ แกลบ แล้วก็นำไปตากแดด พอแห้งก็จะเก็บไว้ทำอาหารกินได้ ถือว่าเป็นอาหารที่ทำกินยาก เพราะต้องมีวิธีทำที่ยุ่งไม่น้อย

“แกงขี้เหล็กเหรอ อื่ม งั้นข้าวจะโทรถามแต๋นว่าทำยังไง แล้วก็จะทำให้ป้าหวางกินเที่ยงนี้เลย ป้าหวางพักผ่อนเถอะนะ แล้วตอนเที่ยงเจอกันอีกที”
เธอบอกแล้วก็รีบเดินลงจากบ้านเล็ก และตรงไปที่บ้านตัวเองเพื่อกดโทรศัพท์ไปหาแต๋นทันที แต่ก็ไม่มีคนรับสาย เธอลองอีกครั้งก็ยังคงได้คำตอบเดิม เธอจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากแต๋นไปหาอีกคนที่กำลังจะขึ้นไปเป็นวิทยากรให้กับนักเรียนที่สมิตาโทรมาเชิญเขาเอาไว้เมื่อหลายวันมาแล้ว

“อะไรนะแกงขี้เหล็กเหรอ คุณจะทำได้เหรอมันยุ่งยากนะ”
เขางงเมื่อได้ยินว่าเธอจะทำอะไร แต่ในที่สุดเขาก็บอกวิธีทำไปตามที่เธอต้องการ
“ใช่ ๆ ต้นที่อยู่ข้าง ๆ บ้านคุณนั่นหละ เลือกเอาเฉพาะยอด ๆ มัน แล้วก็เอามาเด็ดเอาใบและก้านอ่อน ๆ ต้มน้ำจนกว่ามันจะหายขม....” สมิตาอดที่จะหันไปมองเขาไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าคุยกับใคร เรื่องการทำอาหาร
“พี่น้ำใกล้จะถึงเวลาแล้วนะคะ”
สมิตาเดินมาเตือน ซึ่งเขาก็วางสายพอดี แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะเปลี่ยนสัญญาณเป็นสั่นแทนเสียงก่อนขึ้นไปบนเวที ที่เต็มไปด้วยนักเรียนมัธยมปลายนับร้อย

“เลือกเอาแต่เฉพาะใบและก้านที่อ่อน ๆ แล้วก็เอามาต้ม ใส่น้ำเยอะ ๆ รอให้น้ำมันพร่องแล้วก็มารินน้ำทิ้งแล้วก็เปลี่ยนน้ำใหม่ แล้วให้ชิมดูว่าหายขมหรือยัง”
เธอยืนอ่านสิ่งที่จดมาจากเขา แล้วก็เดินลงบ้านตรงไปยังต้นขี้เหล็กที่กำลังออกใบอ่อนสวยงามน่าเอามาแกงเป็นที่สุด

หญิงสาวพยายามจะเก็บมันแต่ก็สูงเกินไป ต้องไปหาแบกบันไดมากางแล้วก็ขึ้นไปเด็ดทีละยอด ๆ โยนลงไปไว้ที่พื้นดินก่อน เพราะเธอลืมหยิบถุงไปด้วย แต่ก็ขี้เกียจลงมาอีก กว่าจะได้ใบขี้เหล็กตามปริมาณที่ต้องการก็เล่นเอาเธอหอบแฮ็ก ๆ ทีเดียว แล้วเธอก็จัดการเด็ดและรูดเอาใบอ่อน ๆ ตามที่เขาบอก พร้อมกับเอาไปต้มที่เตาแก๊สจนได้ในที่สุด

“เฮ้อ เสร็จไปหนึ่งอย่างแล้ว ทีนี้ก็ทำอะไรอีกนะ” เธอหันไปอ่านโพยที่จดมาจากเขา แล้วก็ต้องทำหน้ามุ่ย เพราะเธอจะต้องไปติดไฟที่เตาถ่านเพื่อเผาเจ้าหนังพองของป้าหวางให้มันไหม้เกรียม
“แล้วจะเอาอะไรติดไฟดีล่ะ”
หญิงสาวหันซ้ายแลขวาก็เห็นขวดน้ำมันก๊าซที่แต๋นเคยใช้เป็นเชื้อเวลาจะติดไฟที่เตาถ่าน แล้วเธอก็ใช้วิธีเดียวกับแต๋น แต่กว่าจะผ่านไปได้ก็วนอยู่หลายรอบ แล้วเธอก็จัดการโยนเจ้าหนังพองลงไปที่ไฟ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าไอ้ที่บอกว่าเผาให้ไหม้เกรียมนี่มันเกรียมขนาดไหน ด้วยความไม่แน่ใจจึงจัดการกดโทรศัพท์กลับไปหาเขาอีกที

เขมินท์รู้สึกได้ถึงสายที่เรียกเข้า เพราะมันสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงนับสิบ ๆ รอบ แต่เขาก็ไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ในทันที จนได้โอกาสเหมาะ ๆ ถึงได้แยกตัวออกมาโทรกลับไปหาเธอเอง

“เอาแค่ให้ไฟมันเผาไอ้ดำ ๆ ที่เป็นผิวด้านนอกแค่นั้น และก็ขน ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ด้วย เผาออกให้หมด เสร็จแล้วคุณก็เอาฆ้อนทุบ ๆ ให้หมดคาบดำ ๆ แล้วก็เอาไปต้มรวมกับขี้เหล็กในน้ำที่สอง แค่นี้ก่อนนะผมต้องไปแล้ว”
เขาต้องรีบตัดบท เมื่อสมิตาเดินมาให้สัญญาณอีกครั้ง

“นี่เผา ๆ ๆ ให้ดำ ๆ ออก แล้วฉันจะหาฆ้อนที่ไหนมาทุบล่ะ”
ว่าแล้วเธอก็วิ่งขึ้นบนบ้านเพื่อควานหาฆ้อนตอกตะปู แต่คิด ๆ อีกทีเธอก็ว่ามันไม่เข้าท่านัก ที่จะเอามาทุบอาหาร เธอจึงเดินวนไปวนมาอยู่นานสองนาน แล้วก็ได้สากกะเบือติดมือลงมาแทน แต่ก็ต้องวิ่งขึ้นไปอีก เพราะลืมเอาเขียงลงไปด้วย
เจ้าไข่ตุ๋นที่แรก ๆ ก็วิ่งขึ้นลงตามเจ้านายอยู่หรอก แต่ตอนนี้มันเริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้านายถึงได้วิ่งวุ่นนัก จนมันเลือกที่จะไปนอนขดตัวที่ระเบียงดูเฉย ๆ ดีกว่า

“ว๊าย อย่าไหม้นะ ๆ เดี๋ยวป้าหวางอดกิน”
เธอรีบคีบเจ้าหนังพองออกจากเตาทันที เพราะลืมเอาออกจากไฟก่อนขึ้นไปหาฆ้อน เสร็จแล้วเธอก็จัดการทุบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนได้หนังพองที่เหลืองและก็มีกลิ่นหอม ๆ ชวนให้ชิมเหมือนกัน
“แหวะ ทำไมมันเหนียวจัง” เธอต้องคายทิ้งทันที เพราะกัดยังไงก็กัดไม่ยอมขาด
หญิงสาวต้องวิ่งขึ้นบ้านเพื่อไปดูน้ำขี้เหล็กว่าพร่องไปแค่ไหนแล้ว เมื่อพบว่าเป็นไปตามที่ต้องการก็จัดการเทน้ำที่เหลือทิ้งไปแล้วก็ใส่น้ำเข้าไปใหม่และต้มอีกที โดยที่เธอไม่ลืมจะโยนเจ้าหนังพองลงไปด้วย เธอก็ก้มไปดูโพยที่จะต้องทำต่อไป แล้วก็ถือตะกร้าหวายวิ่งลงไปในสวนอีก

เจ้าไข่ตุ๋นนึกสนุกเปลี่ยนใจวิ่งตามเจ้านายไปอีกที แล้วก็เดินวนอยู่ในสวนใกล้ ๆ เจ้านายมันนั่นเอง
“ใบย่านาง ๆ ที่ใช้ใส่แกงหน่อไม้ นี่ไงเจอแล้ว” เธอจัดการเด็ดเอายอด ๆ ของใบย่านางลงไปไว้ในตะกร้า แล้วก็เดินไปเด็ดเอาผักชีลาวที่แต๋นชอบเอามาใส่แกงอ่อมอยู่เรื่อย
“ตะไคร้ ใบมะกรูด อุ๊ยว๊าย”
เธอทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ จึงต้องวิ่งขึ้นไปบนบ้านอีกที แล้วก็ตรงไปหาถังข้าวสาร พร้อมกับกำข้าวสารเหนียวมาสองกำใส่ถ้วย แล้วเทน้ำลงไปเพื่อแช่เอาไว้ เพราะเขมินท์บอกว่าให้แช่ไว้นาน ๆ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่นิ่มและโขลกไม่แหลก แล้วเธอก็วิ่งกลับลงไปที่สวนอีกครั้ง

“พริกขี้หนูสด ใบแมงลัก แล้วอะไรอีกนะ ดึด ๆ ๆ ไม่มีแล้วครบเรียบร้อยแล้ว เฮ้อ คุณพ่อคุณแม่คะ ขอบคุณนะคะที่ปลูกผักไว้ให้ข้าวกินค่ะ ไม่ต้องไปวิ่งหาซื้อเหมือนที่กรุงเทพฯ เลย”
เธอพูดกับตัวเองแล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปบนบ้าน โดยที่เจ้าไข่ตุ๋นวิ่งตามไปติด ๆ อีก แล้วเธอก็จัดการล้างผักให้หมด และนำยอดใบย่านางไปขยี้กับน้ำตามที่เขาบอก ก่อนขยี้เธอรีบไปเปลี่ยนน้ำที่ต้มขี้เหล็กอีกรอบก่อน เพราะลองชิม ๆ ดูแล้วพบว่ามันยังขม ๆ อยู่

ร่างบางหมุนกลับมาที่ยอดใบย่านางอีกครั้ง พร้อมกับจัดการขยี้ ๆ ๆ ขย่ำ ๆ ๆ ไป ๆ มา ๆ จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเธอก็ยังไม่เห็นว่าน้ำใบย่านางมันจะออกมาดำ ๆ ข้น ๆ อย่างที่เขาบอกเลย เธอไม่รอช้ารีบกดโทรออกทันที
“เดี๋ยว ๆ คุณเอาส่วนไหนของใบย่านางมา ไม่ใช่ยอด ผมบอกว่าให้เอาใบ คุณไปเอายอดมันมาแล้วมันจะไปมีอะไรดำ ๆ ข้น ๆ ออกมาได้ยังไง ไปเก็บเอามาใหม่ และก็ให้เลือกเอาใบมัน และเอาแต่ใบแก่ ๆ นะอย่าเอาใบอ่อน ใบที่มันเป็นสีเขียวแก่ เขียวปี๋ ๆ เลย ทีนี้ก็ขย่ำไป รับรองได้น้ำข้น ๆ แน่ แค่นี้ก่อนนะ”
เขาต้องรีบวางสายเมื่อหลาย ๆ คนหันมามอง ขณะที่ทุกคนนั่งดื่มคอฟฟี่เบรคอยู่

“ใครโทรมาคะพี่น้ำ เห็นถามเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว” สมิตาอดไม่ได้ที่จะถาม
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับน้องโอ๊ะ พอดีเพื่อนโทรมาถามกำลังจะทำรายงานครับ ไหนขอพี่ดูกำหนดการหน่อย”
เขารีบตัดบท และหันมาให้ความสนใจไปกับงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเขาอยากจะให้มันจบ ๆ ไปซักที เพราะห่วงอีกคนที่กำลังวุ่นวาย

“เมื่อกี้ไม่เห็นบอกว่าให้เอาใบแก่ ๆ เลย แค่นี้นะ ๆ จะยุ่งอะไรนักหนาก็ไม่รู้ เชอะ”
เธอบ่นไปแล้วก็เด็ดใบย่านางไป เมื่อได้ตามที่ต้องการแล้วก็วิ่งขึ้นเรือนอีก ก่อนจะขย่ำมัน เธอก็ไปชิมดูขี้เหล็กที่ต้มมาแล้วไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง เมื่อพบว่าไม่มีรสขมแล้วก็จัดการเทน้ำออก แล้วเอาน้ำเย็นแช่ไว้อีกทีตามที่เขาบอกไว้
พร้อมกับหมุนกลับมาขยำ ขย่ำ ขยี้เจ้าใบย่านางตามที่เขาบอก เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาที เธอก็ได้น้ำดำ ๆ ข้น ๆ ตามที่เขาบอกเอาไว้

“ว้าว ได้แล้ว เฮ้อ เหนื่อยจริง ๆ ไม่ยักกะรู้นะว่าเจ้าแกงขี้เหล็กนี่มันจะทำยากทำเย็นขนาดนี้ แล้วต้องทำอะไรต่อไปนี่”
เธอจัดการล้างมือแล้วก็ไปดูโพยที่จดเอาไว้
“หั่นตะไคร้เป็นฝอย ๆ แล้วก็เอามาตำรวมกับข้าวเบือที่แช่ไว้ ใส่พริกใส่ใบมะกรูด หอมหัวแดง”
เธออ่าน ๆ แล้วก็จัดการตามโพย เมื่อทุกอย่างได้ตามที่ต้องการแล้ว ก็หา ๆ ๆ ๆ
“สากกะเบืออยู่ไหนเนี๊ยะ โอ๊ย ลืมเอามาจากข้างล่างอีก เฮ้อ เหนื่อยแล้วนะ”
เธอบ่นแล้วก็วิ่งลงไปข้างล่างอีก เพื่อไปเอาสากกะเบือที่ทิ้งเอาไว้แต่แรก

“ว๊าย ตายแล้วใบย่านางของฉัน ฮื่อ ๆ ๆ ทำไมมันวุ่นวายอย่างนี้นะ ไม่ทงไม่ทำมันแล้ว ฮื่อ ๆ ๆ ๆ”
เธอโมโหสุดขีดเพราะตอนที่วิ่งมานั้น ดันทำสากกะเบือหลุดมือตกไปที่ขอบชามน้ำใบย่านางจนหกออกหมดเลย ทำให้หญิงสาวเริ่มโมโห เพราะเริ่มเหนื่อยที่วิ่งไป ๆ มา ๆ และขึ้น ๆ ลง ๆ บ้านตั้งแต่เช้าแล้ว เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น แต่เธอไม่อยากจะรับเพราะโมโหอยู่ แล้วมันก็ดังขึ้นอีก ๆ จนเธอต้องรับสาย

“อ้าวทำไมจะไม่ทำซะล่ะ มันจะเสร็จอยู่แล้วนะ อีกนิดเดียว หกก็ไปเก็บมาทำใหม่สิคุณ อะไรกันแค่นี้ก็ท้อแล้ว มันง่ายกว่าคุณทำนาซะอีกนะ ใจเย็น ๆ ผมจะกลับไปช่วยอีกแป๊บเดียว แค่นี้นะ”
เขาบอกไปตามสาย เพราะสงสารเจ้าของเสียง นี่ถ้าเขาเดาไม่ผิดก็คงจะกำลังร้องไห้งอแงตามเคย

“พี่น้ำจะไปทานข้าวหรือยังคะ ทุกคนรออยู่” สมิตาเดินออกมาตามเขา ที่หน้าห้องประชุมใหญ่
“ไม่ดีกว่าครับน้องโอ๊ะ หมดหน้าที่พี่แล้ว ขอกลับเลยดีกว่า พอดีมีธุระะด่วน งั้นเจอกันใหม่นะครับ”
เขารีบบอกและผละไปจากเธอทันที ทำให้สมิตาต้องมองตามเขาไปด้วยท่าทีที่ไม่สบายใจนัก ด้วยเธอพอจะเดาได้ว่าคนที่เขาคุยด้วยนั้นคือใคร

“ไหนแม่ครัวขี้แยอยู่ไหน”
เสียงของเขาดังมาจากบันได ตรงมาที่ครัว ก็พบว่าร่างน้อย ๆ นั่งเอาคางเกยไว้กับเข่าอยู่อย่างนั้น พอเขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่าน้ำตาไหลอาบแก้มเป็นทาง เขาเองทั้งอยากจะสงสารและอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ พร้อม ๆ กัน เพราะนอกจากแก้มทั้งสองข้างจะเต็มไปด้วยคราบน้ำตาแล้ว มันยังมีรอยดำ ๆ ของถ่านเปื้อนเป็นหย่อม ๆ อยู่ด้วย

“นี่คุณอะไรกันทำกับข้าวแค่นี้ก็ทำไม่ได้ แล้วดูสิหน้าตาเหมือนไปออกรบที่ไหนมาเลยดำปี๋เชียว”
เขาบอกและหัวเราะออกมาในที่สุด
“นี่คุณอย่ามาหัวเราะฉันนะ รู้มั้ยว่ามันเหนื่อย ทำไมมันวุ่นวายนักกับอีแค่จะแกงขี้เหล็กนี่ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจจะทำให้ป้าหวางกิน เพราะแกบ่นอยากกิน ฮื่อ ๆ ๆ วุ่นวายนักก็ไม่ต้องทำมันแล้ว”
เธอแหวใส่เขาทันที แล้วน้ำตาก็ไหลหยดติ๋ง ๆ ออกมาอีก

“โธ่เอ้ย ของแค่นี้ก็ร้องไห้ เอาอย่างนี้นะ คุณไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ด้วยไป ทางนี้ผมจะจัดการให้ เร็ว ๆ ด้วยนะ ผมหิวข้าวเหมือนกัน ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย มัวแต่รีบออกมา”
เขาบอกก่อนที่จะจูงแขนให้เธอเดินเข้าห้องไป ส่วนตัวเองก็เป็นพ่อครัวให้เธอเสียเอง เวลาผ่านไปแค่สิบห้านาทีหญิงสาวก็ออกมาด้วยชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาสั้น

“หือ กลิ่น Polo Sport ของราล์ฟ ลอเรน แม่คุณ ตกลงนี่จะชอบยีห้อไหนกันบ้างเนี่ย ใช้แต่ละวันแทบจะไม่ซ้ำกันเลยนะ ไม่รู้เงินที่ซื้อน้ำหอมนี่จะซื้อข้าวได้สักกี่ตันแล้วก็ไม่รู้” เอาอดบ่นในใจไม่ได้อีกแล้ว เพราะเริ่มจะคุ้นเคยกลิ่นน้ำหอมที่เธอใช้ขึ้นทุกวัน ๆ แล้ว

“ให้ฉันช่วยอะไรบ้าง”
เธอเดินไปนั่งลงใกล้ ๆ เขาขณะที่โขลกข้าวเบืออยู่ เขาหันมาและก็ยิ้มให้กับเธอ เพราะได้เห็นหน้าขาว ๆ สวย ๆ ใส ๆ กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อกี้เห็นแต่ดำ ๆ ด่าง ๆ แทน
“คุณจะกินข้าวเที่ยงกับอะไรดี จะลองแกงขี้เหล็กนี่หน่อยมั้ย” เขาถาม
“ต้องดูก่อนว่าคุณทำอร่อยหรือเปล่า แต่ฉันว่าฉันขอยืนพื้นไว้ที่ไข่เจียวแตงกวาของฉันดีกว่า คุณสนมั้ยฉันจะทำเผื่อ”
“อื่ม ผมเคยแต่ไข่เจียวเฉย ๆ แต่ก็น่าลองเหมือนกัน”
เขาบอกก่อนที่ตัวเองจะจัดการยกหม้อขี้เหล็กขึ้นไปตั้งที่เตา ไม่นานเจ้าแกงก็ส่งกลิ่นหอมหวนชวนให้ชิมกระจายไปทั่วครัว จนเธอต้องเดินมาก้มดูที่หม้อที่เดือดปุด ๆ อยู่

“หอมล่ะสิท่า คุณนี่โชคดีมาก ๆ เลยนะ ผมไม่เคยทำให้ใครกินแม้แต่คนเดียวเลย” เขาบอก
“เชอะ ตัวเองก็อยากจะกินด้วยหละสิไม่ว่า หลบไปด้วยฉันจะเจียวไข่” เธอเมินแกงของเขา แล้วก็จัดการตั้งกะทะ
“มะผมทำเองดีกว่า ไม่อยากจะเสี่ยงเสียไข่สี่ฟองไป ข้าวของยิ่งแพง ๆ อยู่ คุณไปจัดการตักข้าวใส่จานรอได้เลย”
เขาเห็นท่าทางการทำแบบเก้ ๆ กัง ๆ ของเธอจนต้องรีบแย่งกลับไปทำเอง
“อุ๊ย ตายแล้วววว” เธออุทานขึ้นด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรไปคุณร้องซะดังเชียว” เขาหันมาถาม

“ฉันยังไม่ได้หุงข้าวเลย”
เธอเพิ่งจะนึกขึ้นได้ แต่ตัวเองก็หิวเต็มทีแล้ว และป้าหวางก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงด้วย
“นี่คุณ หันไปดูก่อนสิ ผมหุงตั้งแต่ตอนคุณอาบน้ำอยู่โน่นแล้ว เร็ว ๆ นะผมหิวมากแล้วด้วย ถ้าขืนรอคุณนะอดแน่ ๆ”
“นี่ ก็คนมันลืมนี่”
เธอยังอุตส่าห์แหวใส่เขา แต่ก็รีบหันไปตักข้าวใส่จานทันที แล้วอาหารทั้งหมดก็ถูกยกไปให้ป้าหวางในเวลาเที่ยงกว่า ๆ ป้าหวางดีใจจนน้ำตาไหลที่ได้ชิมฝีมือคุณเข่าของเธอ

“เป็นยังไงบ้างคะป้าหวางแซบบ่ ข้าวตั้งใจเฮ็ดสุดฝีมือเลยเด้อ” เธอถามเมื่อป้าหวางชิมคำแรก
“โอ๊ย แซบอีหลีจ้าคุณเข่า จั๊งได๋คือเฮ็ดเป๋น มันล่ะเฮ็ดยากแท่เด้กัวสิแล่ว” ป้าหวางชื่นชม
“คุณเข่าของป้าทำคนเดียวที่ไหนกัน ไอ้ที่อร่อย ๆ นี่ผมทำต่างหาก คนอะไรก็ไม่รู้เอาดีใส่แต่ตัวเอง”
เขาอดที่จะแขวะเธอไม่ได้ ขณะที่ตักอาหารเข้าปากด้วยความหิว
“นี่ฉันเป็นคนทำเยอะกว่าคุณนะ กว่าที่จะไปเก็บใบขี้เหล็กมาจากต้นได้ก็เหนื่อยแทบแย่ แล้วยังจะต้องมาติดไฟเผาเจ้าหนังพองนี่อีก แล้วก็อะไร ๆ อีกตั้งเยอะแยะโอ๊ย พูดแล้วเหนื่อยกินดีกว่า”

“รวมทั้งเหนื่อยที่ต้องขยี้ยอดย่านาง กับใบย่านางตั้งสองรอบจนด้วยหรือเปล่าล่ะ แถมก็ไม่ได้เรื่องด้วย พอทำได้ก็ดันทำหกอีก จนต้องนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่อย่างนั้น เฮ้อ คุณเข่านะคุณเข่า แล้วมาอวดว่าตัวเองทำ”
เขาอดแซวไม่ได้ แต่ก็ยิ้มให้เธอในที่สุด
“นี่ก็คุณนั่นล่ะบอกไม่เคลียร์เอง ตอนแรกบอกยอดแท้ ๆ มาเปลี่ยนเป็นใบ หยุดว่าฉันได้แล้วนะ และก็กินเข้าไปเยอะ ๆ ปากจะได้ไม่ว่างนี่ ๆ ๆ กินเข้าไปเลย” เธอว่าแล้วก็ตักไข่เจียว และแกงขี้เหล็กใส่จานข้าวให้เขาจนจะล้นออกมา







 

Create Date : 15 ตุลาคม 2551
2 comments
Last Update : 15 ตุลาคม 2551 9:33:14 น.
Counter : 368 Pageviews.

 

ใกล้จะจบหรือยังอ่ะ มาอัพต่อน่ะรออ่านอยู่

 

โดย: ชะเอม IP: 125.24.171.21 15 ตุลาคม 2551 11:08:47 น.  

 

จะมาอัพให้อ่านทุกวัน ๆ ละตอนค่ะ

 

โดย: ธัญญะ 15 ตุลาคม 2551 20:00:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.