Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ร้อยรวงใจ ๒๘ (ธัญรัตน์)




“คุณข้าวคะแต๋นจะไปเตรียมอาหารก่อนนะคะ”
เสียงของแต๋นดังแว่ว ๆ มาที่หู แต่เธอไม่สนใจจะหันไปหาคนพูด เพราะมันเหนื่อยมาก ๆ มากจนจะก้าวขาไม่ออกอีกแล้ว เสียงรถไถยังคงดังสนั่นอยู่อย่างนั้นไม่มีวี่แววว่าจะหยุดเลย แปลงที่ไถทิ้งไว้รอคนหว่านก็ยังคงมีอยู่อีกมาก คิด ๆ แล้วทำให้หญิงสาวเกิดท้อขึ้นมาได้ไม่ยากเลย

“คุณ ๆ เป็นอะไรหรือเปล่า”
เขมินท์ที่เฝ้าสังเกตเธอตั้งแต่เสียงแจ้ว ๆ เงียบหายไป เขาเดินเข้าไปช่วยพยุงแขนให้เธอได้ยืนถนัด ๆ พร้อมรีบถอดหมวกและผ้าคลุมหน้าเธอออกทันที และก็เห็นได้ชัดว่าหน้าเธอนั้นซีดมาก ๆ
“นั่งพักก่อน” เขาเทข้าวเปลือกจากถังของเธอใส่ถังของเขา แล้วก็เอาถังคว่ำลงไปกับโคลนให้เธอนั่งกับถังก่อน เพราะจะให้พาไปพักที่คันนาก็คงไม่ไหวเพราะมันไกลไม่น้อย

“คุณเข่าเป๋นอีหยังบ่คับ ไป่เซามีแฮงซาก๊อนกะได้ อีกจั๊กนอยกะสิได้กิ๋นเข่าแล้วล่ะ”
ลุงคำหันมาบอกเมื่อเห็นเธออาการไม่ดี (คุณข้าวเป็นอะไรครับ ไปพักก่อนก็ได้ อีกหน่อยก็จะได้กินข้าวแล้ว)
“แมนยูจ้า น้าน้ำพาเลาขึ่นก๊อนกะได้” ป้าหวางบอกอีกคน (ใช่ค่ะ น้าน้ำพาแกขึ้นก่อนก็ได้)
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะลุงกับป้า ข้าวแค่ร้อนนิดหน่อยค่ะ พักหน่อยก็หาย คุณไปหว่านเถอะเดี๋ยวไม่เสร็จ”
เธอยังคงรู้สึกเกรงใจเพื่อนร่วมทางอยู่มาก เพราะเธอเองก็รู้ว่าทุกคนคงจะเหนื่อยไม่แพ้เธอ
“คุณนั่งตรงนี้นะ ผมจะไปทำต่อให้เสร็จก่อน นี่ยาดมผมเตรียมมาไว้ให้ เหมือนรู้เลยว่าอีกไม่นานคุณก็จะหมดแม็ก”
เขาบอก แต่ก็ยังไม่วายเหน็บเธอจนได้ แต่อีกคนไม่สนใจคว้าเอายาดมมาสูดเข้าไปในปอดลึก ๆ จนเขาอดขำไม่ได้

“ดูสิหน้าตาก็ไม่ได้แต่ง ผมเผ้าก็ม้วนจุกเอาไว้ ตัวก็เปื้อนโคลนเต็มไปหมด แม่คุณไม่เหลือคราบสาวเปรี้ยวเลยจริง ๆ แต่มอง ๆ ดูก็น่ามองไม่อยอกหรอกนะ เฮ้อ คนสวยจะทำอะไร จะอยู่ยังไงก็ยังสวยอยู่วันยังค่ำ”
เขาคิดก่อนที่จะผละจากเธอแล้วก็ตรงไปยังหน้านาแล้วหว่านข้าวต่อไป

ภรัณยาหันไปมองผู้หญิงท้องที่ก้ม ๆ เงย ๆ ดำนาอยู่อีกฟากของที่นา แล้วก็อดอายไม่ได้ เธอเองเป็นคนตัวเปล่าแท้ ๆ กลับไม่สู้คนท้องเลย แล้วนาตัวเองก็เป็นนาหว่านไม่ใช่นาดำเหมือนเขาด้วย ซึ่งง่ายกว่าหลายเท่านัก
“ถ้าเธอมัวแต่นั่งกินแรงคนอื่นแบบนี้ วิญญาณคุณพ่อก็คงจะไม่ภูมิใจนักหรอกนะยายข้าว ถึงเธอจะได้ที่นาไป แต่เธอเองก็รู้ว่าได้มาเพราะมีมือคนอื่นมาช่วยตั้งหลายมือ มันก็ไม่ต่างจากที่เขาว่าเธอนักหรอก เป็นเจ้าของนาจะต้องเป็นหัวแรงสำคัญสิ ไม่ใช่นั่งหมดแรงแบบนี้”
คิดได้แค่นั้นเธอก็เกิดอาการฮึดขึ้นมาทันที หญิงสาวลุกขึ้นและก็จัดการเอาถังที่ใช้นั่งอยู่ล้าง ๆ แล้วก็เดินไปหาเขา

“เอาข้าวให้ด้วยสิ ฉันจะทำต่อให้เสร็จ ถ้าคนอื่นทำได้ฉันก็ต้องทำได้เหมือนกัน”
เธอบอกเขาอย่างนั้น แล้วก็คว้าเอาถังของเขามาสะพายขึ้นบ่าเอง ปล่อยให้เขาไปเทเอาใหม่ เขมินท์ทำตามโดยไม่พูดอะไรเลย แต่ในใจเขานั้นก็อดชื่นชมเธอไม่น้อยที่พอจะมีเลือดสู้ปะปนอยู่บ้าง
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเสียงรถไถก็หยุดลง สร้างความดีใจให้เธอไม่น้อยจริง ๆ มันเหมือนเสียงจากสวรรค์ยังไงยังงั้นเลย เขมินท์เป็นคนพาทุกคนหยุด เพื่อไปกินอาหารเที่ยงซึ่งเป็นเวลาบ่ายสองเข้าไปแล้ว มื้อนี้ไข่ ไก่ และแมวได้ร่วมกินด้วย และทุกคนต่างก็กินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยเช่นเคย

เสียงพูดคุยหยอกล้อของไข่กับแต๋นสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนได้ไม่น้อย อาหารคาวผ่านไปและตบท้ายด้วยอาหารหวานที่มีกะทิแตงไทยมีน้ำแข็งลอยหน้าเรียกความสดชื่นมาให้ได้ไม่น้อยเลยจริง ๆ ภรัณยารู้สึกว่าแตงไทยที่กินวันนี้มันหอมและหวานกว่าที่ซื้อกินที่กรุงเทพฯมาก ๆ เลย
“ก็แตงไทยที่สวนของคนในหมู่บ้านนี้ล่ะคุณ เขาเอาไปขายให้ที่ร้านผมก็เลยหอบเอามาด้วย นี่ถ้าคนเลือกไม่เป็นนะ ไม่มีทางรู้หรอกว่าลูกไหนมันจะเนื้อนุ่มและให้กลิ่นหอม ๆ แบบนี้” เขารีบอวดสรรพคุณตัวเองเมื่อเธอเผลอถามขึ้น

หลังอาหารหวานเขมินท์ปล่อยให้ทุกคนพักนานกว่ากินมื้อเช้าหน่อย เพราะเริ่มมองเห็นเป้าหมายของงานแล้วว่าจะเป็นไปตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ และมันก็เป็นวิธีที่เขาใช้กับคนงานมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ลุงคำลงสู่นาก่อนใครเพื่อนอีก เพราะแกรู้ดีว่าเจ้านายสาวไม่รู้งาน แกจึงต้องเป็นหัวแรงสำคัญ จะหวังพึ่งเขมินท์ทั้งหมดแกก็เห็นว่าไม่เหมาะ
แกแบกจอบตามไปปล่อยน้ำออกตามปกติ ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง แล้วทุกคนก็ต้องเดินหน้าลงไปทำหน้าทีตัวเองตามปกติ คนไถก็ไถไป คนหว่านก็หว่านไป ภรัณยารู้สึกว่าได้พักตอนกินข้าวเที่ยงนานหน่อย พอกลับลงมาอีกทีก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมามากโข อีกอย่างแดดก็ไม่แรงเหมือนเมื่อตอนเที่ยง ๆ ด้วย แล้วงานสำหรับวันนี้ก็จบลงเมื่ออาทิตย์อัสดง

กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอีกครั้งในเวลาตีสี่ แต่เจ้าของร่างที่นอนขดอยู่กับผ้าห่มยังคงไม่ใส่ใจกับมันอีกเช่นเคย เพราะกำลังหลับสบายและเธอก็รู้สึกเหมือนกับว่า เพิ่งจะล้มตัวลงนอนเมื่อชั่วโมงที่ผ่านนี่เอง
กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ โฮ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ โฮ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

“คุณข้าวคะ คุณข้าว ๆ ๆ ๆ ๆ”
“เอ้อ ๆ ๆ ๆ ตื่นแล้ว ๆ ช่วยกันทำมาหากินกันจริงจริ๊ง ทั้งคน ทั้งหมา ทั้งนาฬิกา”
หญิงสาวจำใจจะต้องลุกจากเตียงเพราะทนเสียงรอบ ๆ ข้างไม่ไหว
“คุณข้าวคะ...”
“รู้แล้วว่าฉันมีหน้าที่จะต้องยกกาแฟไปให้พระเอกของเธอ นี่ยายแต๋น ถามจริง ๆ เหอะ ตกลงนี่ใครเป็นนายจ้างเธอกันแน่ยะ ฉันหรือว่าคุณน้ำของเธอ” ภรัณยาอดประชดไม่ได้เมื่อแต๋นยกกาแฟมาให้

แล้วงานหว่านข้าววันนี้ก็เริ่มขึ้นอีก แต่ว่าวันนี้เจ้าของที่นาสาวไม่มีเสียงแม้แต่จะเจื้อยแจ้วเหมือนเมื่อวานเอาเสียเลย เพราะอาการปวดขา ปวดแขน ปวดหลัง และก็ปวดสารพัดจะปวดดูเหมือนว่าจะมารุมอยู่ในตัวเธอแทบจะทั้งหมด
“มื่อนี่คุณเข่าคือบ่เว้าคือมื่อวานนี่น้อ” ไข่ที่หยุดไถชั่วคราวแซวมา และก็ทำให้ทุก ๆ คนอดแปลกใจตามไปด้วยไม่
(วันนี้ทำไมคุณข้าวไม่พูดจาเหมือนเมื่อวานนี้น้อ)
“จะให้พูดได้ยังไงไหวก็เมื่อวานแม่คุณจ้อทั้งวัน มีแรงมาจ้อวันนี้ต่อก็เก่งเกินคนแล้วล่ะ”
เขมินท์ไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย แค่รู้สึกว่ามันขาดอะไรไปก็แค่นั้น

“โอยปวดตรงนี้ ตรงนี้ด้วย คุณแต๋นทาตรงนี้ด้วย”
ภรัณยาชี้ไปแทบจะทุกจุดของร่างกาย หลังจากที่เสร็จจากอาหารเช้าแล้ว และเธอนั่งพักให้แต๋นเยียวยาความปวดเมื่อยให้
“โธ่คุณข้าวคะ ทนอีกหน่อยนะคะ เดี๋ยวก็ชิน อีกไม่กี่วันก็หว่านเสร็จแล้วค่ะ” แต๋นปลอบใจ
“ก็มันเหนื่อยมันเมื่อยนี่นา ฮื่อ ๆ ๆ ทำไมต้องให้ฉันมาทำงานพวกนี้ด้วยนะ ฮื่อ ๆ ๆ”
“ทนอีกหน่อยนะคะ เพื่อที่นาสามร้อยไร่ไงคะ จะได้เอาไปขายแล้วก็ไปซื้อบริษัทคุณเจตน์ไงคะ ท่องไว้ค่ะ เพื่อเงิน ๆ เดี๋ยวขายหน้าคุณเจตน์ไม่รู้ด้วยนะคะ” แต๋นเข้าใจวิธีที่จะทำให้เจ้านายหายเมื่อย

“เฮ้อ เพื่อเงิน ๆ งั้นก็ลงไปเถอะ เขานำหน้าฉันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
เธอบอกและค่อย ๆ เดินลงตามคนอื่น ๆ ไป พลางก็เรียกกำลังใจให้ตัวเองไป และท่องไว้ในใจตามที่แต๋นบอกเอาไว้ แต่ไม่ว่าเธอจะท่องไปได้สักกี่ร้อยรอบสุดท้ายมันก็มาจบลงที่คำว่า
“เหนื่อย”
อยู่ดี ยิ่งอากาศในวันนี้จะร้อนกว่าเมื่อวานอีกในความรู้สึก โคลนในความรู้สึกก็ลึกกว่าเมื่อวาน ถังที่สะพายอยู่ในความรู้สึกก็หนักกว่าเมื่อวาน ความอยากจะมีอยากจะได้ อยากจะเอาชนะคู่อริมันเริ่มจะถดถอยลงไปทุกนาที ๆ แล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่ากับอีแค่มาหว่านข้าวแค่นี้มันจะยากเย็นแสนเข็นเหลือเกิน ลำพังหว่านข้าวเฉย ๆ ไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้เจ้าแดดที่มันแผดเผามาที่ร่างกายนี่สิ มันทำให้เหนื่อยล้าเต็มที

เขมินท์หันไปมองหน้านาที่เธอหว่านตามหลังอยู่เป็นสองเมตร ก็ให้คิดสงสารไม่น้อย เขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเธอจะทนแดดไปได้อีกสักกี่นาที แต่เขาก็แอบเอาใจช่วยให้เธอสู้ต่อไปอย่างเงียบ ๆ เขายืนรอเธอให้หว่านมาจนถึงเขา แล้วก็ย่นหน้านาของเธอลงให้อีกโดยที่ตัวเองก็หว่านกว้างออกไปอีก

“ไหวมั้ยคุณ” เขาถามในที่สุด เพราะเห็นอีกฝ่ายที่เอาแต่ยืนอยู่เฉย ๆ
“ฉันเหนื่อย ฉันร้อน ทำไมมันแดดแรงอย่างนี้”
เสียงที่อ่อนแรงตอบเขา แล้วร่างของเธอก็เหมือนจะเซ จนเขาต้องรีบเข้าไปพยุงเอาไว้
“อ้ายน้ำพาคุณเข่าไป่พักเทิงเถียงนาซะก๊อนดีกัวคับ ผมสิหว่านถ่า ไห่บักแมวกับบักไก่ไถไป่ก๊อนกะได้”
ไข่เดินมาถึงพอดี จึงเสนอขึ้น ซึ่งเขมินท์ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเห็นอีกฝ่ายดูแล้วไม่ไหวจริง ๆ
(พี่น้ำพาคุณข้าวไปพักที่เถียงนาก่อนดีกว่าครับ ผมจะว่ารอ ให้ไอ้แมวกับไอ้ไข่ไถไปก่อนก็ได้)
“ให้แต๋นไปช่วยมั้ยคะคุณข้าว” แต๋นร้องถาม
“ไม่ต้องหรอกแต๋น เดี๋ยวฉันพักแป๊ปหนึ่งก็จะกลับมา” เธอเห็นว่าไข่คงจะอยากอยู่ใกล้ ๆ แต๋นมากกว่า

“เอ้าคุณ ดื่มน้ำหวานก่อนจะช่วยได้มาก”
เขมินท์ยื่นแก้วน้ำหวานใส่น้ำแข็งให้เธอ เมื่อทั้งสองมาถึงเถียงนาแล้ว
“ดีขึ้นมั้ย”
“อืม ทำไมมันเหนื่อยจังเลย ร้อนด้วย ฉันเหนื่อยรู้มั้ย ทำไมคุณพ่อต้องให้ฉันมาทำงานพวกนี้ด้วย”
เธอบอกพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า เพราะไม่ไหวจริง ๆ
“ท่านคงอยากจะให้คุณได้เห็นว่ามันเหนื่อยยังไงมั้ง” เขาบอก

“เห็นแล้วเป็นยังไงล่ะ คุณรู้มั้ยว่าตั้งแต่เกิดมาฉันแทบจะไม่เคยต้องทำงานกลางแดดแบบนี้เลย แล้วโคลนก็หนักจนฉันจะยกขาไม่ขึ้นอยู่แล้ว เมื่อไหร่มันจะเสร็จล่ะ ฉันอยากจะกลับบ้าน ฉันคิดถึงแม่ป้า คิดถึงยายเจน คิดถึงยายเชอร์รี่ คิดถึงห้องแอร์ คิดถึงสปา คิดถึงซาวด์น่า คิดถึงสยามพารากอน คิดถึงฟูจิ คิดถึงโออิชิ คิดถึงซีสเลอร์ แล้วก็คิดถึงเจ้ามินิของฉัน”
เธอบอกยาวยืดแล้วน้ำตาแห่งความพ่ายแพ้มันก็ไหลออกมาให้เขาได้เห็น ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจะสงสารเธอก่อนหรือว่าจะขำก่อนดี เพราะไอ้ที่บ่น ๆ มาทั้งหมดนี่ไม่ได้น่าสงสารตรงไหนเลย แต่ตรงกันข้ามกลับน่าหมั่นไส้อีกต่างหาก

“ถ้าคุณคิดถึงสิ่งที่คุณพูดมา คุณก็ต้องทำตามที่พ่อคุณต้องการให้ได้สิ เสร็จแล้วคุณอยากจะได้อะไร อยากจะไปไหน คุณก็จะได้ทำตามที่ต้องการ คุณหน่ะโตแล้วนะ อุปสรรคแค่นี้คุณก็จะยอมแพ้แล้วเหรอ”
“ก็ใครจะไปเก่งเหมือนคุณล่ะ ฉันกับคุณไม่เหมือนกันสักหน่อย”
“คุณไม่รู้อะไรวันแรก ๆ ที่มาช่วยคุณพ่อ ผมก็ลมแทบจับแบบนี้ล่ะ นี่คุณลองมองไปดูท้องทุ่งตอนนี้สิ คุณเห็นอะไรมั้ย”
“ไม่เห็นมีอะไรเลย นอกจากคนกับรถไถ แล้วก็โคลน” เธอตอบตรง ๆ

“ใช่มันมีแค่นั้น แต่อีกไม่กี่วัน พอคุณกลับมาดูอีกที มันก็จะเต็มไปด้วยต้นข้าวที่งอกขึ้นมา เมื่อคุณเห็นความเขียวขจีเต็มท้องทุ่ง คุณก็จะภูมิใจเป็นที่สุด เพราะว่ากว่าที่มันจะได้ไปเป็นต้นข้าวนั้น คุณเป็นคนทำให้มันเกิดด้วยความเหนื่อย แล้วเมื่อไหร่ที่คุณมองมัน คุณก็จะเห็นภาพตัวเองและหลาย ๆ คนที่กำลังยืนตากแดดตากฝน หว่านข้าวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

แล้วยิ่งคุณเห็นมันเป็นเม็ดข้าวออกมา คุณยิ่งจะภูมิใจ มันยิ่งมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า เมื่อคุณได้เห็นคนกินข้าวที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของเรา แล้วพวกเขาก็จะบอกลูกสอนหลานว่าเวลากินข้าว อย่าทำให้ข้าวหก เพราะกว่าที่ชาวนาจะปลูกข้าวไปให้พวกเขากินได้นั้นมันลำบากแค่ไหน

แล้วพวกเขาก็จะสอนลูกไปอีกว่า ชาวนาเปรียบเสมือนกระดูสันหลังของชาติ คุณรู้มั้ยทุก ๆ ครั้งที่ผมได้ยินคำพูดเหล่านี้ผมเป็นปลื้มแทบทุกครั้ง แล้วผมก็บอกใคร ๆ ได้อย่างไม่อายเลยว่า ฉันเป็นชาวนา และฉันจะเป็นชาวนาที่จะเรียนให้จบถึงด๊อกเตอร์ด้วย” เขาบอกและก็ยิ้มให้เธอประหนึ่งจะถ่ายทอดสิ่งที่เขาเก็บไว้ในใจให้เธอได้รับรู้

“แล้วทำไมคุณถึงภูมิใจนักล่ะที่ได้เป็นชาวนา ฐานะอย่างคุณ การศึกษาจากเมืองนอกอย่างคุณ ทำไมไม่เอาความรู้ที่เรียนมาไปทำอย่างอื่น มากกว่าที่จะมาขลุกอยู่กับท้องนาแบบนี้ ถ้าจะทำนาแค่นี้ ก็ไม่ต้องไปเรียนสูง ๆ ให้มันเมื่อยหรอก ลุงคำกับป้าหวางไม่ได้เรียนจบสูง ๆ แกยังทำนาได้เลย ไม่เห็นต้องให้คุณหรือฉันมาทำให้มันเมื่อยเลยนี่” เธออดแย้งเขาไม่ได้

“ผมเลือกที่จะมาเป็นแบบนี้ ไม่มีใครบังคับเลย และการที่ผมเรียนจบด้านนี้มาสูง ๆ ก็เพราะต้องการที่จะเอาความรู้มาพัฒนาอาชีพชาวนาให้เป็นแบบอย่างที่ดีแกคนรุ่นหลัง ๆ ถ้าเรามัวแต่ยัดเยียดให้คนที่ไม่ได้เรียนหรือเรียนมาน้อยให้มาเป็นชาวนา ปลูกข้าวให้เรากิน แล้วเมื่อไหร่ อาชีพทำไร่ทำนาจะเจริญก้าวหน้าสักทีล่ะ

คุณเห็นคนที่ทำนาข้าง ๆ ที่นาของคุณมั้ย เขายังใช้ควายไถนา ยังคงก้ม ๆ เงย ดำนาจนหลังขดหลังแข็ง ทั้ง ๆ ที่มีทางเลือกอื่น ๆ ที่ดีกว่านั้น เช่น เปลี่ยนจากดำเป็นหว่าน หรือใช้เครื่องจักรแทนควาย แต่เขาก็ไม่ทำ เพราะว่าเขาไม่กล้าที่จะลุงทุน เขาไม่กล้าที่จะเป็นหนี้ หรือพูดง่าย ๆ ว่าเขากลัวว่าเป็นหนี้แล้วจะถูกยึดที่นา แล้วก็ไม่มีที่ทำมาหากิน ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้ยึดกันง่าย ๆ เลย
ถ้าเขามีความรู้มากกว่านี้ เขาก็จะไม่กลัวจนเกินเหตุ ทั้ง ๆ ที่ธนาคารเขาก็มาให้ความกระจ่างแก่ชาวนาหลาย ๆ คน กับการทำนาแบบใหม่โดยใช้เครื่องทุ่นแรง แต่ก็ไม่มีใครกล้า เพราะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็เลยต้องทำแบบเก่า ๆ อยู่อย่างนั้น ส่วนชาวนาทางฟากนี้คุณจะเห็นว่าเขาใช้เครื่องทุ่นแรงใช่มั้ย คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมเขาถึงใช้”

“ทำไมหละ” เธอถามแค่นั้น
“ก็เพราะเขาเห็นผมกับคุณพ่อทำ เขาก็มาถามและทำตาม เขาไม่เข้าใจอะไรเขาก็จะมาขอความรู้ มีปัญหาเรื่องข้าวเขาก็จะมาให้ผมช่วยดูให้ อันไหนผมรู้ผมก็จะบอกไป ส่วนอันไหนที่ผมไม่รู้ผมก็จะไปค้นคว้าหามาบอกเขา พอเขารู้ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่มีปัญหาแบบเดียวกับเขาก็พลอยรู้ไปด้วย แล้วอย่างนี้คุณยังอยากจะให้คนที่มีความรู้สูง ๆ ไปทำอาชีพอื่นอีกเหรอ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าหลาย ๆ ครั้งที่เธอเคยได้ยินมา จนทำให้เธอเห็นภาพตามเขาไปด้วย และเธอก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่แล้ว

“ฉันคงจะแย่ในสายตาของคุณและหลาย ๆ คนมาก ๆ เลยนะ ดูสิเป็นเจ้าของนาแท้ ๆ แต่กลับปล่อยให้คุณ ซึ่งเป็นคนอื่นมาคอยช่วย ถ้าคุณพ่อรู้ท่านก็คงจะไม่ชอบแน่ ๆ เลย” เธอเริ่มได้คิด
“ถ้าคุณลุกขึ้น แล้วก็ลงไปที่หน้านาตอนนี้ก็ไม่ถือว่าแย่สักเท่าไหร่หรอก แต่ถ้านานกว่านี้จะต้องแย่แน่ ๆ เพราะเจ้าไข่มันยังไม่ได้ไปไถส่วนของมันเลย มัวแต่อยากจีบแต๋นอยู่แบบนั้น ส่วนผมก็จะแย่ตามไปด้วย เพราะไม่ได้อยู่คุมลูกน้อง การที่จะให้เขาทำงานให้เราได้ดี เราก็ต้องคอยดูอยู่ใกล้ ๆ ด้วย คุณพอจะมีแรงขึ้นมาบ้างหรือยัง”
เขาถามและยิ้มให้เธอแต่คนฟังไม่ได้ยิ้มตาม ตรงกันข้ามกลับทำหน้าบึ้งขึ้นอีกเพราะถูกเขาเหน็บลึก ๆ เข้าให้

“แหม แค่มาพักนิดเดียวก็โดนว่าแล้ว”
“ผมไม่ได้ว่า แค่อยากจะให้คุณรู้และเข้มแข็งแค่นั้น งั้นเราไปกันเถอะเหลืองานอีกตั้งเยอะแยะ และอย่าคิดนะว่าวันนี้จะให้หว่านน้อยกว่าเมื่อวาน ยังไง ๆ ก็ต้องได้ ๖๐ ไร่ขึ้นเหมือนเดิม” เขาบอกและลุกขึ้น
“รู้แล้วน่า สั่งจริง” เธอทำเสียงอู้อี้
“คุณไม่เอาผ้าคลุมมันจะเป็นอะไรมั้ย ผมว่าที่คุณจะเป็นลมอยู่นี่ ก็เพราะไอ้ผ้าคลุมนี่แหละ ตากแดดสักนิดสักหน่อย หน้าสวย ๆ ขาว ๆ ของคุณมันก็คงจะไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง”
เขาอดว่าไม่ได้ เมื่อเห็นเธอเอาผ้าคลุมหน้าอีก

“น้อยไปล่ะสิ ฉันยอมตายดีกว่าให้หน้าดำ ดูสิป้าหวางกับแต๋นก็คลุมเหมือนกันไม่เห็นเขาเป็นอะไรเลย” เธอบอก
“ตามใจ แต่ถ้าเป็นลมคราวนี้ผมจะไม่มาช่วย แล้วจะปล่อยให้นั่งจมโคลนให้เข็ด พูดอะไรไม่เคยเชื่อเลย ถ้าน้ามณฑลกับน้านาดียังอยู่นะ ผมจะคืนคุณให้ท่านไปดูแลเองเลย” เขาอดบ่นไม่ได้
“ไม่ต้องพูดมากเลย พอได้ทีนี่เอาใหญ่เชียวนะ ไปทำงานได้ฉันพร้อมแล้ว”
เธอบอกแล้วก็เดินนำเขาไปที่หน้านาอีกที ทั้ง ๆ ที่ยังเหนื่อยอยู่ เขาได้แต่ส่ายหน้าแล้วก็เดินตามไปอย่างนั้น แล้วคะแนนสเปคของเขาก็พุ่งขึ้นมาที่สี่สิบเข้าให้แล้ว

“ไคแนแล่วบ้อจ้าคุณเข่า” ป้าหวางร้องถามเมื่อเห็นเธอเดินลงมา (ค่อยยังชั่วแล้วเหรอคะคุณข้าว)
“ค่ะ” เธอรับคำแค่นั้น
“แหม คุณน้ำนี่นอกจากจะเป็นชาวนาแล้วยังเป็นหมออีกนะคะ ดูสิคะทำให้สเจ้านายแต๋นเดินกลับมาทำงานได้ด้วย”
แต๋นแซวเจ้านาย
“เงียบไปเลยยายแต๋น ไหนทำได้ไปถึงไหนแล้ว มัวแต่มองหนุ่ม ๆ อยู่นั่นล่ะ”
เธอบอกแล้วก็เริ่มหว่านข้าวต่อไป ทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกว่าแดดมันก็ไม่ได้จะบางเบาลงเลยแม้แต่น้อย แต่พอคิดถึงคำพูดของเขาแล้ว เธอก็เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะต้องทำหน้าที่ตัวเองให้สำเร็จ

“ยายข้าว ๆ ๆ” เสียงร้องเรียกมาจากกลางนา ทำให้ทุกคนหันไปหาต้นเสียงทันที
“แม่ป้า ยายเจน ยายเชอร์รี่ แต๋นดูสิว่าใครเจนมา แม่ป้า ๆ”
ความดีใจทำให้เธอทิ้งถังข้าวไว้ตรงนั้น แล้วก็ออกวิ่งลุยโคลนไปหาคนทั้งสามทันที หมวกและผ้าคลุมผมแทบจะปลิวไปจากมือในระหว่างที่เธอวิ่งไป ส่วนผู้มาเยือนก็วิ่งมาหาด้วยความคิดถึงไม่แพ้กัน
“แม่ป้า ข้าวคิดถึงแม่ป้าที่สุดเลยค่ะ ข้าวเหนื่อยมาก ๆ ด้วย ร้อนมาก ๆ ด้วยค่ะ แม่ป้ามาได้ยังไงคะ ทำไมไม่โทรบอกข้าวก่อนว่าจะมา เมื่อกี้ข้าวเหนื่อยจนเกือบจะเป็นลมแหน่ะคะแม่ป้า”
ปากก็พร่ำบอกแม่ป้าส่วนวงแขนก็โอบกอดแม่ป้าด้วยความคิดถึง

“ใจเย็น ๆ สิยายข้าว ดูซิเอาโคลนมาเปื้อนแม่ป้าหมดแล้วนี่ แล้วร้องไห้ทำไมกัน อะไรโตจนเจ้าไข่ตุ๋นจะเลียก้นไม่ถึงแล้วยังจะมาขี้แยอีก อายคนอื่น ๆ เขาบ้างสิ” มณฑาเอ็ดหลานรัก แต่ใบหน้านั้นยิ้มแก้มแทบปริที่ได้กอดเธอเอาไว้
“เจน เชอร์รี่ คิดถึงจังเลย” เธอโผเข้าไปกอดเพื่อนรักเมื่อปล่อยมือจากแม่ป้า
“เราก็คิดถึงข้าวเหมือนกัน โอ้โห ดูสิคะแม่ป้า ตอนนี้ยายข้าวกลายเป็นชาวนาแบบเต็มตัวแล้วนะคะ ไหนขอดูหน้าหน่อยสิ อืม ยังสวยอยู่ แต่เสื้อผ้านี่ใช้ไม่ได้เลย เปื้อนเป็นบ้าเลยยายข้าว ไหนทำนาเป็นยังไงขอลองมั่งสิ พวกเราตั้งใจจะมาช่วยเธอปลูกข้าวอย่างเต็มที่เลยนะ อ้อ แล้วก็จ่ายค่าเครื่องมาด้วย โคตรแพงเลย” เจนจิราแหย่เพื่อน

“ใช่แล้วหล่อน นี่รู้มั้ยว่าตั้งแต่หล่อนมาอยู่ที่นี่นะ ค่าเครื่องฉันหมดไปตั้งหลายบาทแล้ว กลับไปจะเรียกทุนคืนให้เข็ด”
เชอร์รี่รีบทวงเธอเอาไว้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก
“แหม หล่อน งกจริง” เธอบ่น แต่ก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“คุณลุงก็มาด้วยเหรอคะ สวัสดีค่ะ” ภรัณยาเพิ่งจะเห็นเขมยืนอยู่
“คุณลุงไปรับเรากับแม่ป้ามาจากสนามบินด้วยล่ะ” เจนจิราบอก
“ใช่แต่ทีหลังนะฉันว่าให้ลูกคุณลุงไปรับจะเวิร์คกว่านะหล่อน” เชอร์รี่อดเสียดายไม่ได้
“เป็นไงหนูข้าว เป็นชาวนาไปถึงไหนแล้ว” เขมทักและยิ้มให้เธอด้วยความเอ็นดู
“ก็ดีค่ะ” เธอตอบแค่นั้น

“แม่ป้าไปพักที่เถียงนาก่อนดีกว่านะคะ ข้าวจะไปหว่านให้เสร็จก่อนค่ะ วันนี้อู้มาตั้งหลายนาทีแล้ว”
“พักทำไมล่ะ ก็พวกเราตั้งใจจะมาช่วย ก็เริ่มตอนนี้เลยสิ จริงมั้ยสองสาว” มณฑาบอก
“ใช่นี่เราเตรียมตัวมาพร้อมเลยเห็นมั้ย ผ้าคลุมหน้าแล้วก็หมวกด้วย และนี่ที่สำคัญครีมกันแดด”
เจนจิราชูข้าวของให้เพื่อนรักดู
“เริดยะหล่อน งั้นตามมาเลย เดินระวัง ๆ นะคะแม่ป้าเดี๋ยวโคลนดูดค่ะ”
เธอบอกแล้วก็เดินนำหน้าคนทั้งหมดลงไปหน้านาที่มีทุกคนรออยู่

“สวัสดีทุกคนจ๊ะ” มณฑารับไหว้จากทุกคนเมื่อเดินมาถึงหน้านา
“เจ้าน้ำเป็นไงบ้างวันนี้” เขมทักทายลูกชาย
“ก็พอทนครับคุณพ่อ วันนี้นักเรียนเกเรนิดหน่อยแต่ก็กลับเข้าห้องเรียนเรียบร้อยแล้วครับ”
เขาบอกแล้วก็หันไปหาเธอพร้อมกับยักคิ้วให้แบบยียวน
“อุ๊ยตายแล้ว ทำไมมันเหนอะหน่ะอย่างนี้ล่ะยายข้าว อุ๊ยยายเจนหล่อนว่าเราคิดผิดหรือเปล่านี่ที่จะมาช่วยยายข้าวหน่ะ นี่ดูสิยีนส์ตัวโปรดของฉันเปื้อนหมดแล้ว” เชอร์รี่ที่ลงมาเดินในโคลนไม่เท่าไหร่ ก็มีอาการโคม่ายิ่งกว่าภรัณยาอีก

“นั่นสิยายข้าว ตายแล้วเธอทำมาได้ยังไงนี่ อี๊ เปื้อนหมดเลย เฮ้อ แม่ป้าคะเราจะไหวมั้ยคะนี่” เจนจิราเห็นด้วย
“เดี๋ยวก็จะชินเองล่ะหลาน ๆ” มณฑาบอก
“นี่หล่อนทำเป็นบ่น เป็นไงล่ะทีนี้ก็รู้แล้วใช่มั้ยว่ากว่าที่จะได้ข้าวให้พวกเธอได้เขมือบอยู่ทุกวันเนี๊ยะมันยากแค่ไหน แล้วพวกหล่อนรู้มั้ยว่าวันนี้ฉันตื่นตั้งแต่ตีสี่นะจะบอกให้”
“ฮ้า ตีสี่” ทั้งสองสาวร้องประสานเสียงกัน เรียกเสียงหัวเราะให้กับคนข้าง ๆ ได้อย่างครื้นเครงเลยทีเดียว
“แม่ป้าซื้ออะไรมาฝากข้าวบ้างคะ” เธอหันไปถามแม่ป้าที่หว่านข้าวอยู่ข้าง ๆ โดยมีเขมคอยสอนว่าต้องทำยังไง
“เยอะแยะของโปรดเราทั้งนั้นเลย” มณฑาบอก
“มีอะไรบ้างยายเจนบอกมาเร็ว ๆ เข้า” เธออยากจะรู้ทันที

“นี่พิซซ่า ฮัท หน้าเดอลุ๊คแป้งบางกรอบ สองถาดใหญ่ ๆ พร้อมปีกไก่และขนมปังกระเทียบ เคเอฟซี อีกสองถัง ตบท้ายด้วย เซเวนเซ่น แต่ทำใจหน่อยนะมันอาจจะละลายไปหน่อยหนึ่ง แล้วก็มีของแห้งอีกเยอะแยะเลยนะยายข้าว”
เจนจิรายกของออกมาจากถุงหลังจากที่ทุกคนได้เวลาพักกินข้าวเที่ยงในเวลาบ่ายสองแล้ว

“หือแม่คุณ โชคช่วยจริง ๆ นะบ่นปุ๊ปมาให้กินปั๊บ” เขาอดเหน็บในใจไม่ได้เมื่อเห็นของฝากของเธอ

“โอ้โห เหมือนแม่ป้ามีหูทิพย์เลยค่ะ ข้าวเพิ่งจะอยากกินอยู่หยก ๆ ข้าวรักแม่ป้าที่สุดในโลกเลย”
เธอบอกแล้วก็เข้าไปกอดแม่ป้าแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ไปอีกหนึ่งครั้ง ความสดใสของเธอเมื่อได้เห็นมณฑาและเพื่อนรักมา พร้อม ๆ กับมีของมาฝาก พลอยทำให้ทุกคนสดชื่นไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่เขา
“ยังไม่หมดนะหล่อน นี่ของฉันกับยายเจนบ้าง คุ๊กกี้ถุงเบ่อเร่อ ฟรุ๊ตเค้กที่เธอชอบ เอแคลไส้ครีม แล้วนี่ครัวซองท์ของโปรดเธอ และตบท้ายด้วยแซนดิ์วิชทูน่าอีกตั้งเยอะ แล้วหล่อนรู้มั้ยว่าฉันนั่งเครื่องมาด้วยความลำบากเพราะกลัวเจ้าเค้กนี่เละแท้ ๆ เลย” เชอร์รี่รีบอวดของฝาก

“โอ้โห เรารักเพื่อนที่สุดเลย ทำไมเรามีเพื่อนที่น่ารักอย่างนี้น๊า ขอบใจนะจ๊ะเพื่อนรัก”
เธอเข้าไปกอดและหอมแก้มเพื่อนรักทั้งสองคน
“งั้นตกลงวันนี้เราจะกินข้าวเที่ยงหรือว่ากินพิซซ่าดีล่ะคะคุณข้าว” แต๋นถาม
“ใครอยากจะกินอะไรก็ตามสบายเลย มีเพียบ แต่สำหรับฉันนะขอปีกไก่กับขนมปังกระเทียมแน่ ๆ แม่ป้าเอาอะไรคะ”
เธอถามขณะช่วยจัดอาหารวางเรียงเป็นแถวยาวเหมือนทุกครั้ง แล้วทุกคนก็ช่วยกันจัดการกับของฝากจนเกือบหมด

“นี่คุณฉันขอได้มั้ยชิ้นสุดท้าย” เธอร้องขอจากเขมินท์ที่กำลังจะหยิบพิซซ่าชิ้นสุดท้าย
“โอ้โห อะไรกันคุณ ผมเห็นคุณกินไปตั้งสองชิ้นแล้วนะ ยังไม่รวมปีกไก่กับขนมปังกระเทียมอีก” เขาว่า
“ฉันไม่ได้ขอไว้ให้ตัวเองสักหน่อย แต่ฉันจะขอไว้ให้เจ้าไข่ตุ๋น ดูสิมันถูกขังไว้ที่บ้านสองวันแล้ว กลับไปจะได้มีของฝากให้มั่ง คุณหน่ะกินไปตั้งหลายชิ้นแล้วนะ ไก่อีก” เธอบอกแต่โดยดี
“เอาไปเลย อะไรกันห่วงหมามากกว่าคน เดี๋ยวจะให้เจ้าไข่ตุ๋นมาช่วยหว่านข้าวแทนซะดีมั้ยนี่ คุณน้าดูนะครับว่าหลานคุณน้าน่ารักแค่ไหน คุณน้ามาอยู่นาน ๆ ก็ดีนะครับ จะได้ช่วยปรามหน่อย เดี๋ยวนี้นะพูดอะไรไม่ได้เลย เถียงคำไม่ตกฟาก ให้หว่านข้าวเยอะ ๆ ก็บ่นว่าเหนื่อย แต่ก็บ่นว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ ๆ อยู่นั่นล่ะ” เขาเริ่มฟ้องมณฑา

“จ๊ะเดี๋ยวน้าจะจัดให้” มณฑาบอกและยิ้มให้เขา
“แม่ป้าอย่าไปเชื่อนะคะ คุณลุงรู้ดีว่าข้าวโดนเขาแกล้งก่อนค่ะ แม่ป้ารู้มั้ยคะว่าเวลาเขามาช่วยข้าวทำอะไรนะคะเขาชอบทวงบุญคุณค่ะ ข้าวเบื่อจะแย่อยู่แล้ว” เธออดฟ้องด้วยไม่ได้
“พอแล้ว ๆ ทั้งสองคนเลย โน่นคนขยันลงไปกันหมดแล้ว เราจะไปกันได้หรือยัง”
เขมรีบห้ามเพราะทุกคนพากันรีบลงไปที่หน้านากันหมดแล้ว
“ขี้ฟ้อง” เขาเดินมากระซิบที่ข้าง ๆ หูเธอก่อนจะเดินไปตามทาง
“ขี้ทวง” ส่วนเธอก็ตะโกนตามหลังเขาไป โดยมีเจนจิราและเชอร์รี่ตามไปติด ๆ

“ดูสิคะสองคนนี้ทะเลาะกันเหมือนเด็ก ๆ เลย” มณฑามองตามหลังทั้งสองคนไปแล้วก็หันมายิ้มกับเขม
“ก็เขาเคยเล่นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ก็ย่อมคุ้นเคยกันเป็นธรรมดา”
“แต่ยายข้าวอายุแค่สามขวบจะไปจำอะไรได้คะ” มณฑาแย้ง
“มันอาจจะเป็นเพราะความคุ้นเคยที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ก็ได้นะคุณมณ ผมว่าเรารีบไปเถอะ เห็นคนอื่นทำนาแล้วก็นึกสนุกอยากจะมาทำมั่งไม่ได้ทำตั้งนานสองนานแล้ว”
เขมบอกแล้วก็เดินนำเธอไป เพราะตามปกติเขาก็ไม่ค่อยจะมาทำงานพวกนี้เลย ปล่อยให้ลูกชายจัดการเองทั้งหมด แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ เพราะมีคนพิเศษมาด้วย เขาจึงไม่ลังเลที่จะมาร่วมเลย









 

Create Date : 08 ตุลาคม 2551
0 comments
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 9:48:39 น.
Counter : 348 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.