Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ร้อยรวงใจ ๓๙ (ธัญรัตน์)




ปลายพฤศจิกายนเป็นเวลาที่ข้าวส่วนใหญ่ในท้องทุ่งนา กำลังสุกเหลืองอร่ามกินอาณาบริเวณไปทั่ว ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็จะเห็นแต่สีเหลืองทองปกคลุมไปทั่วอาณาเขต และในยุคที่ข้าวราคาดีแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากทองที่กำลังโปรยปรายอยู่ทั่วทุ่งเลยแม้แต่น้อย ชาวบ้านต่างมีสีหน้าที่สดชื่นไปตาม ๆ กันที่เห็นผลผลิตของตัวเองอยู่เต็มท้องนา

“เจ้าอุ้มบุญ” หรือที่ชาวบ้านบางคนเรียกว่า “รถเทค” กำลังทำหน้าที่อย่างขมักเขม้น สร้างความตื่นเต้นให้กับภรัณยาไม่น้อยเลย เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ช่างช่วยงานชาวนาให้สบายขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว เธอยืนมองเจ้าอุ้มบุญที่กำลังอุ้มเอาข้าวจากต้นลำเลียงผ่านท่อไปเก็บไว้ในถังที่อยู่บนรถ ซึ่งจุข้าวได้ถึง ๒.๕ ตันเลยทีเดียว

พอข้าวเต็มถังก็จะถูกถ่ายไปใส่รถหกล้อที่มาจอดรออยู่แล้ว เมื่อข้าวเต็มรถ ก็จะถูกขับไปถ่ายข้าวไว้ที่โรงสีในตำบล ที่เปิดรอรับซื้อข้าวจากชาวนาอยู่แล้ว และก็จะกลับมารับข้าวจากเจ้าอุ้มบุญใหม่อีกครั้ง และก็จะวนเวียนอยู่แบบนี้ จนกว่าจะเกี่ยวข้าวเสร็จหมด ที่นาของเขมินท์ถูกเจ้าอุ้มบุญเกี่ยวข้าวไปก่อน ส่วนของภรัณยาต้องรอให้เขาเสร็จก่อน เพราะที่นาอยู่ด้านใน

เธองอนนิด ๆ ว่านาตัวเองต้องเสร็จทีหลัง แต่ก็จนด้วยเหตุผล เพราะต้นข้าวของเขากันเอาไว้เต็มทุ่ง คงจะให้รถเหยียบข้าวของเขาเข้าไปเกี่ยวข้าวเธอแทนไม่ได้แน่ ๆ เต้นท์ผ้าใบขนาดใหญ่ถูกกางไว้ที่กลางทุ่งตรงที่เจ้าอุ้มบุญเกี่ยวข้าวออกไปแล้ว พลอยทำให้เธอและคนอื่น ๆ ที่มายืนดูการเกี่ยวข้าวได้หลบแดดไปด้วย

“เผื่อเอาไว้ก่อน เพราะบางปีเกี่ยวอยู่ดี ๆ ฝนก็ตกลงมา แต่ก็ไม่บ่อยหรอก กางเอาไว้กันพลาดแค่นั้น เพราะเคยเกือบพลาดมาแล้วปีหนึ่ง วิ่งกันกระเจิงเลย”เขาให้เหตุผล เมื่อเธอเกิดสงสัยว่าจะมีเต้นท์ไว้ทำไม

ภรัณยารู้สึกว่าชอบหน้าเก็บเกี่ยวมากกว่าหน้าหว่าน เพราะมันไม่มีโคลนมาคอยเฉอะแฉะ เธอไม่ต้องถูกแต๋นปลุกตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ และเธอไม่ต้องทำอะไรเลย ได้แต่ยืนมองเจ้าอุ้มบุญทำแค่นั้นก็พอ และที่สำคัญที่สุดมันเป็นเวลาที่เธอจะได้เรียกทุนคืนกลับมาใส่กระเป๋าตัวเองแล้ว ซึ่งตอนนี้เธอเองยังไม่ได้สรุปยอดค่าใช้จ่ายที่แน่นอนว่าเป็นเงินเท่าไหร่

“แต่ที่แน่นอนเป็นที่สุดในตอนนี้ก็คือ ข้าวที่ฉันปลูกคงได้มากกว่าครึ่งที่นายน้ำทำไว้แน่ ๆ เฮ้อ...อันที่จริงการทำนามันก็ไม่ยากสักเท่าไหร่หรอกน้อ แป๊บ ๆ ก็ได้เห็นเงินแล้ว ฮ้า คุณพ่อขา ข้าวเดินมาถึงครึ่งทางแล้วนะคะ อีกแค่ปีเดียวภาระกิจของข้าวก็จะสำเร็จแล้วค่ะ”

เธอยืนยิ้มและคิดอะไร ๆ เพลิน ๆ อยู่คนเดียว จนแต๋นหันมามองแต่ไม่ได้ถามอะไร เขมินท์ขึ้นเจ้าอุ้มบุญเพื่อเปลี่ยนให้ไข่ไปกินข้าวก่อน ส่วนไก่นั้นถูกเขมินท์สั่งให้ไปไถกลบซังข้าวที่เกี่ยวออกไปแล้วเลย ภรัณยาอยากจะถามเขาว่าทำไมถึงต้องรีบไถกลบนัก ทั้ง ๆ ที่มีเวลาอีกมากมาย แต่เธอก็เห็นเขายุ่ง ๆ อยู่
และก็พอ ๆ กับแม่ป้าและคุณลุง ที่ตอนนี้วิ่งวุ่นยุ่งเรื่องการเตรียมงานแต่งงานเหมือนกัน คุณลุงกับแม่ป้ายึดเอาวันขึ้นปีใหม่เป็นวันทำบุญบ้านและแต่งงานไปในวันเดียวกันเลย

“คุณข้าวเป็นยังไงบ้างครับ ได้ข้าวเยอะหรือเปล่า”
ดนัยเดินมาหาที่เต้นท์ โดยในมือก็หิ้วถุงที่มีกระป๋องน้ำอัดลมบรรจุมาจนเต็ม
“ยังไม่รู้เลยค่ะ นาของข้าวยังไม่ได้เกี่ยวต้องรอให้ของคุณน้ำเสร็จไปก่อน” เธอตอบและยิ้มให้เขา
“น้ำครับ ผมซื้อมาฝาก”
เขายื่นกระป๋องน้ำให้เธอ ส่วนสมิตานั้นก็รีบหยิบกระป๋องน้ำไปยื่นให้เขมินท์ที่นั่งรอเจ้าอุ้มบุญถ่ายข้าวใส่รถหกล้ออยู่
“ขอบคุณครับน้องโอ๊ะ” เขาบอกและยิ้มให้ แต่สายตานั้นก็แอบมองไปยังอีกคนที่มีดนัยยืนอยู่ใกล้ ๆ

เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็หันกลับมาสนใจงานตัวเองในที่สุด เพราะเหลือข้าวอีกเยอะที่ยังไม่ได้เกี่ยว แถมก็ยังมีข้าวของชาวบ้านอีกหลาย ๆ คนที่รอเจ้าอุ้มบุญของเขาอยู่อีก ไหนจะมีงานแต่งงานของพ่อรออยู่ข้างหน้าอีก

“ทำไมคุณถึงรีบไถกลบซังข้าวจังเลย” เธอถามเมื่องานเก็บเกี่ยววันนี้เสร็จสิ้นลง ดนัยและสมิตาก็กลับบ้านไปแล้ว
“ผมจะหว่านข้าวนาปรังไง ก็ต้องรีบทำสิ กะว่าจะให้เสร็จก่อนงานแต่งงานคุณพ่อ ไม่รู้ว่าจะทันหรือเปล่า”
เขาบอกขณะที่ช่วยหิ้วเอาข้าวของขึ้นไปไว้บนรถ
“แหม ทำไมต้องทำเยอะขนาดนี้ด้วยล่ะ งกจริง ๆ เลย ใจจริงนี่คุณจะไม่พักบ้างรึไง ถ้าตัวเองไม่เหนื่อยก็น่าจะคิดว่าคนงานจะเหนื่อยบ้าง นี่อะไรข้าวยังเกี่ยวไม่หมดนาเลย ก็จะปลูกใหม่อีกแล้ว” เธออดว่าเขาไม่ได้ เพราะเหนื่อยแทนเขานั่นเอง
“อ้าวคุณ ผมมีภาระจะต้องรับผิดชอบนะ ดูสิคนงานไม่รู้กี่คนผมต้องจ่ายเงินเดือนเขาทุกเดือน ถ้าขืนมารอทำนาปีละครั้งละก้อได้กินแกลบแทนข้าวแน่ ๆ เลย”

“แหวะ ทำมาเป็นอ้าง งกล่ะสิไม่ว่า คอยดูนะฉันจะไม่มาช่วยคุณหว่านข้าวหรอก”
“ไม่เป็นไร ส่งลุงคำกับป้าหวางมาก็พอ อ้อ แถมแต๋นมาช่วยทำกับข้าวอีกคนด้วยล่ะ ส่วนคุณนะผมให้นอนอยู่บ้านเฉย ๆ เลยเอา หรือจะไปเสริมสวย หรือไปสปา หรือจะไปช๊อปปิ้งยังได้เลย เพราะทำงานเวลาไม่มีคุณหนะ ผมนี่เป็นสุขที่สุดเลย”
เขาว่าก่อนที่จะเดินจ้ำเข้าบ้าน
“นี่ ๆ คนบ้า คุณว่าฉันหาแต่ทุกข์มาให้คุณเหรอ คอยดูนะฉันจะทำให้คุณรู้ว่า การที่ไม่มีฉันอยู่ใกล้ ๆ มันเป็นยังไง แล้วก็ไม่ต้องโทรไปตามที่บ้านด้วย จ้างให้ก็ไม่มา” เธอโมโหสุดขีด ได้แต่วิ่งตามเขาไป

“อะไรกันยายข้าว เอะอะโวยวายอีกแล้วนะเรา ไปว่าอะไรพี่เค้าอีก”
มณฑาได้ยินแต่เสียงหลานสาวบ่นตามหลังเขาที่ขึ้นบ้านหนีเธอไปแล้ว
“นั่นสิหนูข้าวมีอะไร” เขมก็พลอยอยากจะรู้ไปด้วย
“ก็ลูกชายคุณลุงสิคะ หาว่าข้าวเอาแต่ความทุกข์มาให้ คอยดูนะคะสักวันข้าวจะทำให้เขารู้สึกเวลาไม่มีข้าวอยู่แถวนี้ แม่ป้าคะกลับบ้านเถอะค่ะ คุณลุงคะวันนี้ไปกินข้าวที่บ้านข้าวนะคะ”
เธอบอกแล้วก็จูงเอามือแม่ป้าเดินลงบ้านไป ทำให้เขมินท์ที่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมาเมื่อแม่คุณกลับไปแล้ว เขมมองหน้าลูกชายอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

แล้ววันงานแต่งงานของเขมและมณฑาก็มาถึง ช่วงเช้าเป็นพิธีทำบุญบ้านซึ่งเขมจะทำแบบนี้ทุก ๆ ปี ๆ ละสองครั้ง คือปีใหม่และสงกรานต์ เพื่อน ๆ ของเขมินท์มาร่วมงานแค่บางคนเท่านั้น ส่วนเพื่อน ๆ ของภรัณยาก็เช่นกัน มีแค่เจนจิราและเชอร์รี่ และก็มีเจตน์ที่เพิ่งจะนั่งเครื่องมาถึงเมื่อสักครู่นี้เอง ซึ่งเขาจะกลับไปในวันเดียวกันด้วย

โสภณและครอบครัวก็มาร่วมทำบุญด้วย สมิตาก็ได้โอกาสเข้าไปนั่งฟังพระสวดข้าง ๆ เขมินท์เช่นเคย โดยมีพ่อและแม่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ส่วนดนัยนั้นขอแยกตัวไปนั่งข้าง ๆ ภรัณยา และมันก็ทำให้ผู้เป็นแม่ไม่พอใจเอามาก ๆ ที่ลูกชายไม่ได้ดังใจอีกแล้ว แต่ก็ต้องยอมปล่อยไปก่อน

เสร็จจากทำบุญช่วงเช้า พอบ่ายแก่ ๆ ก็มีการจัดการบายศรีสู่ขวัญให้เขมและมณฑา ซึ่งคนแทบจะทั้งหมู่บ้านต่างก็มาร่วมงานกันอย่างเนืองแน่น แล้วก็ใช้ด้ายที่ทำเอาไว้เป็นเส้น ๆ และแขวนไว้กันพานบายศรีมาผูกข้อไม้ข้อมือให้คนทั้งสอง พร้อมร้องเรียกขวัญให้มาอยู่กับเนื้อกับตัว ภรัณยาและคนอื่น ๆ ที่ชาวบ้านถือว่าเป็นคนต่างถิ่นที่มาร่วมงานพลอยได้รับการผูกข้อมือไปด้วย แต่ก็ไม่มาก

เจตน์ที่ไม่เคยมีโอกาสมาร่วมงานประเพณีแบบนี้ พลอยรู้สึกดีไปด้วย เพราะชาวบ้านต่างก็เข้ามาผูกข้อมือและอวยพรให้เขาเหมือนกัน เขารู้สึกซาบซึ้งใจที่ได้เห็นชาวบ้านต่างก็มาร่วมอวยพรให้มณฑาและเขมให้มีแต่ความสุข จนทำให้เขาอดคิดไปถึงความดีของมณฑาที่เคยทำกับเขามาตั้งแต่ที่เขายังเด็ก ๆ อยู่ไม่ได้ เขาจึงค่อย ๆ คานเข่าเข้าไปหามณฑา และผูกข้อมือให้

“ผมคงไม่บังอาจจะอวยพรให้คุณน้านะครับ แค่อยากจะขอบคุณมาก ๆ ครับ ที่คุณน้าช่วยคุณพ่อเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถ้าผมเคยล่วงเกินอะไรคุณน้าเอาไว้ ก็ขอให้คุณน้ายกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
เขาบอกและก้มกราบไปที่ตักของมณฑาด้วยความรู้สึกที่เป็นบวกจริง ๆ ในหน้าที่แม่เลี้ยงที่มณฑาได้ให้เขามา
“ขอบใจมาก ๆ นะตาเจตน์” มณฑายิ้มรับและลูบศีรษะเขาอย่างเอ็นดู เพราะยังไง ๆ มณฑาก็ยังเอ็นดูเขาอยู่ลึก ๆ ถึงเขาจะเคยทำเรื่องแสบ ๆ เอาไว้ แต่มณฑาก็เลือกที่จะไม่จดจำมัน

“ฉันดีใจกับเธอด้วยนะข้าว ที่เธอทำนาผ่านไปได้ปีหนึ่งแล้ว ปีต่อไปของเธอคงจะไม่ยุ่งยากแล้วมั้ง”
เจตน์ที่เดินมานั่งใกล้ ๆ ภรัณยา เมื่อพิธีบายศรีใกล้จะจบลง
“ขอบใจนะนายเจตน์ แต่นายอย่าคิดนะ ว่าการที่นายทำให้แม่ป้าหายเคืองนายแล้ว ฉันจะไม่เอาเรื่องนาย ไม่มีทางซะหรอก และทันทีที่ฉันขายที่นาได้ ฉันจะกลับไปเอาคืนจากนาย เตรียมรับมือฉันไว้ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน ฉันจะซื้อบริษัททัวร์ของนายให้มาเป็นของฉันให้ได้” เธอบอกตามที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะยังไง ๆ ก็ไม่มีวันลืมที่เจตน์เคยทำไว้กับเธอและแม่ป้าเด็ดขาด

“งั้น...ฉันก็จะเฝ้าตั้งหน้าตั้งรอวันนั้นของเธอก็แล้วกันนะ...แต่...เอ...ว่าแต่เธอจะขายที่นาได้สักเท่าไหร่นะ ถึงจะมีเงินพอที่จะมาซื้อบริษัทของฉันได้หน่ะ” เขาทำเสียงยียวนใส่เธอ แต่ก็แปลกใจไม่หายที่ทำไมเขาไม่รู้สึกโกรธหรือโมโหเหมือนเมื่อก่อนกับคำพูดที่ออกอาการขู่ ๆ ของเธอ
“ถ้าเงินฉันไม่พอ ฉันก็จะไปเปิดบริษัททัวร์แข่งกับนายแทน นายก็รู้นะว่าฝีมือการขายทัวร์ของฉันมันได้ผลมากน้อยแค่ไหน และก็ระวัง ๆ พนักงานเอาไว้ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นฉันจะไปซื้อตัวมาให้หมดเลย”
เธอบอกและย่นจมูกใส่เขาเหมือนหลาย ๆ ครั้งที่เคยทำมา ทำให้เจตน์อดคิดถึงมันไม่ได้ เพราะเมื่อไหร่ที่เขาและเธอทะเลาะกัน ก็มักจะได้เห็นอากรัปกิริยาแบบนี้เสมอ ๆ หรือถ้าเธอหมดหนทางที่สู้หรือจะเถียงเขา เธอก็จะแอบเตะเขาแทน จนเขาโมโหต้องรีบเอาคืน และก็จะถูกพ่อดุเป็นประจำ

“ไม่เอาแล้วขี้เกียจเถียงกับเธอ กลับดีกว่า ว่าแต่จะไปส่งฉันหรือเปล่า” เจตน์ลุกขึ้น
“ใครไปรับก็ให้คนนั้นไปส่งสิ เรื่องอะไรที่ฉันจะขับรถให้นายนั่งด้วย”
เธอบอกแต่ก็หันไปมองหาไข่ที่แม่ป้าให้ไปรับเขามาจากสนามบิน ไม่นานเขมินท์ก็ให้ไข่ไปเอารถมาจอดรอเขาแล้ว
“ขอบใจนะที่ยังอุตส่าห์ให้คนไปส่ง แล้วก็อย่าลืมตามไปเอาคืนฉันด้วยล่ะ จะรอ”
เจตน์บอกและยิ้มเพื่อลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะย่นจมูกใส่อีกครั้ง และยืนมองรถที่วิ่งออกไปจากลานกว้าง ๆ ของบ้าน

“นี่เหรอคู่อริของคุณที่คุณน้าบอกผม ตกลงเป็นคุณเจตน์นี่นะ” เขมินท์เดินเข้ามาใกล้ ๆ เธอ ที่ยืนอยู่ และเพิ่งจะรู้จากมณฑาเมื่อไม่กี่วันมานี้ ว่าคนที่โกงเอาบริษัทของมณฑาไปที่แท้ก็คือเจตน์นี่เอง
“ใช่ คอยดูนะฉันจะไปเอาคืนนายเจตน์ให้ได้ นี่มาท้าทายฉันถึงที่นี่เลยนะ จะดูถูกกันมากเกินไปแล้ว”
เธอบอกก่อนจะเดินสบัดหน้าขึ้นบ้านไป ทิ้งให้เขมินท์มองตามหลังไปอย่างนั้น สำหรับคำบอกเล่าของเธอเขาเชื่อว่าเธอคิดอย่างที่บอกจริง ๆ แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะจากไป เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก ว่าเจตน์จะคิดว่าตัวเองเป็นคู่อริของเธอด้วยหรือเปล่า เพราะดูจากแววตาที่เขาเห็นเจตน์มองเธอนั้น ผู้ชายด้วยกันย่อมจะดูออก มันทำให้เขาไม่ชอบใจเอามาก ๆ เลยเมื่อเห็นอย่างนี้

งานแต่งงานผ่านพ้นไป โดยที่คุณลุงพาแม่ป้าของเธอไปฮันนี่มูนที่เชียงใหม่เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ แล้วก็กลับมาช่วยเขมินท์หว่านข้าวนาปรังจนเสร็จ ภรัณยาจำต้องยอมมาช่วยเขาทั้ง ๆ ที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่มา แต่ก็โดนแม่ป้าดุจนในที่สุดเธอก็ต้องทำตาม ทำให้เขมินท์ค่อนข้างจะได้ใจที่มีแม่ป้าคอยช่วยอยู่เรื่อย

ร่างที่นั่งในท่าขัดสมาธิและก้มหน้าก้มตาสรุปรายได้และรายจ่ายลงแล็ปทอปมาตั้งแต่เช้า เริ่มบิดไปบิดมา เพราะปวดเมื่อย มือสองข้างของเธอรีบรูดซิปเสื้อกันหนาวขึ้นสูงอีก และก็รีบดึงเอาหมวกที่ติดกับเสื้อไปคลุมศีรษะเอาไว้ เพราะลมพัดมาทีก็หอบเอาความหนาวเหน็บตามมาด้วยทุกครั้ง

แต่ยังไง ๆ เธอก็ชอบ เพราะได้ขุดเอาเสื้อกันหนาวที่เคยใช้สมัยอยู่เมืองนอกมาใช้อีกครั้ง เพราะอยู่กรุงเทพฯ นั้นโหยหาหน้าหนาวเหลือเกิน แต่ก็จะมีโอกาสได้ใช้มันน้อยวันนัก ภรัณยาเองก็เพิ่งจะรู้ว่าคนที่นี่โชคดีกว่าเธอมาก ที่ได้มีโอกาสัมผัสฤดูกาลครบทุกฤดู ไม่ว่าจะเป็น ฤดูฝน ฤดูร้อน และก็ฤดูหนาว มันหนาวจนชาวบ้านต้องพากันลุกขึ้นมาสุมไฟแล้วก็นั่งล้อมวงคุยกันในยามเช้า ๆ

เหมือนที่คุณลุงและแม่ป้าพร้อมกับผู้ใหญ่ในหมู่บ้านอีกสามสี่คน ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ หญิงสาวมองแล้วก็ให้สุขใจไม่น้อยกับภาพที่ได้เห็น อันที่จริงชีวิตที่บ้านนาก็ไม่แย่ไปซะทีเดียวหรอก ถึงแม้บางครั้งจะเงียบเหงาไปบ้าง โดยเฉพาะหน้านี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ชาวบ้านว่างจากงานนาแล้ว จึงไม่ค่อยมีอะไรให้ทำนัก เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำนาปรังเหมือนเขมินท์


จะด้วยความขัดสนเรื่องเงินทุนหรือว่าด้วยเรื่องอะไรนั้นเธอก็ไม่สามารถรู้ได้ หญิงสาวเดินกลับมาสนใจกับบัญชีต่อ เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่เธอรู้สึกโล่งเป็นที่สุด เพราะไม่มีเขมินท์อยู่ที่บ้าน ในช่วงเช้า แม่ป้าจึงมักจะโทรตามให้เธอมากินข้าวเช้าด้วยแทบทุกวัน ส่วนเขมินท์นั้นจะกลับเข้าบ้านก็สาย ๆ ซึ่งเป็นเวลาที่เธอต้องรีบกลับ

เพราะไม่อยากจะอยู่ให้เขาคอยพูดเหน็บเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วเธอเองก็อดที่จะโต้ตอบเขากลับไม่ได้ จนแม่ป้าและคุณลุงต้องคอยห้ามอยู่บ่อย ๆ หญิงสาวยิ้มให้กับตัวเลขของผลประกอบการ การทำนาของตัวเองในปีที่ผ่านมาด้วยความดีใจที่ตัวเลขโชว์ว่ามีกำไรเท่าไหร่

“ยิ้มใหญ่เลยนะยายข้าว แปลว่าได้กำไรเยอะล่ะสิท่า”
แม่ป้าและคุณลุงเดินขึ้นมาบนบ้านแล้วเมื่อแดดเริ่มแรง และสภากองไฟก็เป็นอันต้องปิดไปในเช้านี้
“แหม แม่ป้าก็ คนทำงานเหนื่อย ๆ พอเห็นกำไรก็ต้องยิ้มออกเป็นธรรมดาสิคะ” เธอว่า
“ทำงานเหนื่อยหรือว่าพูดจนเหนื่อยกันแน่ครับคุณเข่า” เสียงเขมินท์ดังมาจากบันได ซึ่งทำให้ภรัณยาไม่ชอบใจนัก ที่จู่ ๆ วันนี้เขาก็กลับเข้าบ้านก่อนที่เธอจะทันได้กินข้าวกับแม่ป้าและกลับบ้านไป
“นี่คุณหาว่าฉันเอาปากทำงานเหรอ คุณลุงดูนะคะนี่ต่อหน้าคุณลุงนะคะเขายังว่าข้าวขนาดนี้ แล้วเวลาลับหลังนะคะ เขาว่าข้าวยิ่งกว่านี้อีกค่ะ แต่ข้าวไม่เคยบอกคุณลุงเลย รอให้คุณลุงเห็นเองค่ะ” เธอรีบฟ้องคุณลุงที่ไปนั่งที่โต๊ะอาหารรอทันที
“กินข้าวก่อนค่ะแล้วค่อยเถียงกันต่อ”
แต๋นและไข่ยกอาหารมาจากครัว แล้วทุกคนก็รีบเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะทันทีเพราะเริ่มหิวแล้วนั่นเอง

“ตกลงหนูข้าวได้กำไรเท่าไหร่กันล่ะลูก” คุณลุงถามเมื่ออาหารเสร็จแล้ว และเธอก็กลับไปนั่งทำบัญชีต่อ โดยมีเขายกแล็ปทอปออกมานั่งทำงานด้วยใกล้ ๆ เพราะคุณเธอลากสายอินเตอร์เน็ทออกมาใช้ก่อนเขา
“ได้ตั้งหกแสนกว่า ๆ แหน่ะค่ะคุณลุง” เธอบอกด้วยความตื่นเต้น
“จริงเหรอยายข้าว ทำไมมันมากนักล่ะ” มณฑาสงสัย และไม่อยากจะเชื่อว่าทำนาจะได้กำไรเยอะขนาดนี้
“นี่คุณ ที่บอกว่าได้กำไรหน่ะ หักค่าใช้จ่ายตัวเองไปหรือยัง ผมว่าอย่างคุณนี่เดือนหนึ่ง ๆ ก็น่าจะใช้เงินประมาณสองหมื่นล่ะมั้ง แล้วค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมันรถหักออกไปหรือยัง ไม่ใช่เห็นแต่ตัวเลขแต่ไม่มีเงินหรอกนะ ถ้าได้เยอะขนาดนี้ชาวนาคงจะรวยตายกันหมดพอดี” เขาอดเหน็บไม่ได้อีกแล้ว เพราะไม่เชื่อว่ากำไรจริง ๆ จะได้ขนาดนั้น

“นี่คุณหาว่าฉันโม้รึไง” เธอแหวใส่เขาทันที
“แต่ที่เจ้าน้ำมันพูดก็จริงนะหนูข้าว หักพวกนี้ออกหรือยัง” เขมถาม
“ยังค่ะข้าวลืม งั้นแป๊ป ๆ นะคะ” ว่าแล้วเธอก็รีบ ๆ กด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“ว้า หักพวกนี้ออกแล้วข้าวเหลือแค่สามแสนกว่า ๆ เองค่ะ ตกเดือนละแค่สามหมื่นกว่า ๆ เอง นี่มันน้อยกว่าที่ข้าวทำงานกินเงินเดือนซะอีกนะคะนี่ เฮ้อ ตอนแรกก็คิดว่าจะได้เยอะ แต่จนแล้วจนรอด” เธอบอกพร้อมทำหน้าจ๋อย
“ฮ่า ๆ ๆ นั่นประไรผมว่าแล้ว ถ้าอย่างคุณทำนาได้กำไรขนาดนี้ ชาวบ้านแถวนี้ก็คงจะรวยตายแล้วล่ะ”
เขาหัวเราะเยาะเธอ จนเธอที่เสียหน้าอยู่แล้ว เกิดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่น้อย

“นี่แหน่ะ หัวเราะเยาะดีนักเหรอ” เธอรีบเอื้อมมือไปดึงสายโทรศัพท์ออกจากแล็ปทอปของเขา พร้อมกับยกชูขึ้นไปโชว์เขาและทำหน้าทะเล้น ๆ ใส่ เป็นการเยาะเย้ยกลับด้วย
“โฮ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เจ้าไข่ตุ๋นที่นอนแหมะอยู่จู่ ๆ ก็เห่าขึ้น ประหนึ่งจะช่วยเจ้าในเยาะเย้ยเขาด้วย
“โอ๊ย คุณ นี่ผมกำลังส่งเมลย์ไปให้อาจารย์อยู่นะ รายงานสำคัญด้วย ถ้าผมไม่จบด๊อกเตอร์คุณระวังตัวไว้ให้ดี ๆ”
เขาอาฆาตเอาไว้
“จ้างให้ก็ไม่กลัว แหวะ ๆ ๆ”
เธอบอกและแลบลิ้นใส่เขา จนเขาแทบจะอดโต้ตอบไม่ได้ แต่ก็ต้องยับยั้งเอาไว้ เพราะมีผู้ใหญ่อยู่ใกล้ ๆ

“ยายข้าวเรานี่ เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง งานพี่เขาเสียหมดแล้ว ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้นะ แล้วก็เลิกเรียกพี่เขาว่าคุณ ๆ ได้แล้ว เขาหน่ะเป็นพี่เราตั้งหลายปีนะ และก็เคยช่วยพ่อแม่เลี้ยงเรามาด้วย ต่อไปห้ามเรียกพี่เขาอย่างนี้อีก ให้เรียกพี่แทนรู้มั้ย”
มณฑาต้องเอ็ดเอา จนทำให้เธอหน้าจ๋อยไปเลย เขาแอบลอบยิ้มเยาะเย้ยเธอ โดยไม่ให้แม่ป้าเห็น
“ไม่เรียก ใครอยากจะมีพี่แบบนี้กัน แม่ป้าดุแต่ข้าวทั้ง ๆ ที่ข้าวไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อนซักหน่อย กลับบ้านไปหานวดหน้าดีกว่า อยู่แถวนี้แล้วเซ็งคนบางคน ไปไข่ตุ๋นกลับบ้านเราลูก”
เธอว่า แล้วก็เก็บข้าวของใส่กระเป๋า แล้วก็งอนตุ๊ปป่อง ๆ เดินลงบ้านไป
“เจ้าน้ำมันก็เหลือเกินนะคุณมณ หนูข้าวนั่งอยู่ดี ๆ มันก็ไปว่าเขา นี่ไปเลยไปส่งหนูข้าวด้วย เมื่อเช้าไม่ได้เอารถมาฉันให้เจ้าไข่ไปรับ” เขมบอก เขาได้แต่ทำตามที่พ่อบอก เพราะก็รู้สึกว่าไปตัวเองผิดเหมือนกัน

“เจ้าน้ำนี่จริง ๆ เลย คุณมณอย่าไปให้ท้ายมันมากนักนะ อีกหน่อยก็แกล้งหนูข้าวหนักขึ้น ๆ หรอก”
เขมบ่นตามหลังลูกชาย และก็หันมาหาเมียที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ
“ไม่หรอกค่ะ ฉันรู้ว่าพ่อน้ำไม่ทำอย่างนั้นหรอก ยายข้าวของฉันน่ารักออกปานนั้น ใครกล้าแกล้งหนัก ๆ ก็แย่แล้วล่ะค่ะ” มณฑาพูดและยิ้มออกมาพร้อมกับดวงตาฉายแววบางอย่าง
“จริงสิ ผมจะไปหาหลวงตาที่วัด จะไปคุยเรื่องทำบุญเดือนสาม คุณจะไปด้วยมั้ย” เขมบอกพร้อมทั้งตบหัวตัวเอง
“บุญเดือนสามเป็นยังไงคะคุณเขม” มณฑาสงสัย

“บุญเดือนสามหรือบุญข้าวจี่ จริง ๆ แล้วข้าวจี่นี่มันเป็นอาหารของคนทางภาคนี้มานานแล้ว ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่าให้ผมฟังตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ว่า อาจจะถือกำเนิดขึ้นโดยการที่ชาวบ้านพากันนั่งฝิงไฟในหน้าหนาว เหมือนที่เราฝิงกันทุก ๆ เช้านี่ล่ะ และเป็นช่วงที่เก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จใหม่ๆ โดยธรรมชาติของข้าวใหม่ก็มีกลิ่นหอมอยู่แล้ว ในขณะที่นั่งฝิงไฟอยู่นั้นก็เอาข้าวเหนียวที่นึ่งแล้วมาปั้นโรยเกลือทาไข่ไก่

นำมาอังไฟหรือนำมาย่างไฟให้เกรียมก็ถือว่าสุกแล้วและก็กินด้วยกันเป็นที่สนุกสนานและอร่อยไปด้วยและด้วยความที่คนทางอิสานแล้วเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีอะไรก็แบ่ง ๆ กันกิน ก็คงจะพากันนำข้าวจี่นี้ทำไปถวายพระ จนกระทั่งได้กลายมาเป็นประเพณีงานบุญข้าวจี่มาจนถึงทุกวันนี้ล่ะคุณ ผมมาก็มีประเพณีนี้แล้วล่ะ” เขาเล่าให้เธอฟัง

“เหรอคะ แล้วเราก็จะต้องทำข้าวจี่นี้ไปถวายพระอย่างนั้นเหรอ แล้วพระท่านไม่เบื่อแย่เหรอคะ ใคร ๆ ก็จะทำแต่ข้าวจี่ไปถวายท่าน ยายข้าวรู้คงจะบ่นสงสารหลวงตาแน่ ๆ ที่จะต้องท้องอืดเพราะฉันแต่ข้าวจี่” มณฑาอดห่วงไม่ได้
“โธ่คุณมณก้อ ใครเขาจะทำแต่ข้าวจี่กันล่ะ เขาก็ทำอาหารอื่น ๆ ไปด้วย ข้าวจี่หน่ะเขาทำไปตักบาตรเฉย ๆ แต่จะว่าไปจริง ๆ แล้วก็มีเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะใคร ๆ ก็ทำอย่างที่คุณว่านั่นล่ะ แต่มันก็เป็นประเพณีที่ทำกันมานานแล้ว ปกติผมกับหลวงตาจะดึงเอาการทำบุญ วันมาฆะบูชารวมไปด้วยเลย เพราะอยู่ในเดือนเดียวกัน แต่ก็ต้องไปคุยกับหลวงตาก่อน”
เขมอธิบายและยิ้มให้เธอ
“เหรอคะ”
“ใช่ครับ แล้วต่อไปคุณก็คงจะต้องเหนื่อยหน่อยนะครับคุณมณ เพราะจะมีงานบุญ งานรื่นเริงแบบนี้แทบจะทุกเดือนเลย คนอีสานเขาเรียกว่าฮีต ๑๒ เดือนหน้านี้ก็จะมีบุญเดือนสี่ หรือบุญเผวส ซึ่งถือว่าเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่อีกงานหนึ่งของคนทางนี้ ตอนผมมาอยู่ใหม่ ๆ ก็งงมาก จำแทบไม่หมด แต่พออยู่ ๆ ไปก็จะชินไปเอง แล้วอีกหน่อยคุณก็จะรักที่นี่ รักประเพณีของคนที่นี่ เหมือน ๆ กับที่คุณรักกำนันของพวกเขาไง”
เขาบอกภรรยาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ก่อนจะยื่นจมูกไปสูดดมที่หน้าผากของเธออย่างคนที่อิ่มสุข
“ค่ะ คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มีงานบ่อย ๆ ฉันชอบจะได้ไม่เบื่อไงคะ” มณฑาบอกและยิ้มให้เขาเช่นกัน







 

Create Date : 27 ตุลาคม 2551
0 comments
Last Update : 27 ตุลาคม 2551 15:59:58 น.
Counter : 347 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.